นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 5 ใครอนุญาตให้เธอกลับโดยไม่บอกฉัน
“หว่านเอ๋อร์ นี่เธอบอกว่าเธอยังเล่นไม่เท่าไหร่งั้นเหรอ! ”
“คุณซู ทำไมคุณถึงไม่กล้าขึ้นไปล่ะ หรือว่าคุณเล่นเปียโนไม่เป็น! คู่หมั้นของประธานฮ่อเล่นเปียโนไม่เป็น ถ้าเรื่องนี้ถูกพูดออกไป คงได้กลายเป็นเรื่องตลกแน่ๆ!”
มีผู้คนมากมายอยู่รอบๆ และพวกเขาทั้งหมดก็มองซูฉิงเป็นเรื่องตลก
แม่ฮ่อรู้สึกอายมาก และมองดูซูฉิงด้วยดวงตาที่ดูน่าขยะแขยงยิ่งขึ้นไปอีก
ซูฉิงยิ้ม “ฉันแค่คิดว่าการเล่นเปียโนในงานเลี้ยงแบบนี้ ก็เหมือนกับการขายความสามารถ แต่ในเมื่อพวกคุณทุกคนต้องการฟัง ฉันก็จะเล่น”
หลังจากพูดจบ ซูฉิงก็วางแก้วไวน์ลงและเดินไปที่เปียโน ด้วยท่าทางที่สง่างาม
เธอเลือกเล่นเพลงเดียวกับสวีหว่านเอ๋อร์ สวีหว่านเอ๋อร์อยากจะฉีกหน้าเธอ แต่เธอไม่รู้เลยว่าซูฉิงสอบเปียโนผ่านเกรด 10 ตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ
คนที่อยากเห็นซูฉิงขายหน้า ตลอดชีวิตนี้ก็ไม่มีวันได้เห็น!
เสียงเปียโนไพเราะค่อยๆ บรรเลงออกมา และผู้คนบนฟลอร์เต้นรำเต้นก็เริ่มเต้นรำร่วมกับเพลงที่ซูฉิงกำลังบรรเลง และก็เกิดเป็นภาพที่ดูสวยงามกลมกลืนกันมาก
คนที่อยู่ที่นั่นคือคนที่รู้วิธีเล่นเปียโน ในงานเลี้ยงนี้ทุกคนก็ล้วนแต่ฟังออกว่าซูฉิงเล่นได้ดีกว่าสวีหว่านเอ๋อร์ และดีกว่ามากๆ
ฮ่อหยุนเฉิงที่รับแขกอยู่ในขณะนั้นก็ตกตะลึงเช่นกัน เขามองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ตรงเปียโน
เธอสวมชุดราตรีสีฟ้าอ่อน ผมลอนพาดที่หลังคอของเธอ เธอหลับตาและบรรเลงนิ้วลงบนแป้นเปียโน ซึ่งงดงามจนแทบจะหยุดหายใจได้เลย
ไม่เพียงแต่ฮ่อหยุนเฉิงเท่านั้น แต่แขกจำนวนมากก็ต่างพากันตกตะลึง
สวีหว่านเอ๋อร์ที่อยู่ล่างเวทีก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า ใบหน้าของเธอดูเหมือนจะถูกตบเข้าอย่างจัง และมันก็เจ็บมากด้วย
ซูฉิงสามารถเล่นเปียโนได้ดีกว่าเธอจริงๆงั้นหรือ? มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
หลังจากเพลงจบลง ซูฉิงก็เดินลงมา
“คุณหนูซูมีความสามารถจริงๆ ฉันสู้ไม่ได้เลยจริงๆ” สวีหว่านเอ๋อกล่าวอย่างเปิดเผย แต่ในใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยไฟโกรธ
สวีหว่านเอ๋อร์อย่างเธอ ไม่สามารถแม้แต่จะเทียบกับสาวบ้านนอกได้งั้นเหรอ?
“คุณหนูสวีก็เล่นได้ดีมากเช่นกัน” ซูฉิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีดำก็เดินเข้ามาหาพวกเขา
ซูฉิงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นี่ไม่ใช่ลุงอันพ่อบ้านของคฤหาสน์หรอกหรือ? เขามาได้ยังไงกัน?
ความจริงของเธอคงยังไม่ถูกเปิดเผยตอนนี้ใช่ไหม!
พ่อบ้านอันเดินตรงไปหาพวกเขา เขาเหลือบมองซูฉิงแต่ก็ไม่พูดอะไร เขาเดินตรงไปและพูดกับฮ่อหยุนเฉิง “สวัสดีครับ ประธานฮ่อ นายหญิงฮ่อ ฉันชื่ออันเฟิง พ่อบ้านของตระกูลซู ฉันต้องขอโทษจริงๆ พอดีท่านผู้เฒ่าร่างกายไม่ค่อยดี ดังนั้นฉันจึงต้องมาเข้าร่วมงานเลี้ยงแทนแล้ว”
แม่ฮ่อรีบก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “คุณอัน อย่าได้เกรงใจเลย ท่านซูโอเคดีใช่ไหมคะ?”
และจากนั้นพวกเขาสองสามคนก็คุยกันต่อ และทุกคนในโลกภายนอกก็รู้ดีว่าท่านผู้เฒ่าซูและท่านผุ้เฒ่าฮ่อเป็นเพื่อนรักกัน และอาจกล่าวได้ว่าครองตลาดการค้าในสมัยนั้นเลยก็ได้
แต่ทว่า ท่านผู้เฒ่าซูได้ขายบริษัทไปเมื่อหลายปีก่อน และลาออกจากวงการธุรกิจ ผ่านไปหลายปีก็ไม่มีข่าวออกมาอีกเลย ได้ยินมาว่าเขาพาหลานสาวไปเที่ยวรอบโลกแล้ว
แต่สถานะและชื่อเสียงของตระกูลซูก็ยังคงกระจายไปทั่วโลก
อันเฟิงหยิบของขวัญที่เตรียมไว้โดยชายชราออกมา ซึ่งเป็นภาพวาดที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่ดินมูลค่าหลายร้อยล้านทางตอนใต้ของเมือง… และอื่นๆอีกมากมาย
ของขวัญที่ตระกูลซูมอบให้ มันเป็นของขวัญที่ดูฟุ่มเฟือยจริงๆ
ซูฉิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย ทำไมเงินมากมายแบบนี้ ถึงถูกมอบให้เป็นของตระกูลฮ่อ…
แต่โชคดีที่ อันเฟิงไม่ได้ทักเธอ หากสถานะจริงๆของเธอถูกเปิดเผย มันก็จะไม่สนุกแล้ว และแม่ฮ่อก็ดูเย่อหยิ่งมาก บางทีเธออาจจะไม่ปล่อยให้ตัวเธอเองจากไปหลังจากสามเดือนแล้วก็ได้
และถ้าฮ่อหยุนเฉิงรู้ว่าเธอมีเงินมากมาย เขาอาจตกหลุมรักเธอเข้าก็ได้
ในขณะที่ซูฉิงกำลังคิดอะไรเพลินๆ เพื่อนสาวของสวีหว่านเอ๋อร์ก็กล่าวขึ้นว่า “ตระกูลซูนี้รวยมากเลยนะ อ๋อ ใช่สิ หว่านเอ๋อ ฉันได้ยินมาว่าเธอได้เจอกับหลานสาวของตระกูลซูที่งานแฟชั่นโชว์ในปารีสมาก่อนใช่ไหม!”
หลานสาวของตระกูลซูเป็นตำนานในโลกภายนอกเสมอมา และอย่าว่าแต่เห็นเลย น้อยคนนักที่จะรู้จักชื่อของเธอ
สวีหว่านเอ๋อร์พยักหน้า: “ใช่ เธอสวยมาก!”
“หว่านเอ๋อร์น่าทึ่งมาก เธอยังได้เพิ่มเพื่อนในวีแชทของคุณหนูซูด้วย และคุณหนูซูก็บอกกับหว่านเอ๋อร์อีกว่าถ้าเธอมาเมืองA เธอจะมาเที่ยวหาหว่านเอ๋อร์!” เพื่อนสาวอีกคนของสวีหว่านเอ๋อร์กล่าวอีกครั้ง
“ว้าว! หว่านเอ๋อร์คุณนี่ยอดเยี่ยมเกินไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูฉิงก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและมองไปที่สวีหว่านเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ
เมื่อตระหนักถึงการจ้องมองของเธอ สวีหว่านเอ๋อร์ก็มองกลับมา
“มีอะไรเหรอ คุณหนูซู?”
“คุณเคยเจอหลานสาวของตระกูลซูงั้นเหรอ?”
สวีหว่านเอ๋อร์พยักหน้า
“ทำไมเหรอ? เธออิจฉาหว่านเอ๋อร์มากเลยเหรอ! นามสกุลซูเหมือนกัน แต่คนบ้านนอกอย่างเธอกับคุณหนูซูมันต่างกันมากเลยล่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เพื่อนสาวของสวีหว่านเอ๋อร์พูด จู่ ๆ ซูฉิงก็ยิ้มออกมาและไม่ได้พูดอะไร เป็นกลุ่มคนงี่เง่ากลุ่มหนึ่งจริงๆ
เมื่อเห็นรอยยิ้มนี้ สวีหว่านเอ๋อร์รู้สึกงงงันเล็กน้อย เป็นไปได้ไหมว่าซูฉิงรู้ว่าเธอไม่เคยเห็นหลานสาวของตระกูลซูเลย เป็นไปไม่ได้ เธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เธอคงคิดมากเกินไปแล้ว
เธอตื่นตระหนกในใจ เมื่อเห็นซูฉิงส่ายหัวเล็กน้อย ถอนหายใจและเดินจากไป มุมปากของเธอมีรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยคำเย้ยหยัน
เธอบอกกับตัวเองว่าซูฉิงไม่น่าจะรู้ แต่สวีหว่านเอ๋อร์ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกในใจ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกรำคาญมาก
แค่คนบ้านนอกคนหนึ่ง จะทำท่าทางแบบนั้นให้ใครดูกัน ทั้งๆที่ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง ยังจะมาวางท่าอวดดี หึ!
ในหัวของเธอมีแสงวาบเข้ามา เธอคิดหาวิธีได้แล้ววิธีหนึ่ง สวีหว่านเอ๋อร์มองไปที่แผ่นหลังของซูฉิงและแสดงรอยยิ้มที่โหดร้าย
ซูฉิงนำไวน์มาหนึ่งแก้วและเดินไปที่มุมที่เงียบสงบเพื่อนั่งลง
รู้สึกว่ามีคนกำลังมองมาที่เธอ ซูฉิงเห็นมันโดยสัญชาตญาณ สายตาของนั้นมองผ่านฝูงชนมาที่เธอ และเธอก็ได้สบตากับฮ่อหยุนเฉิง
หลังจากที่ฮ่อหยุนเฉิงได้ฟังเปียโนจากซูฉิงเสร็จ สายตาของเขาก็ไม่เคยละไปจากเธอเลย
เขากำลังคิดว่าเธอเล่นเปียโนได้อย่างไร และท่าทางอันสูงส่งที่มีมาแต่กำเนิดของเธอก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้หญิงบ้านนอกจะมีได้ เมื่อฮ่อหยุนเฉิงเห็นซูฉิงที่มองมาที่เขา เขาก็รู้สึกตัวในทันที และใจเขาก็เต้นแรงมาก
แต่แล้วเขาก็เห็นว่าซูฉิงทำราวกับว่าเขาไม่มีตัวตน เพียงแค่เหลือบมองเขาเบา ๆ แล้วก็หันไปมองทางอื่น
จู่ๆ หัวใจของฮ่อหยุนเฉิงก็เต็มไปด้วยไฟอันร้อนระอุอย่างไร้เหตุผล และมันอึดอัดมาก
ซูฉิงจิบไวน์ในแก้วของเธอแล้วก้มหน้าลงด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยจากมุมที่คนอื่นมองไม่เห็น
เธอรู้ว่าฮ่อหยุนเฉิงคิดอะไรอยู่ในขณะที่มองมาที่เธอเมื่อกี้ เธอเล่นเปียโนเก่งขนาดนี้ คนใจแคบ มีอคติ และหยิ่งยโสอย่างเขา ที่จริงๆแล้วน่าจะรอดูเธอขายหน้า ตอนนี้ต้องแปลกใจมากแน่ๆ
ค่อยๆคิดไปแล้วกันนะ!
เธอไม่ชอบยุงกับผู้ชายที่เอาแต่ใจตัวเองแบบนั้น
ในช่วงสามเดือนนี่ถือว่าเธอแค่ฝึกฝนความอดทน และเล่นๆไปแค่นั้น
หลังจากนั่งอยู่คนเดียวเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาเลิกงานแล้ว ซูฉิงก็เตรียมตัวที่จะออกไปก่อน
ขณะที่เธอกำลังจะนั่งแท็กซี่ออกไปคนเดียว เสียงของฮ่อหยุนเฉิงก็ดังมาจากด้านหลัง “ใครอนุญาตให้เธอกลับโดยไม่บอกฉัน?”