นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 375 ช่วยฉันกำจัดซูฉิง
“เฮ้อ…” ซูฉิงถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ วางปากกาในมือลงบนโต๊ะและอธิบายกับฮ่อหยุนเฉิงอย่างจริงจังและอดทน “พวกนั้นนักข่าวเอาไปเขียนมั่วเอง ฉันไม่เคยพูดเลย นายก็อย่าหึงไปทั่วได้ไหม? ฉันให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์จัดการเรื่องนี้แล้ว”
ฮ่อหยุนเฉิงอยู่กับซูฉิงมาตั้งนานขนาดนี้ แน่นอนว่าเขารู้ว่าเธอเป็นคนแบบไหน แต่ที่หึงก็เป็นเรื่องปกติที่เลี่ยงไม่ได้
แต่แฟนเขาก็ได้อธิบายแล้ว ดังนั้นไม่ว่าฮ่อหยุนเฉิงจะไม่ยอมแค่ไหน ก็ต้องอดทนไปก่อน
เขาเม้มปาก หลังจากนั้นก็พูดขึ้น “ก็ได้”
“—แต่ว่า” ฮ่อหยุนเฉิงหรี่ตาก่อนจะพูดเตือนสติ “ซูฉิง ชีวิตนี้เธอต้องเป็นแค่ของฉันเท่านั้น อย่าได้คิดถึงผู้ชายคนอื่นเด็ดขาด! ห้ามไปมองด้วยเข้าใจไหม?”
“…”
ซูฉิงล่ะหมดคำพูดกับแฟนหนุ่งจริงๆ มันทำให้เธอรู้สึกว่าฮ่อหยุนเฉิงเป็นเด็กไม่ดี แต่ก็จะบอกว่าไม่น่ารักก็ไม่ได้
“โอเคๆ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ใช่ว่านายยังมีงานเหรอ? รีบไปทำงานได้แล้วนะ”
หลังจากวางสาย เธอมองข่าวประชาสัมพันธ์บนหน้าจอ ทั้งรู้สึกหมดหนทางและหงุดหงิด เฉินจุนเหยียนพูดแบบนี้ต่อหน้านักข่าวได้ไง!
…
“หลานหลาน ลงมากินข้าวเถอะ”
หลังจากที่ไป๋หลานกลับบ้านก็ขังตัวเองอยู่ในห้องทั้งวัน และไม่ลงมาชั้นล่างจนคนใช้เรียกเธอไปกินข้าว
พ่อลูกนั่งตรงข้ามกัน พ่อไป๋ก็มีสีหน้าจริงจัง และไม่ยอมพูดอะไรกับไป๋หลานเลยสักคำ
ไป๋หลานตักข้าวด้วยตะเกียบเข้าปากเงียบๆ ตอนนี้เธอไม่รู้สึกอยากอาหารเลย ขนาดตอนคีบอาหารก็ยังเขี่ยไปมา
“ไม่กินก็ไสหัวกลับห้องไป” พ่อไป๋มองอย่างเคร่งขรึม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เขายังไม่หายโกรธ จะปล่อยให้ลูกสาวสร้างเรื่องต่อได้ยังไง
“ตอนนี้ธุรกิจของบริษัทตระกูลได้ถูกยกเลิกไปหลายงานแล้ว และนั่นเพราะเธอ ถ้าเธอกินได้ก็กินไปดีๆ ซะ อย่ามาวางท่าคุณหนูอะไรนั่น! ตระกูลเราจะล้มละลายก็เพราะเธอ!”
ล้มละลาย?
แม้ว่าไป๋หลานจะมีแต่ความคับข้องใจ แต่เธอก็รู้ว่าเธอทำให้เกิดเรื่องใหญ่ในครั้งนี้ ดังนั้นการที่พ่อไป๋ด่าทอเธอ แต่เธอก็ไม่เถียง ทว่าก็ต้องเบิกตาเมื่อได้ยินคำวาล้มละลาย
เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง ที่ตระกูล…ใกล้จะล้มละลายแล้วงั้นเหรอ?
“มองอะไร? เป็นเพราะเธอนั่นแหละ!”
พ่อไป๋ประสบปัญหามากมายเนื่องจากบริษัท ทั้งยังมีเรื่องของไป่หลานช่วงนี้อีก ไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าไม่ใช่เพราะปัญหาของไป๋หลาน บริษัทคงไม่ตกอยู่ในสภาพปัจจุบัน
ยิ่งพูดก็ยิ่งหงุดหงิด เขาทิ้งตะเกียบแล้วนั่งหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่บนเก้าอี้
ไป๋หลานเองก็ไม่มีอารมณ์จะกินก่อนจะดันชามออกไปอย่างเงียบๆ นั่งบนเก้าอี้แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกขึ้นพูดว่า “หนูจะออกไปข้างนอก”
“คิดจะทำอะไรอีก? คิดจะหาเรื่องอะไรให้ฉันอีก? ตระกูลเราวุ่นวายไปหมดแล้ว กลับมาซะ!”
พ่อไป๋ที่เห็นไป๋หลานลุกขึ้นก็สติหลุดและตะโกนอย่างโกรธตามหลังลูกสาวไป
ใครจะรู้ว่าเรียกไป๋หลานที่เดินตรงไปที่ประตูกลับมาไม่ได้
เธอไปที่บ้านตระกูลสวี
สวีหว่านเอ๋อร์ที่เห็นเธอก็รู้สึกประหลาดใจ แต่ก็รีบกลับมาแสดงท่าทางปกติอย่างรวดเร็ว เพียงแค่นั่งบนโซฟาและพลิกหน้านิตยสาร
“เธอมาได้ยังไง?”
ไป๋หลานเดินไปหาสวีหว่านเอ๋อร์และจ้องที่เธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ
แม้ว่าเธอจะเกลียดที่สวีหว่านเอ๋อร์ไม่พูดอะไรสักคำตอนที่เธอถูกตำรวจพาตัวไป แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่จะถาม
“…ช่วยฉันที ช่วยตระกูลของเราด้วยนะ”
สวีหว่านเอ๋อร์ที่เมื่อกี้ยังขนลุกที่โดนไป๋หลานจ้อง แต่พอได้ยินเธอพูดก็รู้สึกผ่อนคลายลง
ช่วยเธอ? หึ
ตัวเธอสร้างเรื่องตั้งใหญ่โตเอง ถ้าเธอยังช่วยไป๋หลาน ไม่ได้แปลว่าเธอมีส่วนเกี่ยวข้องกับก่อนหน้านี้เหรอ?
“ช่วยยังไง?”
ไป๋หลานกลืนน้ำลายและพูดช้าๆว่า “ธุรกิจของตระกูลฉันดิ่งลงเพราะเรื่องที่ฉันเข้าโรงพักในครั้งนี้ พ่อฉันบอกว่าตระกูลกำลังจะล้มละลาย…หว่านเอ๋อร์ ฉันรู้นะ ฉันรู้ว่าบ้านตระกูลสวีมีทุนเพียงพอที่จะช่วยตระกูลเราได้ ขอร้องเธอไปคุยกับพี่ชายได้ไหม ให้เขาเพิ่มทุนในบริษัทของตระกูลเรา เพื่อเราจะอยู่รอด ตระกูลพวกเธอคงไม่ขาดทุนมากไปหรอก…ช่วยฉันครั้งเดียวนะ เรื่องก่อนหน้านี้ฉันจะไม่ถือสามากความ จะไม่…”
“ถือสามากความงั้นเหรอ?” สวีหว่านเอ๋อร์เหล่มองไป๋หลานอย่างขบขัน “ไม่ถือสาอะไรเหรอ?”
ตอนนี้ที่ไป๋หลานทำทั้งหมดไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย และทางตำรวจก็ไม่มีหลักฐานด้วย เธอโง่ถึงเอามาขู่ด้วยเรื่องนี้?
โง่จริงๆ
ไป๋หลานอึ้งไป นิ้วมือของเธอจับผ้าคลุมโซฟาไว้แน่น “หว่านเอ๋อร์…เธอไม่คิดยอมใช่ไหม? เธออย่าคิดสิว่าฉันไม่มีทางพูดเรื่องสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์แน่!”
“เธอว่าไงล่ะ”
สวีหว่านเอ๋อร์ดูเหมือนไม่ใส่ใจมาก ตอนนี้ไป๋หลานกำลังขอร้องเธออยู่ ในเมื่อต้องการให้ธุรกิจของตระกูลอยู่รอด ยังไงก็ต้องพึ่งเธอ
เธอไม่กังวลเลยสักนิด
“ตำรวจไม่มีหลักฐานและไม่สามารถจับกุมฉันได้ ไม่ต้องพูดถึงที่เธอเพิ่งได้รับการปล่อยตัว คงไม่อยากเข้าไปอีกรอบเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม?”
คำพูดที่ไร้เยื่อใยของสวีหว่านเอ๋อร์เหมือนกับตัดฟางเส้นสุดท้ายที่ช่วยไป๋หลาน
“ยิ่งไปกว่านั้น บ้านตระกูลสวีของเราก็ถูกเธอลากเข้าไปเกี่ยวด้วย ทำไมเธอถึงคิดว่าฉันจะช่วยเธอล่ะไป๋หลาน ฉันไม่เคยเห็นคนโง่เท่าเธอมาก่อนเลย”
สวีหว่านเอ๋อร์มองไปที่ไป๋หลานอย่างห่างเหิน ก่อนจะพ่นลมและรอยยิ้มที่ดูถูกบนใบหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
“คนอย่างเธอนี่มันสมควรตายจริงๆ”
“แต่ถ้าจะให้ช่วยตระกูลพวกเธอก็ได้นะ” เธอมองไปที่ท่าทางของไป๋หลาน ก่อนจะเข้าหาเธอและสบตากับอีกคน “คราวนี้ ช่วยฉันกำจัดซูฉิงให้สิ้นซากซะ แล้วฉันจะพิจารณาที่จะช่วยเธอ ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้คิดเลย!”
เสียงของสวีหว่านเอ๋อร์รุนแรงขึ้นและหลังจากสิ้นประโยค เธอก็หันศีรษะมาทำเรื่องของตัวเอง ไม่ได้มองที่ไป๋หลานอีกต่อไป
ตัวเองต้องเข้าคุก ตระกูลไป๋กำลังจะล้มละลาย และเฉินจุนเหยียน…
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะซูฉิง เพราะหล่อน ยัยผู้หญิงคนนี้ที่ดื้อรั้น และพรากทุกอย่างไปจากเธอ!
เมล็ดพันธุ์แห่งความโกรธและความริษยาที่มีมานานได้ปะทุขึ้นในหัวใจของไป๋หลานและหยั่งรากลึก
ความเกลียดชังของเธอที่มีต่อซูฉิงก็มาถึงจุดสูงสุดแล้ว
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว เธอรอฟังข่าวได้เลย”
พูดจบไป๋หลานก็ออกจากบ้านตระกูลสวี สวีหว่านเอ๋อร์มองไปที่ประตูที่ปิดอยู่ แต่ในท้ายที่สุดเธอก็หัวเราะเยาะเย้ยและไม่ได้จริงจังกับมัน
หลังจากที่ไป๋หลานกลับบ้าน เธอก็ขังตัวเองอยู่ในห้องอีกครั้ง และทำเป็นไม่ได้ยินที่พ่อไป๋ตำหนิ
เธอตาบอดเพราะความเกลียดชังไปแล้ว
ไป๋หลานค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตเกี่ยวกับซูฉิงตลอดจนข้อมูลถึงภาพยนตร์เรื่องพ่าหวังเปี๋ยจีด้วย