นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 513 หลอกล่อให้ติดกับดัก
นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 513 หลอกล่อให้ติดกับดัก
ฮ่อหยุนเฉิงขมวดคิ้วและกำลังจะเอ่ยปากพูด ทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นแปลกประหลาดที่ทำให้ตนเองหมดสติลงไป
ในที่สุดมิเชลก็หลอกล่ออีกฝ่ายให้เข้ามาติดกับดักที่วางไว้จนสำเร็จ ฮ่อหยุนเฉิงเองก็เริ่มครุ่นคิดได้ถึงความคิดร้ายของอีกฝ่ายแต่กลับไม่ทันการเอาเสียแล้ว
มิเชลมองดูร่างที่ล้มหมดสติลงไปของชายตรงหน้า เธอย่อตัวลงตรงหน้าชายหนุ่มและช้อนหน้าคมขึ้นมามองพลางยิ้มออกมาด้วยความสะใจ และในทันใดนั้นเองเหล่าบอดี้การ์ดสามสี่คนก็พากันเดินออกมาจากมุมมืดและในมือของพวกเขาก็ถือเครื่องแปลงเสียงอยู่ด้วย
นี่ถือเป็นกับดักที่พวกเขาตั้งใจขบคิดและล่อลวงฮ่อหยุนเฉิงมายังที่นี่
มิเชลแกล้งหลอกว่าถูกผู้ไม่ประสงค์ดีจับตัวมา แท้จริงแล้วเธอให้เหล่าบอดี้การ์ดของเธอโทรหาฮ่อหยุนเฉิงเพื่อโกหกฝ่ายชาย เธอซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อบินกลับฝรั่งเศสแล้วแต่เธอจะกลับไปที่นั่นก็ต่อเมื่อเธอได้สานสัมพันธ์กับฮ่อหยุนเฉิงแบบที่เธอวาดหวังไว้เท่านั้น เพราะฉะนั้นฮ่อหยุนเฉิงจะต้องแต่งงานกับเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น แม้แต่ซูฉิงก็ไม่มีวันจะได้กล้ำกรายมาเป็นผู้หญิงของฮ่อหยุนเฉิงอีกต่อไป
“เอาโทรศัพท์ของเขาไปทิ้งที่ชานเมือง ห้ามให้ซูฉิงรู้เด็ดขาดว่าเขาอยู่ที่ไหน”
มิเชลออกคำสั่งกับบอดี้การ์ดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
คนที่เธอต้องการและอยากจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยมีเพียงแค่ฮ่อหยุนเฉิงคนเดียวเท่านั้น
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงกว่าฮ่อหยุนเฉิงจะรู้สึกตัวขึ้นมา เขาค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมองรอบกายอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่ปรากฏที่เด่นชัดในสายตาคือเพดานของห้องไม้ แต่เขากลับไม่มีแรงที่จะลุกขึ้น ไม่มีแรงแม้แต่จะขยับมือเลยด้วยซ้ำ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงอ่อนโยนดังขึ้นบริเวณใบหูของเขา “หยุนเฉิง ในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้ว”
หลังจากที่ฮ่อหยุนเฉิงได้ยินเสียงของมิเชลแล้วนั้นความทรงจำต่างๆก็พากันหลั่งไหลเข้ามา ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเอง และยิ่งเห็นว่ามิเชลไม่ได้เป็นอะไร อีกทั้งหญิงสาวยังใส่ชุดวาบหวิวที่มองทะลุเข้าไปเห็นชุดชั้นในสีดำนั้นแล้ว ยิ่งทำให้ฮ่อหยุนเฉิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เขาเอ่ยปากถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม แววตาคมจ้องไปยังร่างของมิเชลด้วยแววตาไม่พอใจ “มิเชล คุณกำลังจะทำอะไร”
มิเชลยกยิ้มแผ่วเบา เส้นผมสีทองค่อยๆเคลื่อนใกล้เข้ามา ปลายนิ้วมือยาวลูบไล้ไปทั่วใบหน้าของฮ่อหยุนเฉิง ร่างสวยตรงหน้าทั่งร่างหอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำหอม
“หยุนเฉิง คุณห้ามโทษว่าเป็นความผิดของฉันนะ ถ้าฉันไม่ทำแบบนี้คุณจะกลับไปฝรั่งเศสกับฉันได้อย่างไรใช่ไหม?”
“คุณกำลังพูดบ้าอะไร?”
มิเชลมองคนตรงหน้าด้วยแววตารักใคร่และส่งยิ้มพิมพ์ใจให้อีกฝ่ายโดยไม่มีท่าทีโกรธแต่อย่างใด เธอคุกเข่าลงตรงหน้าฝ่ายชายและใช้สองมือประคองใบหน้าของเขาและพูดขึ้นว่า
“หยุนเฉิง คุณไม่รู้หรอกว่าฉันชอบคุณมากขนาดไหน ตั้งแต่วันแรกที่ได้พบคุณฉันก็รู้สึกง่าคุณคือคนที่ฉันตามหามาทั้งชีวิต แต่ทำไมคุณต้องคอยเอาแต่ปฎิเสธฉันด้วยล่ะ? คบกับฉันมันไม่ดีตรงไหนเหรอ? เพราะฉะนั้นฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพาคุณกลับไปฝรั่งเศสกับฉัน ถ้าเราสองคนได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ฉันเชื่อว่าสักวันคุณจะต้องชอบฉันแน่นอน”
เมื่อได้ยินดังนั้นสายตาของฮ่อหยุนเฉิงก็เผยความตระหนกตกใจและความไม่เข้าใจออกมา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมมิเชลถึงยังดื้อและดึงดันทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ ทั้งๆที่เขาก็พูดให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วแท้ๆ
“มิเชลคุณตั้งสติและฟังให้ดีนะ! ฉันเคยบอกคุณไปเลยไม่ใช่เหรอ ฉันมีซูฉิงอยู่แล้ว และเราสองคนก็กำลังจะแต่งงานกัน!”
เมื่อมิเชลได้ยินชื่อของซูฉิงจากปากของฮ่อหยุนเฉิง เธอก็มีใบหน้าเลือดเย็นขึ้นทันที “แล้วมันเกี่ยวกันยังไงล่ะ อีกไม่นานคุณก็ไม่ใช่คนของเธออีกต่อไปแล้ว”
ณ บัดนี้ ฮ่อหยุนเฉิงมีอาการโกรธจนถึงขีดสุดเป็นที่เรียบร้อย เขาคิดไม่ถึงเลยว่ามิเชลจะเป็นคนแบบนี้ ดูวิธีที่หญิงสาวใช้บีบบังคับเขาให้ยอมจำนนให้กับเธอสิ ถ้าเขารู้ตั้งแต่แรกเขาคงจะไม่ออกตามหาผู้หญิงคนนี้!
มิเชลหาได้สนใจใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของฮ่อหยุนเฉิงไม่ เธอโถมตัวเข้าใส่ชายตรงหน้าและพยายามจะประกบจูบอีกฝ่าย เธอจูบลงบนแก้ม ใบหู และริมฝีปากของฮ่อหยุนเฉิงอย่างรุกล้ำ มือสวยก็ลูบไล้ลงไปด้านล่างเรื่อยๆและพยายามจะปลดสายเข็มขัดกางเกงของฮ่อหยุนเฉิงออก
“มิเชลคุณหยุดทำบ้าๆได้แล้ว! ทางที่ดีคุณควรหยุดทุกอย่างลง! ถ้าพ่อคุณรู้ว่าคุณทำเรื่องบ้าๆแบบนี้ล่ะก็เขาคงไม่อภัยคุณแน่นอน ตกลงคุณคิดจะทำอะไรกันแน่!”
ฮ่อหยุนเฉิงอยากจะหลบและพยายามปัดป้องการรุกล้ำจากหญิงสาวตรงหน้า แต่เขากลับไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะผลักมิเชลออกไป เขาทำได้เพียงตะโกนก่นด่าเพื่อเตือนสติอีกฝ่าย
แต่มิเชลในตอนนี้กลับเป็นเหมือนคนฟังหูซ้ายทะลุหูขวา ยิ่งเธอได้ยินฮ่อหยุนเฉิงก่นด่าเธอ เธอก็กลับรุกล้ำอีกฝ่ายมากขึ้นราวกับคำก่นด่านั้นเป็นคำบอกรักที่ฝ่ายชายพ่นออกมาอย่างไรอย่างนั้น
“คุณจะพูดยังไงก็พูดไปเถอะ เพราะยังไงวันนี้ฉันก็ต้องเป็นของคุณอยู่ดี ถ้าพ่อเห็นว่าฉันกับคุณคบหากันเขาก็ต้องดีใจมากๆแน่นอน”
“หยุนเฉิง ฉันต้องการคุณ ฉันอยากครอบครองคุณ”
เมืองใหม่สุ่ยเยว่
ซูฉิงยังคงรอคอยการติดต่อมาจากฮ่อหยุนเฉิง เธอเหลือบสายตามองนาฬิกาบนฝาผนังก็ยิ่งวิตกกังวลเข้าไปใหญ่ ขณะนี้เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืนแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ได้รับการติดต่อมาจากอีกฝ่ายเลย หญิงสาวไม่สบายใจและนั่งเครียดจนเปลือกตาข้างขวากระตุกขึ้นถี่ๆหลายครั้ง
ท้ายที่สุดเธอก็ทนไม่ไหวตัดสินใจต่อสายหาฮ่อหยุนเฉิง แต่ไม่ว่าเธอจะกดโทรหาปลายสายไปเยอะเท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงฝากข้อความกลับมาทุกครั้ง
“หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” เสียงฝากข้อความตอบกลับมายังซูฉิงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ภายในใจของซูฉิงตอนนี้เต็มไปด้วยความไม่สบายใจและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เธอจึงตัดสินใจโทรหาหลินเหยียนเฟิงและเล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้ให้อีกฝ่ายฟัง และไหว้วานให้เขาช่วยหาคนออกตามหาฮ่อหยุนเฉิง
หลินเหยียนเฟิงเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากปากของซูฉิงก็ร้อนใจไม่น้อยและจึงวางสายไปด้วยความเร่งรีบ เมื่อวางสายจากหลินเหยียนเฟิงซูซิงก็กดสายโทรหาแอนโธนี่ “แอนโธนี่ คุณช่วยหาพิกัดโทรศัพท์มือถือของฮ่อหยุนเฉิงให้ฉันหน่อย ฉันติดต่อหาเขาไม่ได้เลย ฉันจะออกไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้แหละ”
“ได้ ฉันขอเวลาห้านาที”
แอนโธนี่ตอบรับอย่างรวดเร็ว เพราะการหาพิกัดของโทรศัพท์มือถือนั้นถือเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับตนเองอยู่แล้ว
หลังจากผ่านไปห่านาทีซูฉิงก็ได้รับข้อมูลพิกัดโทรศัพท์มือถือของฮ่อหยุนเฉิงที่แอนโธนี่ส่งมาให้ ซูฉิงกดดูพิกัดสถานที่นั้นอย่างรวดเร็วและรีบคว้าเสื้อคลุมสวมใส่ พุ่งตัวไปขึ้นรถและขับออกไปตามหาฮ่อหยุนเฉิงในทันที
การขับรถไปยังเมือง B ต้องใช้ระยะเวลาเกือบสองชั่วโมง เพราะการโดยสารทางรถนั้นช้ากว่าการโดยสารเรือ ซูฉิงขับรถด้วยความระมัดระวังและเหลือบสายตามองไปยังพิกัดตำแหน่งโทรศัพท์มือถือของฮ่อหยุนเฉิงที่กำลังเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ภายในใจของหญิงสาวเองก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
หยุนเฉิง นายห้ามเป็นอะไรเด็ดขาดนะ…
ไฟสูงหน้ารถถูกเปิดไว้ตลอดจนถึงพิกัดที่ถูกตั้งไว้ บริเวณเบื้องหน้าเต็มไปด้วยป่าและต้นไม้สูง สองข้างทางไม่ปรากฏร่างคนแม้แต่ร่างเดียว ซูฉิงค่อยๆจอดรถลงข้างทางและเปิดประตูรถวิ่งพุ่งตัวไปยังพิกัดมือถือที่อยู่ในป่าไม้สูงใหญ่ เธอเดินเข้าไปไม่ลึกมาก็พบกับโทรศัพท์มือถือของฮ่อหยุนเฉิงที่ตกอยู่และถูกปรับแสงหน้าจอลง
ซูฉิงหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นมาและลอบมองไปทั่วทุกสารทิศด้วยความไม่สบายใจ เธอตะโกนเรียกชื่อฮ่อหยุนเฉิงด้วยเสียงอันดัง “หยุนเฉิง ฮ่อหยุนเฉิง”
แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับใดๆมายังเธอเลยแม้แต่น้อย
คิ้วคมขมวดกันแน่นด้วยความเคร่งเครียด ในเมื่อเธอเจอโทรศัพท์มือถือของเขาแล้วอาจเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากนัก งั้นเธอขอกลับไปตั้งหลักที่รถก่อน ขืนให้เธอเดินไปมั่วซั่วทั้งๆที่ข้างในป่ามืดขนาดนี้คงไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาที่ดีสักเท่าไหร่
เมื่อกลับมาบนรถซูฉิงค่อยๆคลายมือออก มือบางกอบกุมโทรศัพท์มือถือของฮ่อหยุนเฉิงไว้พลางตกอยู่ในห้วงความคิดชั่วขณะหนึ่ง