นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 390 การปรากฎตัวที่ลึกลับ
ตอนที่ 390 การปรากฎตัวที่ลึกลับ
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือน
อาการบาดเจ็บของเฉินจุนเหยียนเริ่มดีขึ้นอย่างช้าๆ และเขาเริ่มกลับมาท่องบทของเขาอีกครั้ง และซูฉิงก็ยังคงเทียวไปเทียวมาระหว่างโรงพยาบาลและบริษัท
ส่วนทางด้านยวี๋น่าและอู๋เทียนเหอหลังจากครั้งนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย แม้ว่ายวี๋น่าจะยังคงไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล แต่ความรู้สึกของพวกเขาทั้งสองคนก็ไม่ได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมแต่อย่างใด ช่องว่างระหว่างทั้งคู่ทำให้บทสนทนาที่เกิดขึ้นมันมีแต่ความห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด
เมื่ออู๋เทียนเหอให้ความร่วมมือกับการรักษา เขาจะใช้เวลาในการเดินและออกกำลังกายทุกวัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้นมีส่วนช่วยในการฟื้นฟูและพัฒนาระบบรับรู้ของประสาทให้ดีขึ้น
ในวันนี้ ฉียวี่ชูดึงแท่งเหล็กที่ฝังอยู่ในขาขวาของอู๋เทียนเหอออกมา และพูดกับอู๋เทียนเหอว่า “โอเค อาการบาดเจ็บที่ขาของคุณหายเป็นปกติแล้ว แต่เพราะเมื่อก่อนคุณไม่ค่อยใส่ใจกับร่างกายตัวเองของตัวเองเท่าไหร่ การรักษาสามารถทำได้ผลดีขนาดนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว คุณลองลุกจากเตียงแล้วลงไปเดินเล่นดูนะ คุณต้องพยายามทำตัวให้เคยชินกับมัน”
ทุกวันนี้อู๋เทียนเหอเฝ้าคิดวนเวียนเกี่ยวกับปัญหาของเขาและยวี๋น่า เขาเริ่มคิดสงสัยว่าก่อนหน้านี้เพราะความดื้อรั้นและเอาแต่ใจที่มากเกินไปของเขาหรือเปล่า จึงเป็นเหตุให้เขาและยวี๋น่าต้องเดินมาถึงจุดจบความสัมพันธ์แบบในตอนนี้?
บางทีถ้าเขาเลือกเส้นทางอื่นตั้งแต่แรก ผลอาจจะไม่ได้ออกมาเป็นแบบนี้ก็ได้ใช่ไหม?
คำพูดของฉียวี่ชูทำให้อู๋เทียนเหอกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขามองไปที่ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างหน้าเขาและกำลังส่งยิ้มอ่อนโยน “ขอบคุณอาจารย์ฉีที่ช่วยดูแลผม คุณทำงานหนักเพื่อให้ขาของผมกลับมาเป็นปกติ ผมรู้และเข้าใจในสิ่งที่คุณพูด”
ฉียวี่ชูส่ายหัวและพูดช้าๆ “ไม่ใช่ฉันที่คุณต้องขอบคุณ แต่เป็นแฟนของคุณและซูฉิง ถ้าทั้งสองคนไม่ได้มาขอฉันฉันก็ไม่จำเป็นต้องมาที่เมือง A เพื่อช่วยคุณหรอก ”
เมื่อได้ยินฉียวี่ชูพูดถึงยวี๋น่า ดวงตาของอู๋เทียนเหอก็ปรากฏวูบหนึ่งของความเศร้าออกมา เขาใช้เวลานานพอสมควรในการพยายามพยุงตัวลุกขึ้น
“ใช่ เธอใจดีกับฉัน แต่นั่นมันก็แค่อดีต…”
เมื่อฉียวี่ชูทำท่าเหมือนจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา ซูฉิงและยวี๋น่าก็ผลักเปิดประตูและเดินเข้ามาซะก่อน ซูฉิงเห็นอู๋เทียนเหอนั่งขึ้นจากเตียง เธอจึงวางช่อดอกไม้ช่อใหม่ไว้บนหัวเตียงแล้วถามคนบนเตียงว่า “เทียนเหอ วันนี้คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
อู๋เทียนเหอหันหลังกลับเมื่อได้ยินเสียงนั้น และตะลึงครู่หนึ่งเมื่อเห็นยวี๋น่า เขาพยายามส่งยื้มไปให้อีกฝ่ายที่ยืนนิ่งอยู่
เขาค่อยๆวางเท้าลงสัมผัสกับพื้น และพยายามลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง สองขาพยายามก้าวตรงไปข้างหน้า
ตอนนี้ขาขวาของอู๋เทียนเหอเกือบจะอยู่ในสภาพดีแล้ว แต่เขายังคงมีอาการเดินกะเผลกอยู่เล็กน้อย แต่ตราบใดที่เขาไม่เดินเร็ว คนอื่นก็แทบจะไม่รู้ว่าขาของเขาไม่ปกติ
ยวี๋น่ารู้สึกตื้นตันใจและมีความสุขเมื่อเห็นภาพตรงหน้า ขอบตาของเธอเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมา เธอตั้งตารอวันที่อู๋เทียนเหออาการดีขึ้น
เธอกัดริมฝีปากของตนเองไว้แน่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงจะเดินออกมายืนอยู่ตรงหน้าเขาและกอดอู๋เทียนเหอไว้ แต่ในตอนนี้เธอทำได้เพียงยืนอยู่ข้างซูฉิงเท่านั้น แต่สายตากลมของเธอกลับไม่เคยละสายตาไปจากชายตรงหน้าเลยสักครั้งเดียว เธอเผยรอยยิ้มอย่างจริงใจไปยังฝ่ายชายที่กำลังพยายามก้าวขาเดิน “เทียนเหอ ในที่สุดคุณก็ดีขึ้นแล้ว…”
【ฉันมีความสุขมาก. 】
ยวี๋น่าไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกมาแต่อย่างใด ในขณะนี้อู๋เทียนเหอได้เดินมาหยุดอยู่ข้างหน้าเธอ ฝ่ายชายเหมือนกำลังจะพูดอะไรออกมา แต่เขาก็กล้ำกลืนคำพูดทั้งหมดลงลำคอไป
เมื่อซูฉิงเห็นอาการที่ดีขึ้นมากๆของอู๋เทียนเหอ เธอก็หันไปมองฉียวี่ชูที่กำลังจัดของอยู่ “คุณลุงฉี นี่มัน—”
“ซูฉิง” ฉียวี่ชูยืดตัวเดินขึ้นไปหาเธอและกล่าวว่า “ตอนนี้ขาของเขาเกือบจะหายดีแล้วและฉันพยายามอย่างเต็มที่ที่สุดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่มันจะฟื้นตัวเร็วและฟื้นตัวได้เต็มที่ขนาดนั้น แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ชีวิตปกติของเขาแปลกไปจากคนอื่น หลังจากช่วยคุณเสร็จฉันจะกลับไปที่ยอดเขายวี่ปี่แล้ว”
“คุณจะเดินทางกลับแล้วเหรอ?” ซูชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และยวี๋น่าเองก็ได้เอ่ยถามฉียวี่ชูว่า “อาจารย์ฉีทำไมคุณรีบกลับไป คุณรักษาขาของเทียนเหอให้หายดี ฉันยังตอบแทนคุณไม่มากพอ”
“ไม่ต้องหรอก ฉันจองตั๋วไว้บ่ายวันรุ่งขึ้น ฉันต้องเดินทางกลับแล้ว”
ยวี๋น่าต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกสายตาของซูฉิงหยุดไว้ เธอจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ
บ่ายวันรุ่งขึ้น เมื่อซูฉิงและยวี๋น่าไปที่สนามบินเพื่อส่งฉียวี่ชูกลับไป ภายในใจของซูฉิงยังคงมีความกังวลอยู่เสมอ แต่เธอก็อดไม่ได้และเอ่ยถามฉียวี่ชูในที่สุด “ลุงฉี คุณช่วยบอกฉันได้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? ”
เธอต้องการถามคำถามนี้กับลุงฉีมานานแล้ว แต่เพราะเกรงกลัวในอารมณ์ของอีกฝ่าย เธอเลยไม่กล้าเอ่ยปากถามเลย
แต่เธอเกรงว่าถ้าวันนี้ไม่ถาม ก็คงจะไม่มีโอกาสได้ถามอีกแล้ว
ฉียวี่ชูได้ยินซูฉิงถามเกี่ยวกับอาเสว่อีกครั้ง เขาตัดสินใจพูดกับซูฉิงหลังจากเงียบไปนานว่า “อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไรหรอก อาเสว่เป็นป้าของคุณและเป็นเพื่อนเก่าของฉัน”
คุณป้า?
ชูฉิงขมวดคิ้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินคำนี้จากลุงฉี
คุณพ่อคุณแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เธอจะยังมีญาติคนอื่นได้อย่างไร? แต่ก่อนก็ไม่เคยได้ยินลุงฉีพูดอะไรที่มันครึ่งๆกลางๆแบบนี้มาก่อน
ดูเหมือนว่าอาเสว่คนนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอจริงๆสินะ สรุปแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นป้าของเธอหรือไม่ ซูฉิงเองก็ไม่แน่ใจ
แต่ข่าวนี้ก็เพียงพอที่จะเรียกความประหลาดใจจากเธอแล้ว
ซูฉิงคว้าแขนของฉียวี่ชูและถามอย่างกระตือรือร้นว่า “ลุงฉีบอกว่าคุณอาเสว่เป็นป้าของฉัน ทำไมคุณไม่บอกฉันก่อนหน้านี้?”
ฉียวี่ชูเงียบ ซูฉิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว อาเสว่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับลุงฉี ถ้าเธอเป็นป้าของฉันจริง ลุงฉีก็น่าจะรู้จักพ่อแม่ของเธอ?
ทันทีที่ความคิดนั้นเกิดขึ้น ซูฉิงก็ถามอีกฝ่ายทันทีว่า “ถ้า…ถ้าเป็นอย่างนั้น ลุงฉี คุณรู้จักพ่อแม่ของฉันไหม พวกเขาตายไปได้ยังไง คุณบอกฉันได้ไหม?”
ซูฉิงมีอาการตื่นเต้นขึ้นมาทันที ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เห็นจะมีเพียงข่าวเกี่ยวกับพ่อแม่ของเธอเท่านั้นที่สามารถทำให้เธอตกอยู่ในอาการแบบนี้ได้
เธออยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น และเกิดอะไรขึ้นกับความทรงจำที่เธอสูญเสียไปกันแน่
เสียงของซูฉิงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ยวี๋น่ากลัวว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะรู้จักซูฉิง และคงจะมีไม่เป็นการดีแน่ถ้าซูฉิงจะต้องกลับไปเป็นขี้ปากให้บรรดาบุคคลในโลกโซเชี่ยลซุบซิบนินทาอีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงจับมือของซูฉิงแน่นพยายามปลอบโยนอีกฝ่ายให้ใจเย็นลง “ซูฉิง ใจเย็นๆหน่อย…ที่นี่คือสนามบิน ถ้าเธอมีอะไรจะพูดกับลุงฉีเธอต้องพูดช้าๆอย่าใช้อารมณ์”
ฉียวี่ชูจ้องมองใบหน้าของซูฉิงนิ่งพลางถอนหายใจออกมา ชายแก่ตรงหน้าปิดเปลือกตาลงเล็กน้อยและพูดตอบเธอด้วยประโยคที่สั้นและได้ใจความ
“ขอโทษนะ ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพ่อแม่เธอดีพอ”
แต่ว่า
เห็นได้ชัดว่าซูฉิงไม่เชื่อคำพูดของฉียวี่ชู เธอกำลังจะเอ่ยถามคำถามต่อไป แต่เสียงประกาศจากทางสนามบินดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทางสนามบินได้ประกาศเตือนผู้โดยสารที่ต้องเดินทางไปภูเขาฉางไป๋ว่าต้องใช้ระยะเวลาครึ่งชั่วโมงและประกาศเชิญนักท่องเที่ยวให้ทยอยขึ้นเครื่องบิน
ฉียวี่ชูพยักหน้าและกล่าวกับซูฉิงว่า “ซูฉิง ฉันจะต้องขึ้นเครื่องบินแล้ว เรื่องพวกนี้เราค่อยคุยกันทีหลังแล้วกัน”
“อาจารย์ฉี ฉันขอให้คุณเดินทางปลอดภัย”
ในเวลานี้ยวี๋น่าเหลือบตามองซูฉิงเพียงเล็กน้อย ซูฉิงพยายามละสายตาจากฉียวี่เหอ แต่ดวงตาของเธอไม่สามารถซ่อนเร้นความเสียใจได้ เธอจึงวางมือบนไหล่ของซูฉิงเพื่อปลอบโยนเพื่อนรักและกล่าวลาฉียวี่เหอที่เตรียมตัวจะไปขึ้นเครื่องบินในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า