นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 381 เฉินจุนเหยียนฟื้นเเล้ว
“ช่วยไป๋หลาน?” สวีหว่านเอ๋อร์ที่ได้ยิน ก็ทำราวกับได้ยินเรื่องตลก เธอพูดเสียงหลงและพูดซ้ำอย่างประชดประชันด้วยรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามบนใบหน้า
“คุณอาไป๋คะ อย่าหาว่าฉันพูดจาไม่น่าฟังและไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่เลยนะคะ คราวที่แล้วไป๋หลานจ้างแฮ็กเกอร์ไปขโมยความลับของบริษัทสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์จนเข้าโรงพักไปแล้วครั้งหนึ่ง แถมยังให้คุณอาหาคนไปช่วยผู้หญิงที่จิตใจแบบนี้ออกมาอีก”
“แล้วคราวนี้ล่ะ? เธอถือปืนไปที่กองถ่ายหนังเองนะ สุดท้ายล่ะ! สุดท้ายก็ฆ่าซูฉิงไม่ได้ แถมดันไปยินเฉินจุนเหยียนเข้าอีก นี่มันไม่ใช่ความรับผิดชอบของเธอหรือไงคะ? ไม่มีใครบีบบังคับให้เธอทำแบบนั้นนี่? คุณอาไป๋คะ บ้านตระกูลสวีของเราไม่ใช่องค์กรการกุศลนะคะ คุณคิดให้ดี
ยิ่งไปกว่านั้นไป๋หลานก็ไร้ประโยชน์ ก่อนหน้านี้ฉันเคยให้เธอทำเรื่องเล็กน้อยเธอยังทำไม่ได้เลย ตอนนี้ก็มา เข้าคุกครั้งที่สอง เพราะเรื่องแค้นส่วนตัวอีก ถึงฉันจะช่วยออกมาได้ แล้วเธอจะให้อะไรฉันได้ล่ะคะ?”
“ฉันแนะนำให้คุณอาประหยัดแรงไว้ดีกว่าค่ะ ถูกลูกสาวต่ำๆ แบบนี้หาเรื่องมาให้ไม่เว้นแต่ละวัน ไม่มีอะไรดีหรอกค่ะ ส่วนฉันไม่มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือเพื่อนแบบนี้ค่ะ ทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบเอง อย่าทำให้บ้านตระกูลสวีเหนื่อยเลยค่ะ”
เสียงของสวีหว่านเอ๋อร์ดังมาก และประตูห้องก็เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง อู๋ชิงหร่านที่กลับมาจากข้างนอกก็ได้ยินเข้า
ไป๋หลาน?
เธอชะงักฝีเท้าก่อนจะเหลือบมองเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ
เธอเข้าโรงพักเพราะซูฉิงกับเฉินจุนเหยียน?
จุนเหยียน…
เมื่ออู๋ชิงหร่านนึกได้ว่าเฉินจุนเหยียนชอบซูฉิง ก็เกลียดจนกัดฟันกรอด เธอตกต่ำถึงขั้นนี้เพราะซูฉิง และตอนนี้คนที่เธอรักก็มาถูกยิงเพราะหล่อน จะไม่ให้เธอเกลียดได้ไง?
อู๋ชิงหร่านกำมือและกัดฟันแน่น ดวงตาเธอราวกับจะพ่นไฟออกมาได้
【ซูฉิง ตอนแรกฉันคิดว่าจะค่อยกลับประเทศไปชำระแค้นกับเธอ แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะไม่เห็นค่าจุนเหยียนขนาดนี้】
【ถ้าอย่างนั้นก็อย่าถือโทษโกรธที่ฉันจะให้เธอได้สัมผัสกับความเจ็บปวดเลยแล้วกัน!】
อู๋ชิงหร่านระงับความโกรธในใจ ควบคุมสติอารมณ์ ก่อนจะเผยรอยยิ้มสุภาพและเดินเข้าไปในห้องช้าๆ
หลังจากที่สวีหว่านเอ๋อร์พูดจบก็วางสาย และเมื่อเธอได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันกลับไปเห็นอู๋ชิงหร่านยิ้มอย่างสุภาพเดินเข้ามา
“คุณเองเหรอ เดินเล่นกลับมาแล้วเหรอคะ?”
อู๋ชิงหร่านพยักหน้าและเอื้อมมือออกไป “อื้ม เรื่องเมื่อกี้…ขอโทษด้วยนะคะ ทำความรู้จักกันเถอะค่ะ ฉันชื่อแอนนานะคะ”
“สวัสดี ฉันชื่อสวีหว่านเอ๋อร์ค่ะ” สวีหว่านเอ๋อร์จับมือเธออย่างสุภาพ จนเผยให้เห็นรอยแผลเป็นบนข้อมือของเธอพอดี
เมื่ออู๋ชิงหร่านเห็นรอยแผลเป็นที่ข้อมือของเธอ ก็นั่งลงข้างๆ และแสร้งทำเป็นแปลกใจและถามว่า “โอ้ ทำไมมีรอยแผลเป็นตรงข้อมือล่ะคะ คุณ…เจอเรื่องอะไรมาเหรอ? มีรอยแผลเป็นตรงข้อมือผู้หญฺงมันไม่ดีเลยนะคะ”
สวีหว่านเอ๋อร์ตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงพลางดึงแขนเสื้อ แต่ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ไม่ใช่…”
…
หลังจากที่ข่าวที่ว่าเฉืนจุนเหยียนถูกยิงเป็นข่าวดัง แฟนคลับของเขาหลายคนก็อยากไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลทุกวัน แต่กลับถูกคนขวางเอาไว้ตรงประตู
เพียงชั่วพริบตา ซูฉิงได้ดูแลเฉินจุนเหยียนที่โรงพยาบาลมาเป็นเวลาห้าถึงหกวันแล้ว เธอจะวางช่อดอกไม้และผลไม้สดไว้ข้างเตียงทุกวัน หมอบอกว่าสภาพแวดล้อมที่ดีเอื้อต่อการฟื้นตัวของผู้ป่วย
ยิ่งไปกว่านั้นเฉินจุนเหยียนก็ต้องการสารอาหารมากขึ้นหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมา
“อือ…”
ซูฉิงที่กำลังนั่งปอกแอปเปิ้ลข้างหัวเตียง ก็ได้ยินเสียงอ่อนเบามาจากเตียง เธอเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะเห็นเปลือกตาของเฉินจุนเหยียนขยับ ราวกับมีสัญญาณจะฟื้นแล้ว
ซูฉิงทั้งตื่นเต้นและมีความสุข จึงวางมีดลงแล้วกดกริ่งที่ข้างเตียงอย่างรวดเร็ว
“หมอ พยาบาลคะ!”
หลังจากนั้นไม่นาน แพทย์และพยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ก็รีบเข้ามา ซูฉิงรีบหลีกทางให้และพูดจากด้านข้าง “เหมือนว่าเขาใกล้จะฟื้นแล้ว พวกคุณรีบดูเร็วเข้าเถอะค่ะ”
ต่างคนต่างพากันชุลมุนอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดเฉินจุนเหยียนก็ฟื้นขึ้น
“ตอนนี้เขาฟื้นได้แล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรมากแล้วล่ะครับ แต่อย่างไรก็ตาม หลังการผ่าตัดยังต้องสังเกตอาการและพักฟื้นต่อไปอีกระยะเวลาหนึ่งเพื่อหลีกเลี่ยงอาการแทรกซ้อนนะครับ”
เมื่อแพทย์อธิบายรายละเอียด ซูฉิงก็พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เฉินจุนเหยียนหันมาเห็นผู้หญิงที่อยู่ข้างเตียง รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้า
ซูฉิงก็ยังคงห่วงใยเขาอยู่
หลังจากที่แพทย์พากันเดินออกไป ซูฉิงก็หลับตาลง หัวใจที่แกว่งไปมาของเธอตลอดหลายวันได้คลายลง เธอหันกลับมาจับมือของเฉินจุนเหยียนและพูดด้วยรอยยิ้ม
“เยี่ยมไปเลย จุนเหยียน ในที่สุดนายห็ฟื้นแล้ว…”
“ฉันทำให้เธอห่วงสินะ” เฉินจุนเหยียนยิ้ม จับมือซูฉิงและตบเบาๆ มองใบหน้าอีกคนและพูดอย่างจริงใจว่า “ซูฉิง ตื่นมาแล้วได้เจอเธอ…ฉันก็ดีใจมากเลย ฉันไม่นึกว่าเธอจะคอยดูแลฉัน”
“พูดอะไรไร้สาระ นายมาขวางปืนแทนฉันนะ ฉันก็ต้องดูแลนายสิ”
ซูฉิงเก็บผ้าห่มให้เฉินจุนเหยียนอย่างระมัดระวัง ทั้งยังเอ่ยเตือน
“นายเพิ่งตื่น ตอนนี้ขยับตัวไม่ได้ หมอบอกว่าแผลผ่าตัดนายยังไม่หายดี และช่วงนี้ก็ยังกินแบบปกติไม่ได้ ต้องกินพวกของเหลวไปก่อน…”
ซูฉิงพูดช้าๆ แต่ความสนใจของเฉินจุนเหยียนกลับอยู่บนตัวไม่ก็ใบหน้าของซูฉิง ส่วนที่พูดไปนั้นก็ตอบรับเป็นครั้งคราว และเมื่อซูฉิงหันกลับมา เขาก็หยุดและเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“ซูฉิง สิ่งที่ฉันบอกเธอก่อนเข้าโรงพยาบาลเป็นความจริงนะ และตอนนี้เธอก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“…ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอโสด และการหมั้นหมายของเธอกับประธานฮ่อก็จบลงไปแล้ว เธอจะยอมรับฉันไหม?”
เฉินจุนเหยียนจับมืออีกคนไว้ แต่ซูฉิงกลับไม่รู้ว่าจะตอบเขาอย่างไร
เธอไม่ได้เลิกกับฮ่อหยุนเฉิง แต่ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เธอจึงไม่สามารถบอกเฉินจุนเหยียนได้
เธอเม้มปาก และในที่สุดก็ข้ามหัวข้อนี้ไปอย่างสละสลวยที่สุด
“นายเพิ่งตื่น พักรักษาตัวให้สบายใจก่อนเถอะนะ รอนายหายดีเราค่อยว่ากันดีไหม?”
ฮ่อหยุนเฉิงเดินเดินมาถึงห้องและเห็นว่าประตูแง้มอยู่ ขณะที่เขากำลังจะผลักประตูเข้าไป เขาก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างเฉินจุนเหยียนและซูฉิง
ช่อดอกไม้ในมือรู้สึกหนักอึ้งขึ้นทันที
เดิมทีเขาคิดว่าเขาไม่ควรทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ อยากจะมาปลอบซูฉิงที่โรงพยาบาล ใครจะรู้ว่าเฉินจุนเหยียนจะฟื้นขึ้นมาแล้วฉวยโอกาสนั้น
รอยยิ้มบนใบหน้าของฮ่อหยุนเฉิงหายไปในทันที เขาผลักประตูอย่างแรงและเดินเข้าไป คว้ามือของซูฉิงและพูดด้วยท่าทีที่บังคับ “ซูฉิง ออกมา!”
“หยุนเฉิง หยุนเฉิง!”
ซูฉิงที่เห็นฮ่อหยุนเฉิงเดินเข้ามาก็ตกใจเช่นกัน หลังจากยื้อมือกันไปมาแต่เธอก็สู้แรงฮ่อหยุนเฉิงไม่ได้ เลยถูกเขาลากออกไปนอกห้อง
เมื่อเฉินจุนเหยียนเห็นทั้งสองจากไป ดวงตาของเขาก็หรี่ลง