นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 142 อาหารพื้นบ้าน ฟู่เสี่ยวกวนไปยังเรือนพักอาศัยของหวางเอ้อ บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกับหวางเอ้อและหวางเฉียงได้นั่งดื่มชาร่วมกัน หลีเสี่ยวเหมยภรรยาของหวางเอ้อกำลังวุ่นวายกับการทำอาหารอยู่ในครัว สำหรับครอบครัวของหวางเอ้อแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณของเขา ซึ่งในวันนี้ผู้มีพระคุณเดินทางมาหาตน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่พวกเขามิมีอาหารเลิศหรูราคาแพง มีเพียงผักหญ้าที่เก็บเกี่ยวมาตามป่าเขา พวกเขารู้สึกกังวลอย่างยิ่ง แต่บัดนี้มองดูคุณชายกินดื่มอย่างเอร็ดอร่อยมิมีทีท่ารังเกียจใด ๆ “ช่วงนี้ภายในครอบครัวมีสิ่งใดติดขัดหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนถามออกไปตามมารยาท “ไม่มีขอรับ ต้องขอบพระคุณคุณชายที่สร้างเรือนอย่างดีให้พวกเราอาศัยอยู่ อีกทั้งผลผลิตในปีนี้มากกว่าปีก่อนหนึ่งส่วน คุณชายยังให้วัวควายสำหรับไถนา ทำให้พวกเรามิต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างมากทีเดียวขอรับ” หวางเอ้อกล่าวออกมาจากใจจริงด้วยความซาบซึ้ง หากคุณชายมิได้สร้างที่พักอาศัยนี้ให้แก่พวกเขา หากไม่มีวัวควายสำหรับไถนา คาดว่าต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีจึงจะดีขึ้นมาได้ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว หากมีสิ่งใดติดขัดจงบอกกล่าวกับข้า หรือถ้าชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างไรก็ให้พวกเขาบอกกับข้าได้โดยตรง หากข้าช่วยเหลือได้ข้าจะช่วยเหลือเต็มที่……หวางเฉียงสร้างเรือนหอเรียบร้อยแล้วหรือ ? ” “เรียบร้อยแล้วขอรับ แม้แต่เรือนเก่าของเสี่ยวเหมยเองก็ได้ซ่อมแซมด้วย” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า มองดูแล้วปัญหาต่าง ๆ ของตระกูลหวางจัดการได้ดีทีเดียว “งานแต่งงานของหวางเฉียงและเสี่ยวเหมยจัดขึ้นแล้วหรือยัง ? ข้าเดินทางไปเมืองหลวงใช้เวลานานพอควร” “ยังมิได้จัดขอรับ ดูฤกษ์ยามเหมาะสมแล้วจะจัดขึ้นวันที่สิบสองเดือนสิบสองนี้” “อืม เวลานั้นข้ายังคงอยู่ที่ซีซาน เมื่อถึงเวลาข้าจะมาดื่มร่วมยินดีด้วย” หวางเฉียงยิ้มออกมาอย่างดีใจ คุณชายให้เกียรติเดินทางมาร่วมยินดีกับเขา ทำให้เขาซาบซึ้งใจยิ่งนัก “ยินดีอย่างยิ่งขอรับ ตอนนี้พวกเรามีรายได้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก บุตรชายคนรองทำงานที่โรงปูนได้ค่าแรงวันละ 40 อีแปะ ข้าและพี่ชายก่อตั้งกลุ่มก่อสร้างขึ้นมา รับจ้างงานทั่วไป เราทั้งสองมีรายได้วันละเจ็ดแปดสิบอีแปะ ข้าและภรรยาคำนวณดูแล้วว่างานแต่งงานนี้จะจัดให้ดีที่สุด” ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และจะดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตนเองได้ทำความรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนโดยบังเอิญ และสนิทสนมกับคุณชายเนื่องจากป้ายจื่อนั้น ทำให้เขาเข้าใจนิสัยของคุณชายมากขึ้น อีกทั้งเข้าใจว่าครอบครัวตนหรือกระทั่งหมู่บ้านหวังเจียชุนก็ล้วนได้รับความเมตตาจากคุณชาย จึงทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ งานแต่งงานนี้ ประการที่หนึ่งเนื่องจากหวางเฉียงมีเงินมากขึ้น ประการที่สองเนื่องจากจะทำให้คุณชายเสียหน้ามิได้ ดังนั้นต่อให้ตอนนี้พวกเขาไม่มีหมูสักตัว ก็จะต้องไปหาซื้อหมูมาให้ได้สัก 3 ตัว และเชิญพ่อครัวที่มีฝีมือที่ดีที่สุด จัดงานสามวันสามคืน ให้ลูกชายของตนต้อนรับเสี่ยวเหมยเข้าบ้านอย่างสมเกียรติ บัดนี้นางเป็นถึงผู้รับผิดชอบโรงกลั่นน้ำหอมที่ซีซานเชียว คุณชายให้ค่าตอบแทนวันละ 100 อีแปะ ! เรื่องงานแต่งนี้จึงจำเป็นจะต้องจัดใหญ่โตให้เสี่ยวเหมยพึงพอใจจึงจะดี ทั้งสามพูดคุยกันในเรื่องราวที่ผ่านมาและในอนาคตที่จะถึง ฟู่เสี่ยวกวนมองไปมิได้เหมือนกับเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด อีกทั้งเรื่องของการเพาะปลูกต่าง ๆ แลเหมือนจะชำนาญกว่าผู้ทำการเพาะปลูกมาทั้งชีวิตอย่างหวางเอ้อเสียด้วยซ้ำ สิ่งนี้ทำให้หวางเอ้อและหวางเฉียงเคารพนับถือยิ่งนัก ความรู้ใหม่หลาย ๆ อย่าง หวางเอ้อเรียกให้หวางเฉียงจดจำเอาไว้ในหัว เนื่องจากเขาทั้งสองไม่รู้หนังสือ เช่น วิธีการเลี้ยงแม่พันธุ์หมู วิธีการฆ่าเชื้อโรคในเล้าไก่ อีกทั้งเรื่องการติดตาต่อกิ่งก็น่าอัศจรรย์เช่นกัน สามารถนำต้นไม้สองชนิดมาต่อกิ่งเข้าด้วยกันได้ หวางเฉียงคิดว่าคุณชายนั้นกำลังคุยโว แต่ก็วางแผนว่าหลังปีใหม่จะลองทำดู จากนั้นหลีเสี่ยวเหมยก็สวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้เดินออกมา นางเช็ดทำความสะอาดโต๊ะแล้วกล่าวกับหวางเอ้อว่า “ท่านลุง เชิญคุณชายรับประทานอาหารเถิด” ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เกรงใจ เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแอบแฝงว่า “ยังมิแก้ไขคำเรียกอีกหรือ ? ” หลีเสี่ยวเหมยตอบด้วยเสียงอันเบาว่า “ต้องรอให้แต่งงานกันก่อนจึงจะเรียกได้เจ้าค่ะ” หวางเอ้อหัวเราะแล้วเชิญฟู่เสี่ยวกวนไปนั่งที่ตำแหน่งหัวโต๊ะอาหาร ส่วนเขาและหวางเฉียงนั่งอยู่ข้างซ้ายและขวา ฟู่เสี่ยวกวนนำเทียนฉุนติดมือมาด้วย แน่นอนว่าพวกเขามิมีแก้วเหล้า แต่ใช้ถ้วยดินเผาแทน อาหารพื้นบ้านที่ไม่ได้จัดจานสวยงาม แต่ปริมาณมากพอสำหรับทุกคนอีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมยั่วยวนเตะจมูก ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเข้าก็เริ่มเอามือจับตะเกียบ หวางเอ้อทำตัวไม่ถูก เนื่องจากมิรู้ว่าคุณชายผู้ไม่ขาดแคลนอาหารการกินใด ๆ จะสามารถกินอาหารพื้นบ้านเช่นนี้ได้หรือไม่ แม้ว่าอาหารมื้อนี้จะจัดว่าดีกว่าที่ผ่านมาหลายเท่านัก แต่หวางเอ้อทำงานที่เรือนซีซานมานาน เขารู้ดีว่าอาหารของคุณชายแต่ละวันช่างวิจิตรน่ากินเพียงใด ภรรยาของเขาทำอาหารได้เลิศรส อีกทั้งมีหลีเสี่ยวเหมยช่วยอีกแรง ทำให้อาหารหน้าตาออกมาดูดี หวังว่าคุณชายจะกินได้มากขึ้น พวกนางใช้เวลาไม่นานในการทำอาหารทั้งแปดอย่างโดยมีเนื้อสัตว์เป็นหลัก “ขอเชิญคุณชายลิ้มรสขอรับ” “พวกนางเล่า ?” “เอ่อ คือ…คุณชายขอรับ สตรีมิอาจร่วมโต๊ะได้” มิใช่ว่าหวางเอ้อรังเกียจพวกนางแต่อย่างใด ทว่าเวลานี้มีแขกมาเยี่ยมเยียน สตรีจะร่วมรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกันมิได้ “ทำเช่นนี้มิถูกต้อง ควรแก้ไขปรับปรุง ไปเรียกพวกนางมาเถิด นี่คือคำสั่งของข้า” “เอ่อ…ขอรับ เสี่ยวเหมย ไปเรียกท่านป้ามาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน นี่คือคำสั่งของคุณชาย” สตรีทั้งสองนางมีท่าทีอึดอัดใจ พวกนางนำมือเช็ดกับผ้ากันเปื้อน จากนั้นดึงเก้าอี้ออกมานั่ง แต่มิกล้าหยิบตะเกียบ ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ข้อบังคับบางข้อก็จำต้องมีการปรับปรุง จากที่ข้ามองดู ข้าเองมิได้แตกต่างไปจากพวกท่าน เหตุใดจึงต้องแบ่งแยกชายหญิงกัน ทุกคนล้วนเท่าเทียม บัดนี้เสี่ยวเหมยเป็นผู้รับผิดชอบโรงกลั่นน้ำหอม นางมีความสามารถมากกว่าชายบางคนเสียอีก เหตุใดจึงจะร่วมโต๊ะมิได้ ? ” หลีเสี่ยวเหมยกล่าวด้วยเสียงอันเบาว่า “เนื่องจากท่านเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง หากผู้อื่นมาพบเข้า จักนำไปนินทาได้” เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เถียงกลับไป เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับความคิดเห็นส่วนตัวของหลาย ๆ คน หากจะทำการปรับปรุงแก้ไข มิใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันสองวัน “เอาเป็นว่า หากข้าร่วมกินข้าวด้วย พวกเจ้าก็อย่าได้ทำตัวห่างเหิน มา ๆ ๆ ข้าได้กลิ่นหอมเช่นนี้ก็หิวเสียจนท้องร้อง รีบกินเถอะ” ฟู่เสี่ยวกวนไม่มีพิธีรีตองมากมาย เขากล่าวจบก็ลงมือกินในทันที รสชาติอาจมิได้เลิศรสเสียไร้ที่ติ เนื่องจากวัตถุดิบมีจำกัด นอกจากเกลือแล้วพวกเขามิได้มีเครื่องปรุงอื่นอีก หวางเอ้อหยิบตะเกียบขึ้นมา หวางเฉียงพยักหน้าให้เสี่ยวเหมย หลีเสี่ยวเหมยก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารให้ว่าที่แม่สามี ภรรยาของหวางเอ้อจึงได้เริ่มกินอย่างกังวล ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชอบยิ่งนัก เขาเอ่ยชมรสมือของเสี่ยวเหมยมิขาดปาก ทำให้เสี่ยวเหมยรู้สึกอาย “เสี่ยวเหมย ต่อไปนี้เรื่องน้ำหอมเจ้าจงจัดการด้วยตนเอง วิธีการผสมน้ำหอมของเจ้ายอดเยี่ยมนัก สามารถเพิ่มประเภทของดอกไม้ให้มากกว่าเดิม ปีหน้าเจ้าจงไปแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์แก่ชาวบ้าน ให้พวกเขาได้เพาะปลูกกุหลาบในพื้นที่ขนาดใหญ่ อีกทั้งดอกมะลิด้วย สองกลิ่นนี้ใช้เป็นกลิ่นหลัก ส่วนอย่างอื่นเอาตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าจะมิเอ่ยถามใด ๆ ให้มากความ” “หา ! ข้า…ข้า เกรงว่าจะมิได้” “วางใจเถิด มีข้าเป็นผู้สนับสนุน เจ้าจะเกรงกลัวสิ่งใด ? ”
- Home
- นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)
- ตอนที่ 142 อาหารพื้นบ้าน ฟู่เสี่ยวกวนไปยังเรือนพักอาศัยของหวางเอ้อ บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกับหวางเอ้อและหวางเฉียงได้นั่งดื่มชาร่วมกัน หลีเสี่ยวเหมยภรรยาของหวางเอ้อกำลังวุ่นวายกับการทำอาหารอยู่ในครัว สำหรับครอบครัวของหวางเอ้อแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณของเขา ซึ่งในวันนี้ผู้มีพระคุณเดินทางมาหาตน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่พวกเขามิมีอาหารเลิศหรูราคาแพง มีเพียงผักหญ้าที่เก็บเกี่ยวมาตามป่าเขา พวกเขารู้สึกกังวลอย่างยิ่ง แต่บัดนี้มองดูคุณชายกินดื่มอย่างเอร็ดอร่อยมิมีทีท่ารังเกียจใด ๆ “ช่วงนี้ภายในครอบครัวมีสิ่งใดติดขัดหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนถามออกไปตามมารยาท “ไม่มีขอรับ ต้องขอบพระคุณคุณชายที่สร้างเรือนอย่างดีให้พวกเราอาศัยอยู่ อีกทั้งผลผลิตในปีนี้มากกว่าปีก่อนหนึ่งส่วน คุณชายยังให้วัวควายสำหรับไถนา ทำให้พวกเรามิต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างมากทีเดียวขอรับ” หวางเอ้อกล่าวออกมาจากใจจริงด้วยความซาบซึ้ง หากคุณชายมิได้สร้างที่พักอาศัยนี้ให้แก่พวกเขา หากไม่มีวัวควายสำหรับไถนา คาดว่าต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีจึงจะดีขึ้นมาได้ “เช่นนั้นก็ดีแล้ว หากมีสิ่งใดติดขัดจงบอกกล่าวกับข้า หรือถ้าชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างไรก็ให้พวกเขาบอกกับข้าได้โดยตรง หากข้าช่วยเหลือได้ข้าจะช่วยเหลือเต็มที่……หวางเฉียงสร้างเรือนหอเรียบร้อยแล้วหรือ ? ” “เรียบร้อยแล้วขอรับ แม้แต่เรือนเก่าของเสี่ยวเหมยเองก็ได้ซ่อมแซมด้วย” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า มองดูแล้วปัญหาต่าง ๆ ของตระกูลหวางจัดการได้ดีทีเดียว “งานแต่งงานของหวางเฉียงและเสี่ยวเหมยจัดขึ้นแล้วหรือยัง ? ข้าเดินทางไปเมืองหลวงใช้เวลานานพอควร” “ยังมิได้จัดขอรับ ดูฤกษ์ยามเหมาะสมแล้วจะจัดขึ้นวันที่สิบสองเดือนสิบสองนี้” “อืม เวลานั้นข้ายังคงอยู่ที่ซีซาน เมื่อถึงเวลาข้าจะมาดื่มร่วมยินดีด้วย” หวางเฉียงยิ้มออกมาอย่างดีใจ คุณชายให้เกียรติเดินทางมาร่วมยินดีกับเขา ทำให้เขาซาบซึ้งใจยิ่งนัก “ยินดีอย่างยิ่งขอรับ ตอนนี้พวกเรามีรายได้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก บุตรชายคนรองทำงานที่โรงปูนได้ค่าแรงวันละ 40 อีแปะ ข้าและพี่ชายก่อตั้งกลุ่มก่อสร้างขึ้นมา รับจ้างงานทั่วไป เราทั้งสองมีรายได้วันละเจ็ดแปดสิบอีแปะ ข้าและภรรยาคำนวณดูแล้วว่างานแต่งงานนี้จะจัดให้ดีที่สุด” ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และจะดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตนเองได้ทำความรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนโดยบังเอิญ และสนิทสนมกับคุณชายเนื่องจากป้ายจื่อนั้น ทำให้เขาเข้าใจนิสัยของคุณชายมากขึ้น อีกทั้งเข้าใจว่าครอบครัวตนหรือกระทั่งหมู่บ้านหวังเจียชุนก็ล้วนได้รับความเมตตาจากคุณชาย จึงทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้ งานแต่งงานนี้ ประการที่หนึ่งเนื่องจากหวางเฉียงมีเงินมากขึ้น ประการที่สองเนื่องจากจะทำให้คุณชายเสียหน้ามิได้ ดังนั้นต่อให้ตอนนี้พวกเขาไม่มีหมูสักตัว ก็จะต้องไปหาซื้อหมูมาให้ได้สัก 3 ตัว และเชิญพ่อครัวที่มีฝีมือที่ดีที่สุด จัดงานสามวันสามคืน ให้ลูกชายของตนต้อนรับเสี่ยวเหมยเข้าบ้านอย่างสมเกียรติ บัดนี้นางเป็นถึงผู้รับผิดชอบโรงกลั่นน้ำหอมที่ซีซานเชียว คุณชายให้ค่าตอบแทนวันละ 100 อีแปะ ! เรื่องงานแต่งนี้จึงจำเป็นจะต้องจัดใหญ่โตให้เสี่ยวเหมยพึงพอใจจึงจะดี ทั้งสามพูดคุยกันในเรื่องราวที่ผ่านมาและในอนาคตที่จะถึง ฟู่เสี่ยวกวนมองไปมิได้เหมือนกับเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด อีกทั้งเรื่องของการเพาะปลูกต่าง ๆ แลเหมือนจะชำนาญกว่าผู้ทำการเพาะปลูกมาทั้งชีวิตอย่างหวางเอ้อเสียด้วยซ้ำ สิ่งนี้ทำให้หวางเอ้อและหวางเฉียงเคารพนับถือยิ่งนัก ความรู้ใหม่หลาย ๆ อย่าง หวางเอ้อเรียกให้หวางเฉียงจดจำเอาไว้ในหัว เนื่องจากเขาทั้งสองไม่รู้หนังสือ เช่น วิธีการเลี้ยงแม่พันธุ์หมู วิธีการฆ่าเชื้อโรคในเล้าไก่ อีกทั้งเรื่องการติดตาต่อกิ่งก็น่าอัศจรรย์เช่นกัน สามารถนำต้นไม้สองชนิดมาต่อกิ่งเข้าด้วยกันได้ หวางเฉียงคิดว่าคุณชายนั้นกำลังคุยโว แต่ก็วางแผนว่าหลังปีใหม่จะลองทำดู จากนั้นหลีเสี่ยวเหมยก็สวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้เดินออกมา นางเช็ดทำความสะอาดโต๊ะแล้วกล่าวกับหวางเอ้อว่า “ท่านลุง เชิญคุณชายรับประทานอาหารเถิด” ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เกรงใจ เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแอบแฝงว่า “ยังมิแก้ไขคำเรียกอีกหรือ ? ” หลีเสี่ยวเหมยตอบด้วยเสียงอันเบาว่า “ต้องรอให้แต่งงานกันก่อนจึงจะเรียกได้เจ้าค่ะ” หวางเอ้อหัวเราะแล้วเชิญฟู่เสี่ยวกวนไปนั่งที่ตำแหน่งหัวโต๊ะอาหาร ส่วนเขาและหวางเฉียงนั่งอยู่ข้างซ้ายและขวา ฟู่เสี่ยวกวนนำเทียนฉุนติดมือมาด้วย แน่นอนว่าพวกเขามิมีแก้วเหล้า แต่ใช้ถ้วยดินเผาแทน อาหารพื้นบ้านที่ไม่ได้จัดจานสวยงาม แต่ปริมาณมากพอสำหรับทุกคนอีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมยั่วยวนเตะจมูก ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเข้าก็เริ่มเอามือจับตะเกียบ หวางเอ้อทำตัวไม่ถูก เนื่องจากมิรู้ว่าคุณชายผู้ไม่ขาดแคลนอาหารการกินใด ๆ จะสามารถกินอาหารพื้นบ้านเช่นนี้ได้หรือไม่ แม้ว่าอาหารมื้อนี้จะจัดว่าดีกว่าที่ผ่านมาหลายเท่านัก แต่หวางเอ้อทำงานที่เรือนซีซานมานาน เขารู้ดีว่าอาหารของคุณชายแต่ละวันช่างวิจิตรน่ากินเพียงใด ภรรยาของเขาทำอาหารได้เลิศรส อีกทั้งมีหลีเสี่ยวเหมยช่วยอีกแรง ทำให้อาหารหน้าตาออกมาดูดี หวังว่าคุณชายจะกินได้มากขึ้น พวกนางใช้เวลาไม่นานในการทำอาหารทั้งแปดอย่างโดยมีเนื้อสัตว์เป็นหลัก “ขอเชิญคุณชายลิ้มรสขอรับ” “พวกนางเล่า ?” “เอ่อ คือ…คุณชายขอรับ สตรีมิอาจร่วมโต๊ะได้” มิใช่ว่าหวางเอ้อรังเกียจพวกนางแต่อย่างใด ทว่าเวลานี้มีแขกมาเยี่ยมเยียน สตรีจะร่วมรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกันมิได้ “ทำเช่นนี้มิถูกต้อง ควรแก้ไขปรับปรุง ไปเรียกพวกนางมาเถิด นี่คือคำสั่งของข้า” “เอ่อ…ขอรับ เสี่ยวเหมย ไปเรียกท่านป้ามาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน นี่คือคำสั่งของคุณชาย” สตรีทั้งสองนางมีท่าทีอึดอัดใจ พวกนางนำมือเช็ดกับผ้ากันเปื้อน จากนั้นดึงเก้าอี้ออกมานั่ง แต่มิกล้าหยิบตะเกียบ ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ข้อบังคับบางข้อก็จำต้องมีการปรับปรุง จากที่ข้ามองดู ข้าเองมิได้แตกต่างไปจากพวกท่าน เหตุใดจึงต้องแบ่งแยกชายหญิงกัน ทุกคนล้วนเท่าเทียม บัดนี้เสี่ยวเหมยเป็นผู้รับผิดชอบโรงกลั่นน้ำหอม นางมีความสามารถมากกว่าชายบางคนเสียอีก เหตุใดจึงจะร่วมโต๊ะมิได้ ? ” หลีเสี่ยวเหมยกล่าวด้วยเสียงอันเบาว่า “เนื่องจากท่านเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง หากผู้อื่นมาพบเข้า จักนำไปนินทาได้” เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เถียงกลับไป เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับความคิดเห็นส่วนตัวของหลาย ๆ คน หากจะทำการปรับปรุงแก้ไข มิใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันสองวัน “เอาเป็นว่า หากข้าร่วมกินข้าวด้วย พวกเจ้าก็อย่าได้ทำตัวห่างเหิน มา ๆ ๆ ข้าได้กลิ่นหอมเช่นนี้ก็หิวเสียจนท้องร้อง รีบกินเถอะ” ฟู่เสี่ยวกวนไม่มีพิธีรีตองมากมาย เขากล่าวจบก็ลงมือกินในทันที รสชาติอาจมิได้เลิศรสเสียไร้ที่ติ เนื่องจากวัตถุดิบมีจำกัด นอกจากเกลือแล้วพวกเขามิได้มีเครื่องปรุงอื่นอีก หวางเอ้อหยิบตะเกียบขึ้นมา หวางเฉียงพยักหน้าให้เสี่ยวเหมย หลีเสี่ยวเหมยก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารให้ว่าที่แม่สามี ภรรยาของหวางเอ้อจึงได้เริ่มกินอย่างกังวล ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชอบยิ่งนัก เขาเอ่ยชมรสมือของเสี่ยวเหมยมิขาดปาก ทำให้เสี่ยวเหมยรู้สึกอาย “เสี่ยวเหมย ต่อไปนี้เรื่องน้ำหอมเจ้าจงจัดการด้วยตนเอง วิธีการผสมน้ำหอมของเจ้ายอดเยี่ยมนัก สามารถเพิ่มประเภทของดอกไม้ให้มากกว่าเดิม ปีหน้าเจ้าจงไปแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์แก่ชาวบ้าน ให้พวกเขาได้เพาะปลูกกุหลาบในพื้นที่ขนาดใหญ่ อีกทั้งดอกมะลิด้วย สองกลิ่นนี้ใช้เป็นกลิ่นหลัก ส่วนอย่างอื่นเอาตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าจะมิเอ่ยถามใด ๆ ให้มากความ” “หา ! ข้า…ข้า เกรงว่าจะมิได้” “วางใจเถิด มีข้าเป็นผู้สนับสนุน เจ้าจะเกรงกลัวสิ่งใด ? ”
ตอนที่ 143 ออกเรือ
เช้าตรู่ของฤดูหนาวอากาศเย็นจัด ดอกไม้สีแดงที่มีอยู่ในลานบ้านต่างจางตาลงไป กลีบดอกไม้ต่างร่วงหล่นไปกับพื้น
หลังจากผ่านการฝึกฝนมาสองวันเต็ม ๆ ไป๋ยู่เหลียนและซูม่อถึงได้จำภาษามือที่ฟู่เสี่ยวกวนสอนทั้งหมดได้ขึ้นใจ
ในวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะจัดระเบียบทหารผ่านศึกทั้งห้าร้อยนายที่ไป๋ยู่เหลียนพามาและผู้ประสบภัยทั้งสองพันนายที่เขาเป็นผู้คัดเลือกใหม่
สนามฝึกซ้อมด้านนอกเรือนซีซาน คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ฟู่เสี่ยวกวนกับไป๋ยู่เหลียนและซูม่อเดินไปยังเวทีสูงที่อยู่เบื้องหน้า
หลังจากที่ทหารใหม่ทั้งสองพันนายได้การฝึกฝนมานานสองเดือนก็ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แตกต่างจากสภาพหน้าเหลืองผิวแห้งยามที่มาถึงซีซานช่วงแรก ๆ
พวกเขามีมื้ออาหารที่ดี สภาพหอพักก็ดีเยี่ยม และเริ่มมีแรงผลักดันจากภายใต้การฝึกฝนของหัวหน้าทหารยามเฉินป๋อ
ส่วนทหารห้าร้อยนายที่ไป๋ยู่เหลียนพามาในยามนี้ต่างยืนสงบนิ่ง ถึงแม้พวกเขาจะมาถึงที่นี่ได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับนิสัยใจคอของคุณชาย
แต่เดิมพวกเขานั้นมิเชื่อ แต่หลังจากที่มาถึงเรือนซีซานก็ได้ยินเรื่องมากมายที่คุณชายผู้นี้ทำ คิดแล้วก็คงมิใช่เรื่องเท็จเป็นแน่
ตั้งแต่ที่ติดตามไป๋ยู่เหลียนมา ชีวิตของพวกเขานั้นก็ได้ขายให้แก่ไป๋ยู่เหลียนไปแล้ว แต่ไป๋ยู่เหลียนกลับกล่าวว่าชีวิตของพวกเขาต้องขายให้แก่คุณชายนามฟู่เสี่ยวกวน ——ดังนั้นในยามนี้พวกเขาจึงรอดูท่าที
อย่างไรแล้วพวกเขาก็เคยเป็นทหารของไป๋ยู่เหลียน ย่อมเชื่อมั่นในตัวไป๋ยู่เหลียน แต่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งจะอายุ 16 ปีในตอนนี้เป็นได้เพียงคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา พวกเขายากที่จะเชื่อว่าชายหนุ่มอายุ 16 ปีจะสามารถทำอะไรได้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นคุณชายจากตระกูลเศรษฐีที่ดิน
แต่เยี่ยงไรแล้วก็ต้องไว้หน้าแก่ไป๋ยู่เหลียน ดังนั้นในยามนี้พวกเขาจึงยืนตัวตรง มิหลงเหลือรูปลักษณ์ของกองทัพทหารชายแดนตะวันออกอีกแล้ว
กลุ่มฟู่เสี่ยวกวนสามคนเดินขึ้นไปบนเวที ผู้ที่ตื่นเต้นขึ้นมาก่อนก็คือทหารใหม่ 2,000 นาย ฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ในใจของพวกเขานั้นราวกับเป็นพระเจ้า
“คุณชายขอรับ คุณชาย คุณชาย…”
ทหารผ่านศึกทั้งห้าร้อยนายที่อยู่ด้านข้างต่างผงะ ให้ตายเถอะ บ้าคลั่งกันได้ถึงเพียงนี้เลยรึ?
ทหารใหม่ 2,000 นายต่างตื่นเต้นจนฉุดไม่อยู่ หากมิใช่เพราะคำสั่งของเฉินป๋อ และในยามนี้เฉินป๋อก็ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน ไม่อย่างนั้นแล้วคนเหล่านี้ก็อาจจะพุ่งไปข้างหน้าไปก็เป็นได้
ผ่านไปหลายอึดใจฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ยกมือขึ้นและกดลง ทันใดนั้นก็เงียบนิ่งและไร้เสียง
ไป๋ยู่เหลียนและซูม่อสบตากัน ในแววตาฉายแววตื่นตะลึง
นี่คือคำสั่งหยุด ถึงแม้ทหารใหม่จะมีเพียง 2,000 นาย แต่ฟู่เสี่ยวกวนออกท่าทางเพียงหนึ่งเท่านั้น ก็สามารถสั่งให้พวกเขาอยู่อย่างเป็นระเบียบอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คนผู้นี้หากบอกว่าเป็นผู้นำทหาร ก็คงมิเกินคาดเท่าใด
“ในวันนี้ที่ให้พวกเจ้ามารวมตัวกัน เพราะต่อจากนี้ข้ามีประกาศสำคัญจะมาแจ้งให้ทราบ ตอนนี้ข้าจักแนะนำคนผู้หนึ่งให้พวกเจ้ารู้จัก เขามีนามว่าไป๋ยู่เหลียน”
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือออกไป ไป๋ยู่เหลียนก็มาหยุดยืนที่ด้านหน้า
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราต้องจัดตั้งกองกำลังส่วนตนกองใหม่ พวกเจ้าคือสมาชิกรุ่นแรกของกองกำลังส่วนตนนี้ แต่ว่า…” ฟู่เสี่ยวกวนกวาดสายตามองไปทั้งสนามด้วยท่าทีเคร่งขรึม และน้ำเสียงก็เพิ่มความดุดันขึ้น “ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป พวกเจ้าจะเผชิญกับการฝึกที่เข้มงวดที่สุด ครึ่งปีให้หลัง พวกเจ้าจะเข้าสู่การทดสอบครั้งแรก ผู้ที่ทดสอบไม่ผ่านก็จะถูกคัดออก หนึ่งปีให้หลัง ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบครั้งที่สองก็จะถูกคัดออก นี่มันโหดร้ายอย่างยิ่ง แต่ข้าต้องการเพียงทหารชั้นยอด เพราะกองกำลังทหารที่เก่งกาจที่สุดในโลกนี้จะมีชื่อที่พิเศษ มีนามว่าดาบเทวะ”
“ดาบที่เหมือนพระเจ้า สามารถทำให้ศัตรูหวาดผวาได้ในทุกที่ที่ผ่านไป !”
“ในวันนี้ของปีหน้าข้าจะรอพวกเจ้าที่ตรงนี้ รอให้พวกเจ้าผ่านการทดสอบ และกลายมาเป็นสมาชิกของดาบเทวะ!”
“การฝึกต่อจากนี้มีไป๋ยู่เหลียนเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด พวกเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของนายพลไป๋อย่างมิมีข้อแม้ หากมีผู้ใดมิฟังคำสั่ง ก็สังหารเสีย!”
“หากใครใจเสาะก็ไปได้ตั้งแต่ตอนนี้ หากมีผู้ใดไม่สามารถทนรับได้ระหว่างการฝึก ก็ไปได้ตลอดเวลา ข้าจักไม่กล่าวโทษพวกเจ้า เพราะการฝึกตั้งแต่นี้ต่อไปจะทำลายความเข้าใจของพวกเจ้าไปจนสิ้น”
“ต่อจากนี้ต้องอยู่ในโอวาทของนายพลไป๋ !”
ไป๋ยู่เหลียนแบกดาบเล่มใหญ่สวมใส่ชุดที่คล่องแคล่วสองมือไขว้หลังและยืนอยู่บนเวทีสูง
สองวันมานี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนรายละเอียดแผนการฝึกทั้งหมดให้แก่เขา ภายใต้ภูเขาไต้ชาน มีสนามฝึกแห่งใหม่ได้สร้างเสร็จดีแล้ว แน่นอนว่าอุปกรณ์ที่ติดตั้งในสนามฝึกเหล่านั้นไป๋ยู่เหลียนไม่เคยเห็นมาก่อน
และฟู่เสี่ยวกวนก็แสดงให้เขาได้ดูทีละอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการคลานไปข้างหน้าหรือก้าวข้ามสิ่งกีดขวาง การเคลื่อนไหวของฟู่เสี่ยวกวนพลิ้วไหวราวกับสายน้ำอย่างไร้ที่ติ
ไป๋ยู่เหลียนและซูม่อในยามนั้นตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด หากทหารทุกคนสามารถบรรลุการเคลื่อนไหวตามยุทธวิธีที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้กำหนดไว้ได้ ตามสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไว้ เยี่ยงนั้นแล้วกองทัพนี้จะน่ากลัวขนาดไหนกัน?
ตามแผนกำหนดการของฟู่เสี่ยวกวน ตอนเช้าจะฝึกฝนร่างกาย ตกบ่ายจะเป็นการฝึกฝนการใช้อาวุธ ตกเย็น… ตกเย็นวิ่งขึ้นไปบนภูเขาไต้ชาน โดยแบกรับน้ำหนัก 60 ชั่ง !
“ศักยภาพของมนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าหน่วยรบพิเศษ ความจริงแล้วก็เป็นไปตามมาตรฐานของการฝึกยุทธวิธี ใช้การฝึกฝนที่ห่างไกลจากการฝึกฝนของทหารทั่วไปเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขา ฝึกฝนพวกเขาให้กลายเป็นอาวุธสงคราม ก็เท่านั้น”
เอาเถอะ ต่อจากนี้ข้าจักฝึกกระต่ายเหล่านี้ให้กลายเป็นอาวุธสงครามให้ได้ !
“ข้าจะกล่าวเพียงประโยคเดียว ทหารของข้ามิมีคนอ่อนแอ !”
“คุณชายกล่าวไว้แล้ว ผู้ใดที่มิฟังคำสั่ง ก็สังหารเสีย !”
ไป๋ยู่เหลียนแผ่จิตสังหารออกมา พลิกมือชักดาบยาวออกมา เกิดเสียงดังสนั่น ทันใดนั้นเวทีสูงที่อยู่ใต้เท้าก็ถูกตัดมุม
ดาบยาวในมือของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ต่อจากนี้จะทำการแบ่งกลุ่ม เฉินป๋อ ออกมา ! ”
……
…..
ทีมถูกแบ่งออกไปตามแผนการเดิมอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะทหารเก่าหรือทหารใหม่ต่างก็ให้ความร่วมมือดีอย่างยิ่ง บางทีเพื่อที่จะได้เข้าดาบเทวะ หรือบางทีอาจเป็นเพราะถูกบังคับโดยอำนาจดาบของไป๋ยู่เหลียน แต่สรุปแล้ว ความกังวลใจแต่เดิมในเรื่องความขัดแย้งกันระหว่างคนเก่าคนใหม่ของฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้ปรากฏขึ้น
ขบวนทัพที่ใหญ่โตถูกไป๋ยู่เหลียนลากไปสนามฝึกที่ภูเขาไต้ชาน มีชาวบ้านมากมายเข้ามาเมียงมอง ฟู่เสี่ยวกวนใคร่ครวญ แล้วจึงส่งทหารยามไม่กี่คนไปขอให้พวกเขาออกห่างไป หลังจากนั้นก็มีป้ายติดประกาศที่ด้านนอก สถานที่สำคัญทางทหาร ห้ามเข้ารับชม !
ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คือการฝึกทหาร ถึงแม้จะเป็นกองกำลังส่วนตน แต่ก็เป็นกองกำลังที่มากเกินไป ในกรณีที่มีผู้มีจุดประสงค์แอบแฝงเข้ามายุ่ง ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีวิธีแก้ไขปัญหา แต่เยี่ยงนั้นจะยุ่งยากอย่างมาก เพราะย่อมมีคนจับเรื่องนี้มาทำเป็นบทความ
เรือนหลังซีซานมีซูเจวี๋ยกับซูโหรว ส่วนซูม่อนั้นให้ความสนใจกับวิธีการฝึกฝนอย่างมาก โดยหลังจากได้รับการยินยอมจากฟู่เสี่ยวกวน ซูม่อก็เข้าร่วมเช่นกัน
เรือนหลังเงียบอย่างยิ่ง
ภายในห้องซูเจวี๋ยกำลังนั่งสมาธิฝึกลมหายใจ ซูโหรวปักดอกไม้อยู่ข้างลำธาร ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพังและกำลังเขียนจดหมายให้กับฟู่ต้ากวน
ภายในจดหมายนั้นมีอยู่สองเรื่อง ประการแรกต้องการให้แม่ห้ามอบหมายให้ครอบครัวของนางตีอาวุธขึ้นมาชุดหนึ่ง อาวุธชุดนี้จะแตกต่างจากปกติทั่วไป หนึ่งคือมีดสั้น หนึ่งคือดาบ หนึ่งคือ** สุดท้ายก็คือหน้าไม้ธรรมดา
ประการที่สองต้องการให้แม่หกมอบหมายให้ครอบครัวของนางเย็บเสื้อผ้าขึ้นมาจำนวนหนึ่ง สิ่งนี้จะมีความแปลกใหม่อย่างมาก ต้องทำตามแบบชุดออกรบที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยใส่มา
สุดท้ายเขาก็หยิบกระดาษขึ้นมาวาด และระบุไว้เป็นพิเศษว่าสิ่งนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ
หลังส่งจดหมายออกไป ฟู่เสี่ยวกวนก็นอนอยู่บนเก้าอี้ ครุ่นคิดถึงทหาร 2,500 นายว่าสุดท้ายแล้วจะหลงเหลืออยู่เพียงเท่าใด หากเขาได้รับสั่งให้เป็นทูตของการอภิเษกสมรสจริง ๆ กองกำลังนี้ก็ต้องพาไปด้วยแต่นั่นมิใช่เพื่อปกป้องเขา แต่เขาต้องการขโมยม้าศึกของชาวฮวงเล็กน้อย