นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 155 วางยาพิษ
ตอนที่ 155 วางยาพิษ
ฟู่เสี่ยวกวนและเยี่ยนซีเหวินคุยกันอยู่ในเรือนซีซานเพียง 2 คน บนภูเขาไต้ชาน ปี้ตู๋จินกังหวงซื่อหลางมองหลิวซานเปี้ยนที่ห้อยอยู่บนเสาไม้ไผ่ด้วยอาการอ่อนระโหยโรยแรง สองตาพลันแดงก่ำ
ซ่งต้าเป่าที่อยู่ข้าง ๆ เขาเตะก้อนหินบนพื้นแรง ๆ “เป็นความผิดข้า เป็นความผิดข้าทั้งสิ้น ที่ทำให้อาซานเปี่ยนต้องมาอยู่ในสภาพนี้ ข้าจักลงไปสังหารมันและช่วยอาซานเปี่ยนกลับมา ! ”
เขากล่าวจบและทำท่าจะถลาลงไป แต่หวงซื่อหลางก็ได้คว้าตัวเขาไว้ “เจ้ามันรนหาที่ตาย ก็เห็นชัดแล้วว่าพวกมันกำลังใช้อาซานเปี่ยนมาล่อให้พวกเราติดกับ ด้านล่างย่อมมียอดฝีมือซุ่มอยู่เป็นจำนวนมากแน่ ๆ… เรื่องนี้คงต้องวางแผนกันยาว”
“หากจะต้องมัวมาวางแผนกันอีก อาซานเปี่ยนอาจจะตายได้ แม้ว่าพวกเราจะกลับไปอย่างปลอดภัย เยี่ยงนั้นจะไปอธิบายกับพี่กงได้เยี่ยงไร ? เหมือนเจ้าจะลืมพี่สะใภ้คนใหม่ของพี่กง คนที่เจียงหูเรียกกันว่าจิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ย หากบิดานางตายที่นี่ พวกเรายังจะมีชีวิตได้อยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูโหรวที่นั่งปักผ้าอยู่บนต้นไม้ที่ห่างออกมาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย จิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ยรึ นางแต่งงานกับกงเซินจ่างเยี่ยงนั้นรึ ? ฟู่เสี่ยวกวนดูเหมือนว่าจะพบเจอเข้ากับความลำบากเสียแล้ว
หวงซื่อหลางขบกรามแน่น และเงยหน้ามองท้องฟ้า “ประเดี๋ยวจะลองดูว่าสามารถส่งคนแฝงเข้าไปในค่ายของพวกมันได้หรือไม่ มีเพียงแค่การหยดยาพิษนี้ลงไปในบ่อน้ำ และรอจนกระทั่งทหารเหล่านั้นใช้น้ำมาทำอาหารเย็น จึงจะมีโอกาสช่วยอาซานเปี่ยนออกมาได้”
“ข้าจักไป ถึงแม้แขนของข้าจะถูกซูม่อบั่นไปแล้ว แต่พลังตัวเบายังคงอยู่ ถือเสียว่าให้ข้าชดใช้ความผิด”
หวงซื่อหลางเหลือบมองซ่งต้าเป่า เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยถามออกมา “จะกล่าวว่าวิทยายุทธ์ของซูม่อก้าวหน้าไปขั้นหนึ่งแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“เฮ้อ… ข้าชะล่าใจไป สิบสามกระบี่ของซูม่อร้ายกาจอย่างมาก ดูแล้วคงก้าวหน้าไปขั้นหนึ่งไปเสียแล้วจริง ๆ ”
“หากซูม่ออยู่ในค่าย เจ้าจะมีโอกาสไปวางยาได้ที่ไหนกัน ? ”
“เขากลับไปเรือนซีซานแล้ว ค่ายในยามนี้มิมีผู้มีฝีมือระดับสูงแล้ว”
หวงซื่อหลางครุ่นคิด หยิบถุงผ้าออกมาจากในอกและส่งให้กับซ่งต้าเป่า “ระวังด้วย หากมิสามารถทำอันใดได้ก็กลับออกมา อย่าให้ถูกจับได้”
ซ่งต้าเป่ายัดถุงผ้าไว้ในเสื้อ “พวกเจ้ารอฟังข่าวจากข้าได้เลย”
เขาโผบินไปไม่กี่ครั้ง ก็หายไปจากภูเขาไต้ชาน จนมิสามารถมองเห็นตัวเขาได้อีก
ซูโหรวมิได้เคลื่อนไหว นางยังคงปักผ้าอย่างสงบ
ซ่งต้าเป่าได้มาถึงค่ายแล้ว ถึงจะตระหนักได้ว่าการป้องกันของที่นี่นั้นเข้มงวดยิ่ง
ทหารสองพันกว่านายยังคงฝึกซ้อมอาวุธอยู่ในสนาม แต่ด้านนอกค่ายนั้นกลับมีทหารยืนรักษาการณ์ และมีหน่วยลาดตระเวนกลุ่มละ 5 คนเดินอยู่เป็นระยะ ๆ
พอเขาสบโอกาสจึงรีบไปซ่อนตัวอยู่ด้านข้างของค่ายทันที ในยามที่กำลังอับจนหนทาง ก็มีชายหนุ่มที่สวมใส่ชุดและหมวกสีขาวปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา เขาร้อนใจยิ่ง ในตอนที่กำลังจะคว้าเขาคนนั้นเอาไว้ แต่คาดมิถึงว่าเขาคนนั้นจะกล่าวว่า “เฮ้ยเฮ้ย เจ้าแอบอยู่ตรงนั้นเพื่อจะอู้งานรึ รีบไปยกน้ำมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ น้ำในครัวกำลังจะใช้หมดแล้ว”
ซ่งต้าเป่าดีใจอย่างยิ่ง สวรรค์เมตตาเขาแล้ว !
เขารีบพยักหน้า “ขอรับ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบเขาก็เดินออกมา เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวชายเสื้อขาวก็พูดอีกว่า “เฮ้ย ๆ สมองเจ้ามันอยู่ที่หว่างขารึ ? โรงครัวอยู่ทางนั้น โง่จริงเชียว มิแปลกใจเลยที่ถูกแยกมาอยู่ที่โรงครัว”
“อ่า…ข้าเลอะเลือนเสียแล้ว” ซ่งต้าเป่ารีบเอ่ยขอโทษ ก้มหน้าและเดินไปทางโรงครัว
ชายเสื้อขาวฉีกยิ้มขึ้นมา ดูชั่วร้ายเป็นอย่างมาก แท้จริงแล้วเขาก็คือไป๋ยู่เหลียน
โจรผู้นี้หัวไม่ดียิ่ง หากไม่ชี้ทางให้เขา ไป๋ยู่เหลียนกังวลว่าคนผู้นี้คงจะถูกทหารลาดตระเวนพบเจอได้โดยเร็ว
ไปดูเสียหน่อยว่าเจ้านั่นจะวางยาอะไร ไป๋ยู่เหลียนครุ่นคิดและไปทางบ่อน้ำ
ซ่งต้าเป่าหยิบถังน้ำมาจากโรงครัวแล้วหยุดยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ เมื่อมองไปรอบ ๆ ด้านแล้วไม่เห็นคน ดังนั้นเขาจึงหยิบยาพิษออกมาจากอกและหยดลงไปในบ่อ หลังจากนั้นก็หยิบสองถังน้ำเดินไปในโรงครัว
ไป๋ยู่เหลียนคุกเข่าลงข้างบ่อน้ำแต่ก็มิเห็นอะไร เขานึกครุ่นคิด หยิบน้ำเต้าสุราและดื่มสุราที่อยู่ภายในจนหมด เติมน้ำในบ่อจนเต็มน้ำเต้าสุราและเดินออกไปจากค่ายฝึก เพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนซีซาน
ซ่งต้าเป่านำน้ำมาสิบถังและเติมน้ำไปจนเต็ม ในใจมีความสุขอย่างยิ่ง หลังจากที่ทหารเหล่านี้ทานอาหารที่ทำจากน้ำนี้ก็จะล้มลงไปกับพื้น ไร้พลังต่อสู้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะบั่นหัวของมันแต่ละคนเพื่อตอบแทนความอัปยศของแขนที่หายไปนี้
เขาลอบออกมาจากค่าย กลับไปยังบนเขา ด้วยสีหน้าดีใจ
“สำเร็จแล้ว ข้าใส่ยาพิษไปจนหมดแล้ว”
หวงซื่อหลางจ้องมองเขาอย่างสงสัย “ง่ายดายเพียงนี้เลยรึ ?”
“พวกเขามิได้มีการเตรียมป้องกัน ค่ายนั้นถึงแม้จะมีทหารยาม แต่หละหลวมยิ่ง ในขณะที่ข้ากำลังตามหาโรงครัว ได้มีพ่อครัวเรียกข้าไปแบกน้ำโดยบังเอิญ นั่นก็ประจวบเหมาะเลยมิใช่หรือ ข้าจึงวางยาและแบกน้ำไป จึงมิมีผู้ใดสนใจข้า”
หวงซื่อหลางรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อครุ่นคิด อย่างไรแล้วกลุ่มคนเบื้องล่างนี้ก็มิใช่ทหาร และก็มิมีใครรู้ว่าหวงซื่อหลางคนนี้จะมาที่นี่ แบบนั้นแล้วการป้องกันจะอ่อนลงก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก
“ดี เรื่องนี้เจ้าทำได้ดียิ่ง รอจนช่วยอาซานเปี่ยนได้แล้ว ที่นี่คงอลหม่านนัก ในยามนั้นซูม่อย่อมมาที่นี่ พวกเราจะอ้อมไปจนถึงซีซาน ไปยังเรือนนั้นจัดการบั่นหัวของฟู่เสี่ยวกวนและรีบกลับไปเถิด”
“เป็นความคิดที่ดี ! แล้วจะลงมือเมื่อใด ? ”
“รอจนพวกเขาทานข้าวเสร็จไปครึ่งชั่วยาม เมื่อยาออกฤทธิ์ข้าและคนอื่น ๆ จะปรี่ลงไปช่วยอาซานเปี่ยน แต่เจ้าจงจำไว้ว่า เมื่อช่วยอาซานเปี่ยนแล้ว พวกเราจะถอยกลับไปภูเขาไต้ชานและอ้อมไปซีซาน อย่าได้คิดจะสังหารทหารเหล่านี้ พวกเรามิมีเวลา และนี่มิใช่เป้าหมายของการมาของเรา”
ซ่งต้าเป่ารู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
หลิวซานเปี้ยนได้หายไปจากมือของเขา และลูกน้องทั้งสามร้อยคนที่เขานำไปก็ถูกกวาดเรียบ แม้แต่ตนเองก็ยังเสียแขนไปหนึ่งข้าง ตอนนี้เขามิมีคุณสมบัติจะไปโต้เถียงกับหวงซื่อหลางได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ครุ่นคิดอยู่ในใจคือขอให้ครานี้ประสบความสำเร็จ มีเพียงเท่านี้ ในยามที่กลับไปพบพี่กงที่ภูเขาผิงหลิงแล้วยังจะทำให้เขาได้รับเม็ดเงินจำนวนมหาศาล
ไป๋ยู่เหลียนกลับไปยังเรือนซีซาน เขาทักทายฟู่เสี่ยวกวน แล้วจึงเดินตรงเข้าไปในห้องของซูเจวี๋ย เพียงไม่นานก็เดินออกมาอีกครา พยักหน้าให้กับฟู่เสี่ยวกวน แล้วจึงออกจากเรือนซีซานไป เยี่ยนซีเหวินที่มองตามรู้สึกสับสนยิ่ง
“เขาคือผู้ใดกัน ? “
“หัวหน้าองครักษ์ของข้า เป็นชาวลวี่หลิน เพราะได้ยินว่าข้าผู้นี้เป็นผู้มีคุณธรรม กล้าหาญ ช่างวางแผนและมีอนาคตทั้งที่อายุยังน้อย เขาจึงได้มาขอติดตามข้า”
ไป๋ยู่เหลียนก้าวข้ามประตูดวงจันทร์มาพอดิบพอดี สะดุดเล็กน้อยแต่ก็มิได้ล้มลงไปบนพื้น
เยี่ยนซีเหวินเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างดูถูก “เจ้ามันหน้าหนาจริงเชียว…จะบอกว่า ปี้ตู๋จินกังอะไรนั่นมาถึงแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“อือ มาแล้ว พาลูกน้องมา 500 นาย ท่านกลัวหรือไม่ ? ”
“…เหมือนจะมิกลัว แต่ค่อนข้างประหม่า หากปะทะกันเมื่อใดพาข้าไปดูด้วย ? ”
อย่างไรเขาก็เป็นนายอำเภอ และเรื่องต่าง ๆ ของชาวลวี่หลินก็น่าสนใจอยู่มิน้อย บ้านเมืองล่ะ ? การเพาะปลูกเล่า ?
“ดูอันใด ย่อมปะทะกันยามค่ำ มองมิเห็นอันใดทั้งนั้น หากท่านโดนลูกหลงเข้า ข้าจักไปรับโทสะของตระกูลเยี่ยนได้เยี่ยงไร”
เยี่ยนซีเหวินเสียใจอย่างมาก ถึงแม้หนังสือที่เขาอ่านมาทั้งหมดจะเป็นหนังสือของนักปราชญ์ แต่ก็เคยได้ยินเรื่องราวของชาวลวี่หลินมามิน้อย
เรื่องพวกนี้เดิมทีแล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัวเขา แต่ในยามนี้กลับได้อยู่อย่างใกล้ชิด ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้
“ประเดี๋ยวข้าจะออกไปเสียหน่อย ท่านอยู่ที่นี่เถิด”
“เจ้าจะไปไหน ? ”
“ข้าจะไปดูพวกเขาสังหารคน”
“แล้วเหตุใดเจ้าไปได้…แต่ข้าไปมิได้ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก “เพราะ… เจ้ายังเป็นเด็ก”