นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 394 วางแผนมาเเล้วหรือเเค่บังเอิญ
ตอนที่ 394 วางแผนมาเเล้วหรือเเค่บังเอิญ?
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามมากมายจากนักข่าว ซูฉิงก็ยังคอยเลี่ยง โชคดีที่มีนักข่าวไม่มากเหมือนครั้งที่แล้ว ทั้งสองคนจึงขึ้นรถพี่เลี้ยงอย่างง่ายดายและรีบกลับไปที่ถ่ายทำ
เฉินจุนเหยียนถอนหายใจหลังจากขึ้นรถ ก่อนจะเอนหลังพิงเบาะนั่งแล้วพูดว่า “ตอนออกจากโรงพยาบาลแล้วเจอพวกเขาก็ยังรู้สึกรับมือไม่ถูกเลยนะเนี่ย”
ซูฉิงยิ้ม “โชคดีที่สตูดิโอปิดหลังจากนี้ และข้างนอกก็คอยดูแลมากขึ้น อีกทั้งทุกคนเห็นนายกลับไปแล้วก็คงดีใจ”
“จริงสิ กลับไปที่บริษัทก่อนเถอะ นายเพิ่งออกจากโรงพยาบาลต้องต้องดูแลร่างกายให้ดี ผ่านไปสักหน่อยค่อยกลับสตูดิโอแล้วกันนะ”
“ไม่ต้องหรอก ไปที่สตูดิโอเลยดีกว่า ฉันเองก็คิดถึงพวกเขาแล้ว แล้วก็ต้องตามถ่ายให้ทันด้วย จะล่ากว่านี้ไม่ได้แล้วล่ะ”
“ไม่เป็นไร—”
“ซูฉิง ตามใจฉันเถอะนะ ฉันเป็นนักแสดง การถ่ายทำคืองานของฉัน ทำงานล่วงเวลาก็ไม่เป็นไร”
เมื่อเห็นเฉินจุนเหยียนยืนกรานขนาดนี้ ซูฉิงก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกัน และรถพี่เลี้ยงขับมาถึงด้านนอกสตูดิโอถ่ายทำ ทุกคนที่รู้ว่าเฉินจุนเหยียนกำลังจะกลับมา ก็มีทีมงานบางส่วนมารอรับตรงประตูแล้ว ทั้งทีมงานและนักแสดงที่เหลือก็พากันทักทาย
“สวัสดีนะทุกคน ฉันกลับมาแล้ว”
“จุนเหยียน คุณกลับมาแล้วเหรอคะ”
“ผู้อาวุโสเฉิน อาการบาดเจ็บของคุณดีขึ้นไหมคะ ต้องการพักอีกหน่อยไหมคะ”
“ซุปเปอร์สตาร์เฉินในที่สุดก็กลับมาแล้ว ช่วงนี้กองถ่ายที่ไม่มีคุณอยู่ เราทุกคนเหมือนขาดอะไรไปเลยครับ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว ดีขึ้นไหมครับ?”
“…”
เมื่อเผชิญกับคำทักทายของทุกคน เฉินจุนเหยียนก็ยิ้มแย้ม และตอบทีละคนอย่างอดทน ซูฉิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดกับทุกคนว่า “อาการบาดเจ็บของจุนเหยียนเกือบจะหายดีแล้วล่ะ แต่เขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาลวันนี้ ให้เขากลับไปพักที่โรงแรมสักวันดีไหม พรุ่งนี้เราค่อยเริ่มถ่ายตามปกติแล้วกันนะ”
ทุกคนพยักหน้ารับข้อเสนอของซูฉิง แต่เฉินจุนเหยียนกลับปฏิเสธ
“ไม่จำเป็นหรอก” เขาส่ายหัว ยิ้มและพูดกับซูฉิง “ฉันนอนอยู่โรงพยาบาลมาตั้งหลายวันแล้ว และหมอก็บอกว่าฉันสามารถเริ่มทำงานได้ตามปกติ เริ่มเดี๋ยวนี้เลยก็ได้นะ”
“แต่นาย—”
ซูฉิงยังคงกังวลเล็กน้อย แต่เฉินจุนเหยียนกลับส่งสายตาปลอบใจเธอ
“ไม่เป็นไร ความคืบหน้าในการถ่ายทำลดลงไปมาก รีบถ่ายเร็วก็จะได้ส่งไปเทศกาลหนังตรงเวลาไง”
หลิวเสี่ยวหนิงที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนมองไปที่เฉินจุนเหยียนพร้อมรอยยิ้ม เธอชอบเฉินจุนเหยียนนั้นเป็นเรื่องจริง
แม้ว่าเธอจะผิดหวังตอนที่เห็นเฉินจุนเหยียนอยู่กับซูฉิง แต่เธอรู้ว่าตอนนี้ตัวเองยังไม่พร้อมเท่าซูฉิง แค่ชอบก็ดีแล้ว ซึ่งเข้าใจได้
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็เริ่มเลยเถอะ อย่าเพิ่งพักก่อนล่ะ เริ่มงานได้!”
ทันทีที่ผู้กำกับพูดก็ถือเป็นคำตอบ และสตูดิโอก็เข้าสู่การถ่ายทำอย่างเต็มกำลังในทันที
แม้ว่าฉากโซโล่ของเฉินจุนเหยียนบางฉากจะต้องถ่ายซ้ำ แต่ก็มีฉากที่เข้ากับหลิวเสี่ยวหนิงมากกว่า ในช่วงเวลาที่เฉินจุนเหยียนไม่อยู่ หลิวเสี่ยวหนิงก็ร่วมมือกับผู้อื่นจนฝีมือการแสดงก็ดีขึ้นมาก
ยิ่งไปกว่านั้น เธอกับเฉินจุนเหยียนแสดงเป็นคู่รักที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเพราะความเข้าใจผิด แน่นอนว่าความรักคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
เฉินจุนเหยียนอาศัยทักษะการแสดงของเขา ในขณะที่หลิวเสี่ยวหนิงใช้ความรู้สึกที่แท้จริงมากกว่า
เกือบทุกฉากต้องสบตากัน หรือไม่ก็นางเอกมองพระเอก หลิวเสี่ยวหนิงที่เล่นละครแต่ความรู้สึกที่ส่งไปนั้นคือของจริง
ดังนั้นตราบใดที่พวกเขาสร้างฉากที่อบอุ่น ทั้งสองคนก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ผ่านไปสองชั่วโมง เฉินจุนเหยียนรู้สึกเหลือเชื่อ หลังจากที่ผู้กำกับสั่งคัต เขาก็ยิ้มและมองไปที่หลิวเสี่ยวหนิงและยกย่องอย่างจริงใจ
“เสี่ยวหนิง ไม่คิดเลยว่าฝีมือการแสดงของเธอจะพัฒนาเร็วขนาดนี้ ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน แต่กลับทำฉันประทับใจจริงๆ นะเนี่ย”
หลิวเสี่ยวหนิงรู้สึกปลาบปลื้ม แต่ก็ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วและหัวเราะ ก่อนจะพูดอย่างสุภาพว่า “ช่วงนี้ซ้อมกับรุ่นพี่ในกลุ่มน่ะค่ะ พวกเขาเองก็สอนฉันเยอะมาก แต่ผู้อาวุโสเฉินก็ชมฉันแบบนี้ แสดงว่าความพยายามของฉันไม่สูญเปล่าสินะคะ?”
เฉินจุนเหยียนหัวเราะ และระหว่างการถ่ายทำเมื่อกี้ ซูฉิงก็นั่งอยู่หลังเครื่องกับผู้กำกับ เฝ้าดูการเคลื่อนไหว ดวงตา และคำพูดของนักแสดงแต่ละคน
ความก้าวหน้าของหลิวเสี่ยวหนิงนั้นมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสายตาของเธอที่มีต่อเฉินจุนเหยียนนั้น…อาจไม่สามารถแสดงออกมาได้
เมื่อเห็นว่าเฉินจุนเหยียนกำลังคุยกับหลิวเสี่ยวหนิงอยู่ เธอก็เดินไปและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสี่ยวหนิง เธอก้าวหน้ามากเลยนะ ตอนที่เธอเข้าฉากกับเฉินจุนเหยียนก็มองออกเลยนะว่าเข้ากันได้ เมื่อเวลาผ่านไป เธอต้องเป็นนักแสดงยอดเยี่ยมได้แน่นอน”
“ขอบคุณนะคะพี่ซูฉิง ฉันจะตั้งใจทำงานอย่างแน่นอนค่ะ!”
หลิวเสี่ยวหนิงดีใจมาก ก่อนจะโค้งคำนับให้ซูฉิง ซูฉิงหัวเราะและโบกมืออย่างรวดเร็วก่อนจะพูดขึ้น
“เอาล่ะๆ มันเป็นเพราะตัวเองทั้งนั้นเลยนะ อีกทั้งเธอก็จริงจังกับการแสดงมาก ไม่ต้องสุภาพมากนักหรอก”
“อา…”
จู่ๆ ซูฉิงก็นึกอะไรขึ้นมาได้ก่อนจะหันหลังไปเผชิญหน้ากับพนักงานที่ยุ่งหรือกำลังพักผ่อนอยู่ ก่อนจะปรบมือของเธอแล้วพูดเสียงดัง
“เพื่อเป็นการฉลองที่จุนเหยียนออกจากโรงพยาบาลในวันนี้ ฉันจะเป็นเจ้าภาพ ขอเชิญทุกคนไปทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารจื่อเถิงนะ เสร็จงานแล้วต้องไปให้ได้ล่ะ!”
“ได้เลยครับ!”
ทุกคนส่งเสียงพร้อมกัน และบรรยากาศในกองถ่ายก็ไม่ครื้นเครงกันมาก
พอถึงตอนเย็น ทีมงานและนักแสดงที่เหลือทั้งหมดต่างพากันไปที่ร้านอาหารจื่อเถิง ซูฉิงได้โทรมาจองทางร้านไว้แล้ว เพราะยังไงก็ถ่ายทำมาได้ระยะหนึ่งแล้ว และไม่เคยใครในทีมเคยมาเลย
แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นว่ามีร่างที่ปรากฏขึ้นใกล้สตูดิโอ
แอนนา
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้เจอกับซูฉิง ก็สังเกตท่าทีของซูฉิงมาตลอด ส่วนภาพยนตร์เรื่อง “พ่าหวังเปี๋ยจี” เธอก็รู้อยู่แล้วว่าถ่ายกันที่ไหน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ว่าคืนนี้จะไปกินเลี้ยงกันที่ไหนกัน
ด้านในร้านอาหารจื่อเถิง
ห้องโถงสำหรับจัดงานเลี้ยงบนชั้นสองนั้นเต็มไปด้วยทีมงานและนักแสดง ทุกคนต่างมีความสุข ในช่วงเวลานั้นก็มีบางคนถึงกับให้เพื่อนๆ แสดง ซึ่งได้รับเสียงปรบมือและมีชีวิตชีวามาก
“ผู้อาวุโสเฉินคะ คุณเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ควรกินอะไรจืดๆ นะคะ”
หลิวเสี่ยวหนิงคีบอาหารให้เฉินจุนเหยียนก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสุภาพ
ซูฉิงที่นั่งดูอยู่ไม่ไกล ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่น่าพึงพอใจ เธอมองออกว่าหลิวเสี่ยวหนิงเป็นเด็กดีมาก
“ฉันไปห้องน้ำก่อนนะ”
หลังจากที่ซูฉิงกระซิบกับเพื่อนของเธอ เธอก็ไปห้องน้ำ ในขณะที่มองกระจกเพื่อเตริมเครื่องสำอาง ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมา
เมื่อเห็นซูฉิง เธอก็ตกตะลึงครู่หนึ่งแล้วเธอก็อุทานด้วยความประหลาดใจ “ซูฉิง เธอมาได้ไง!”
ซูฉิงหันมองอย่างสงสัยก่อนจะเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย—แอนนา