นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น - ตอนที่ 653 เรื่องอื้อฉาว
นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 653 เรื่องอื้อฉาว
คิดไม่ถึงว่าเฉินมู่ลู่จะไม่ยอมง่ายๆ ซูฉิงแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ มิน่าล่ะถึงได้เป็นคนนิสัยอย่างทำอะไรก็ต้องทำได้ มีพ่อมีร่ำรวยคอยให้ท้ายเธอนี่เอง
“เท่าที่ผมทราบ ลูกสาวของคุณมาหาเรื่องก่อนไม่ใช่หรอ”
กู้ชวนเลิกคิ้ว ที่เขามาครั้งนี้นั้นก่อนที่เขาจะมาก็ศึกษาเรื่องอย่างละเอียดแล้วถึงได้มา :”คิดดูแล้วประธานเฉินก็ไม่ใช่คนใจแคบอะไร เรื่องนี้ก็ให้มันผ่านไปเถอะนะ”
เฉินมู่ลู่ไม่ยอม เนื่องจากทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าล้วนเป็นคนมีหน้ามีตา ตนก็คงจะมีเรื่องบาดหมางกับสองคนนี้คงจะไม่ดี
เขาจ้องซูฉิงเขม็งแล้วเดินออกไป
“ขอบคุณนะคะอาจารย์”
ซูฉิงที่เห็นเฉินมู่ลู่เดินออกไปแล้วถึงได้พ่นหายใจโล่ง แล้วยิ้มให้กับอาจารย์ทั้งสอง
อีกด้าน บ้านของเย่ซี
เย่ซีที่พึ่งเลิกงาน ลากสังขารที่เหนื่อยล้ากลับมาถึงบ้าน และกำลังจะเปิดประตูก็เจอกับเย่ซวง
ก็เห็นเย่ซวงทำหน้าอวดเบ่ง มองเห็นเย่ซีก็แบออกมา:”เอาเงินมา”
เย่ซีไม่พอใจ ส่ายหน้า แล้วเดินผ่านเย่ซวงเข้าไปในห้อง
“วันนี้เธอจะต้องให้เงินฉัน!”
เย่ซีไม่พอใจมาก เย่ซวงอยู่บ้านไม่ทำมาหากิน ยังมาใช้เงินของตนอีก วันนี้ยังหาเรื่องมาเอาเงินจากเธอไปอีก
“จะเอาเงินไปทำอะไร”
“แน่นอนสิว่าเอาไปซื้อน้ำหมึก ฉันถามพ่อแม่แล้ว พวกเขาอนุญาต”
เย่ซีแววตาหดลง น้ำหมึกงั้นหรอ”
“นายเป็นคนในวงการจิตรกรรมพู่กันจีน เกี่ยวอะไรกับฉันด้วย ถ้าจะซื้อนายก็ซื้อเองสิ”
น้ำหมึกของวงการจิตรกรรมพู่กันจีนเย่ซีก็เคยได้ยินมาบ้าง เพราะมันแพงมาก ไม่ใช่คนธรรมดาจะหาซื้อได้
“พ่อกับแม่ก็คิดอย่างนั้นถึงได้ให้มาขอกับเธอ”
คิดไม่ถึงว่าเย่ซวงจะไม่ยอมแพ้ ยังจับแขนของเย่วีไว้ไม่ให้เธอไป
“ปล่อยฉันนะ!”
เย่ซีขัดขืน สะบัดมือของเย่ซวงออก:”ฉันเองก็หาเงินได้ไม่เท่าไหร่ ก็เอามาให้นายใช้จนหมด แล้วฉันจะใช้อะไร”
“อะไรใช้หมด ฉันก็ไม่ใช่เพราะอาชีพของตัวเองหรอกหรอ!” แต่ใครจะรู้ว่าเย่ซวงยังพูดไม่หยุด:”เธอไม่ใช่ทำงานที่บริษัทสตาร์เอนเตอร์เทนเมนท์หรอ ได้ยินว่าสวัสดิการไม่เลว แต่เธอบอกว่าได้เงินไม่เท่าไหร่ ใครจะเชื่อ!”
เย่ซีจ้องเขาเขม็ง แล้วก็พูดปฏิเสธออกไปตรงๆ:”ถึงฉันจะมีเงินก็ไม่ให้นายช่วยฉันใช้หรอกนะ ถ้านายจะซื้อนายก็ไปซื้อเอง อย่ามายุ่งกับฉัน”
เธอโบกมือปฏิเสธ เตรียมตัวจะเดินไปแต่ก็ถูกเย่ซวงจับแขนแล้วดึงกลับมา
“เธอหมายความว่ายังไง จะไม่ซื้อให้ใช่ไหม”
“ใช่ ไม่ซื้อให้!”
เย่ซวงลงมือทันทีจับเข้าที่คอของเย่ซีพร้อมกับพูดขู่
“ถึงวันนี้นายจะฆ่าฉัน ฉันก็ไม่ให้หรอก”
เย่ซีหายใจหอบออกมา ยังคงไม่ยอมปล่อยมือ
คิดไม่ถึงว่าเย่ซีที่อ่อนแอมาตลอดจะแข็งกร้าว ทำให้เย่ซวงคาดไม่ถึง
แต่ว่าเขาที่มีนิสัยขู่เอาเงินมาตลอดไม่คิดสนใจเรื่องนี้หรอก
“ได้ ไม่ให้ใช่ไหม งั้นเธอก็คอยดู”
เย่ซวงพูดอย่างดุแล้วเดินหันหลังกลับไปทางห้องของพ่อแม่
เย่ซีรู้สึกปิดหัว ทุกครั้งเย่ซวงก็จะมาไม้นี้ ทำให้เธอต้องให้เงินแต่โดยดี
และเพราะอย่างนี้เธอถึงต้องพยายามทำงานในบริษัท ไม่งั้นคงจะจุนเจือครอบครัวไม่ได้
และผ่านไปสักพักพ่อและแม่ก็เดินออกมาจากห้อง
และพ่อและแม่เอียงหน้ามองเย่ซี และเย่ซวงก็แอบยิ้มอยู่ด้านหลัง
“ยัยเด็กคนนี้ พี่ชายของเธออยากจะซื้อน้ำหมึกเธอยังไม่ยอมให้ เธอตอบแทนพวกเราอย่างนี้หรอ!”
แม่เย่ชี้หน้าด่าเย่ซี เย่ซีเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดอะไร
เธอเป็นคนเก็บกดตั้งแต่เล็กจนโต สาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากครอบครัว
“น้ำหมึกนั่นราคาแพง………”
เย่ซีที่พูดเสียงเบามาก แต่พ่อแม่ของเธอก็ได้ยิน
“ใช่สิ ตอนนี้เธอเข้าไปทำงานในบริษัทใหญ่โต เงินเดือนหนึ่งเดือนก็สามารถซื้อหมึกได้สิบเท่าแล้วมั้ย ตอนนี้มาบอกกับฉันว่าแพง เธอจะให้พี่ชายของเธอทำยังไง!”
แม่เย่ยังปล่อยไปง่ายๆ เข้าข้างเย่ซวง:”พี่ชายของเธอต่อไปต้องทำธุรกิจใหญ่ เขาตอนนี้ในวงการจิตรกรรมพู่กันจีนจะต้องมีชื่อเสียงด้านนี้แน่ ถ้าแม้แต่น้ำหมึกก็ไม่มีใช้ แล้วที่พยายามไปก็จะไม่เสียแรงเปล่าหรอ?”
เย่ซีที่ได้ยินอย่างนั้นก็แอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
เย่ซวงก็แค่พึ่งชื่อของวงการจิตรกรรมพู่กันจีน แต่ไม่ใช่ทำงานจริงๆ แต่ใครจะรู้ละ
เย่ซีที่เผยแววตาอย่างรู้ทัน ทำให้แม่เย่ยิ่งไม่พอใจ
“เธอมองอย่างนี้หมายความว่ายังไง ตอนนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วนี่ ยังจะมาเถียงฉันอีก!”
แม่เย่ดึงเธอมาแล้วตะคอกด่า ถ้าเป็นเย่ซีเมื่อก่อนคงจะน้ำตานองหน้าไปแล้ว
แต่ทุกวันนี้ น้ำตาของเธอไม่ไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
“ยัยเด็กเหลือขอ ใช่สิตอนนี้ปีกไปอยู่ที่สูงจนไม่เห็นหัวพ่อแม้แล้ว ทำไมถึงได้มีเธอที่เป็นจิ้งจอกขาวอย่างนี้นะ!”
น้ำเสียงของแม่เย่ดังขึ้นเรื่อยๆ และได้ยินไปถึงบ้านเพื่อนบ้าน
เย่ซีที่เป็นคนอ่อนโยนและเชื่อฟังมาตลอด ไม่เคยจะทะเลาะกับแม่เย่มาก่อน และเพื่อนบ้านก็รู้ว่าเย่ซีที่ตอนนี้ได้ทำงานที่สตาร์เอนเตอร์เทนเมนท์ ทำให้เธอมีชื่อเสียง
และวันนี้แม่เย่ดุด่าว่าให้เธออยู่ในบ้าน ยิ่งเป็นที่สนใจของคนละแวกนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น ปกติก็ดีๆ อยู่ไม่ใช่หรอ
พวกเพื่อนบ้านต่างก็ซุบซิบถกเถียงกัน
เรื่องที่เริ่มลามกันไปใหญ่ สุดท้ายคนทั้งถนนต่างก็ทราบเรื่องแล้ว
ซูฉิงที่กำลังมาเยี่ยมเย่ซีที่บ้าน ระหว่างทางก็ได้ยินชาวบ้านคุยกันเรื่องเย่ซี
ซูฉิงที่สงสัยก็ได้แอบฟัง ซึ่งล้วนเป็นคำด่าเย่ซีทั้งนั้น
อะไรไม่ลูกอกตัญญู เนรคุณบ้างละ ทำให้ซูฉิงยิ่งสงสัยมาก
แม้เย่ซีจะอายุยังน้อย แต่ซูฉิงก็รู้ว่า ที่ทำตั้งใจทำงานส่วนหนึ่งก็เพราะครอบครัว และวันนี้ยังมีคนมาพูดว่าเธอไม่กตัญญูอีกหรอ
ซูฉิงที่พอได้ยินอย่างนี้ก็รีบเดินไปที่บ้านของเย่ซี
เธอเคาะประตูบ้าน และก็เป็นแม่เย่เดินออกมาเปิดประตู และแม่ฮ่อก็ยังมีสีหน้าโมโหอยู่ น่าจะยังไม่หายโมโห
“เธอเป็นใคร?”
“คุณป้า สวัสดีค่ะ ฉันคือซูฉิงเป้นเจ้านายของเย่ซี ขอถามหน่อยค่ะเย่ซีอยู่บ้านมั้ยคะ”
แม่เย่ที่ได้ยินอย่างนั้นก็กลับมาทำหน้าให้ความเคารพ
เพราะเป็นถึงเจ้านาย แม่เย่ก็ต้องไว้หน้าสักหน่อย:”อยู่ อยู่ อยู่ในห้องน่ะ”
ซูฉิงถูกพาเข้ามาในห้องของเย่เซี จากนั้นแม่เย่ก็เดินออกไป และเย่ซีที่พึ่งเดินเข้ามาในก้องก็เหมือนจะได้ยินเสียงร้องไห้
“เกิดอะไรขึ้น”
ซูฉิงเดินเข้าไปหาเย่ซีพร้อมกับลูบไหล่ที่สั่นเท่า
“ฮือๆ พี่เสี่ยวฉิง”เย่ซีที่พอเห็นซูฉิงก็ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่ :”พี่ชายของฉันเขาอยากจะได้น้ำหมึกของวงการจิตรกรรมพู่กันจีนแล้วมาขอเงินกับฉัน ฉันไม่ให้ พ่อกับแม่ของฉันก็มาด่าว่าฉันเนรคุณ”
ซูฉิงที่ได้ยินอย่างนั้นก็คิ้วขมวดอย่างรู้แล้ว
คิดไม่ถึงว่าแม่เย่ที่ดูมีเมตตาเมื่อกี้จะมีจิตใจลำเอียงอย่างนี้
“เอาละ หยุดร้องได้แล้ว เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอเอง”
“จริงหรอ”
เย่ซีเงยหน้าขึ้น สืบน้ำมูกถาม