นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 172 คำสั่งลับทั้งสี่
ฟู่เสี่ยวกวนรับป้ายหยกมาแล้วรีบออกไปทันที ฮ่องเต้เผยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เจ้าดูสิ ข้ารู้เลยว่าเขาใส่ใจมากแค่ไหน”
“ฝ่าบาท หากในกรณีที่ฝั่งตะวันออกยังคงมีสงครามเกิดขึ้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
“ก็ต้องสู้ มิใช่ว่ายังมีเสบียงสนับสนุนสงครามในครั้งนี้ตั้งหนึ่งเดือนรึ ยังต้องกลัวอันใด”
ต่งคังผิงครุ่นคิด ความจริงก็คงต้องเป็นเช่นนั้น หากฝั่งตะวันออกมีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเป็นการฉีกหน้าราชสำนัก ซึ่งฝ่าบาทจะไม่แสดงความเมตตาอีกต่อไป โลหิตคงไหลนองทั่วไปเมืองหลวงอย่างเลี่ยงมิได้ เยี่ยงนั้นเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว
หากการคาดการณ์ของฟู่เสี่ยวกวนถูกต้อง สงครามฝั่งตะวันออกคงยังมิเกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน
ฝ่าบาทจำเป็นต้องเตรียมตัว ส่วนคนที่หลบซ่อนอยู่ก็วางแผนการอย่างช้าๆ พวกเขาต่างก็ได้รับผลประโยชน์จากราชวงศ์หยู ย่อมไม่คาดหวังว่าราชวงศ์หยูจะเกิดความวุ่นวายขึ้น หรือแม้กระทั่งล่มสลาย เกรงว่าแม้แต่องค์ชายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็คงไม่อยากเห็นผลลัพธ์นี้
แน่นอนฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจความเกี่ยวพันธ์นี้ดี ดังนั้นเขาจึงมิอยากให้ฝ่าบาทรีบร้อนลงมือกับคนพวกนั้น เพื่อเรียกคืนอำนาจ แล้วเรื่องนี้จะคลี่คลายโดยธรรมชาติ
แม้ว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนี้จะเน่าเฟะ แต่ก็ล้มไม่ได้!
ไม้ล้มวานรเตลิด หากมันล้มลงมาจริงๆ บรรดาตระกูลที่ช่วยบริหารแคว้นกันมาอย่างยากลำบากหลายรุ่นก็คงสูญเสียที่พึ่งพิง สิ่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการทำร้ายทั้งสองฝ่าย หากไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ก็คงมิมีใครกล้าทำเช่นนั้น
เมื่อออกจากห้องทรงพระอักษรได้ ฟู่เสี่ยวกวนก็มุ่งหน้าไปยังวังหลัง อาศัยป้ายหยกในมือเป็นทางผ่าน
เมื่อมาถึงด้านนอกของวังเตี๋ยอี๋ ขันทีเหนียนก็ออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นป้ายหยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของฟู่เสี่ยวกวน ก็พลันตื่นตกใจขึ้นมา
“คารวะคุณชาย”
“องค์หญิงเก้าเล่า?”
“เรียนคุณชาย องค์หญิงเก้านั้นเสด็จไปเยี่ยมเยียนพระชนนี จนบัดนี้ก็ยังมิเสด็จกลับมา”
“อ้อ…ตอนนี้ข้ามีสามเรื่องที่อยากจะให้เจ้าทำ”
“คุณชายโปรดกล่าว”
“เรื่องแรก มีเกาะแห่งหนึ่งในทะเลสาบต้งถิง ณ เยว่โจว บนเกาะแห่งนั้นมีภูเขาลูกหนึ่ง นามว่าจวิ้นชาน ตรงตีนเขาจะมีหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านจะมีหญิงชราแขนด้วนข้างหนึ่ง ซึ่งหญิงชราผู้นี้เลี้ยงดูเด็กสาวคนหนึ่ง เมื่อคำนวณตามปีแล้ว ปีนี้น่าจะอายุหกขวบ ข้าต้องการรู้ว่าหญิงชราแขนด้วนนั่นเป็นใคร นางทำมาหากินเยี่ยงไร ยังมีประวัติความเป็นมาของเด็กสาวผู้นั้นด้วย จำไว้ว่า ข้อมูลจะต้องถูกต้องและละเอียด”
ขันทีเหนียนชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
“เรื่องที่สอง ส่งคนตรวจสอบอารามซุ่ยเยว่ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงอย่างใกล้ชิด ข้าอยากรู้ว่าแม่ชีผู้นั้นเป็นใคร และคนที่นางติดต่อด้วยคือใคร”
“เรื่องที่สาม ข้าต้องการข้อมูลทั้งหมดของแม่ทัพเซวี๋ยติ้งชานที่ประจำการฝั่งตะวันตก”
“เรื่องที่สี่ ข้าอยากรู้ความเคลื่อนไหวทั้งฝั่งศัตรูและฝั่งเราทางตะวันออก จำไว้ การเคลื่อนไหวที่ว่านั้น! รวมไปถึงกลยุทธ์ที่ทางราชสำนักแคว้นอี๋คิดจะใช้กับราชวงศ์หยู และรวมถึงการจัดวางทหารของกองทัพทางทางตะวันออก!”
“หลังจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จสิ้นให้ส่งคนมาที่จวนข้าทันที ขันทีเหนียน จะมีปัญหาอันใดหรือไม่?”
ขันทีเหนียนโค้งกาย “สำหรับหอชิงเฟิงซี่หยู่แล้ว คุณชายมิจำเป็นต้องถามว่ามีปัญหาอันใดหรือไม่ ตราบใดที่ใต้หล้ายังมีเรื่องราว หอชิงเฟิงซี่หยู่ก็สามารถตรวจสอบให้คุณชายได้ทราบอย่างชัดเจน”
สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจ ดูเหมือนว่า ตนเองจะประเมินอำนาจของหอชิงเฟิงซี่หยู่ต่ำไป
“เช่นนั้นก็ดี ข้าต้องขอตัวไปก่อน หวังว่าจะได้รับข้อมูลเร็ววัน”
“คุณชายโปรดเดินระวัง ข้าน้อยจะไปจัดการตามที่สั่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนหมุนตัวจากไป ขันทีเหนียนยืดกายตรง ดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั้นค่อยๆสว่างขึ้น เขามองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนจนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตาไป จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในวังเตี๋ยอี๋
ซั่งกุ้ยเฟยอ่านหนังสือ พลางฟังคำรายงานของขันทีเหนียน แล้วพยักหน้า
“กล่าวเยี่ยงนี้…แสดงว่าเรื่องที่เขาทราบก็มีมิน้อย ข้อแรกนั้นยังมิต้องบอกแก่เขาในตอนนี้ มันยังไม่ถึงเวลา จงถ่วงเวลาไว้ ส่วนข้อสองนั้นจัดการตามที่เขาต้องการเถิด ส่วนข้อสาม…ก็ให้เขาเถอะ ส่งข้อมูลเหล่านั้นให้เขาทั้งหมด พระมารดาขององค์ชายสี่อันกุ้ยเฟยก็คือเซวี๋ยปิงชิงน้องสาวของเซวี๋ยติ้งชาน”
……
ฟู่เสี่ยวกวนออกจากพระราชวังก็ตรงไปหาซูม่อที่รออยู่ตรงนั้นแล้วพากันเดินทางกลับจวน
เขานั่งลงในหลีเฉินซวน สั่งให้ชุนซิ่วนำกระดาษหมึกพู่กันมาให้ เนื่องจากเขาจะเขียนจดหมายฉบับยาวขึ้นมา เมื่อเขียนเสร็จก็อ่านทวนอีกรอบหนึ่ง ทั้งเพิ่มเติมข้อความบางอย่างลงไปก่อนจะจดหมายนั้นส่งให้ซูม่อ
“เรื่องนี้สำคัญมาก คงต้องให้เจ้าไปส่งด้วยตนเอง”
“ไปไหน?”
“เมืองหลินเจียง นำมันไปส่งถึงมือบิดาของข้า จำไว้ ต้องถึงมือบิดาของข้าเท่านั้น! และห้ามให้ใครรู้ร่องรอยของเจ้า!”
นับตั้งแต่ที่ซูม่อรู้จักฟู่เสี่ยวกวนมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นท่าทางระมัดระวังของฟู่เสี่ยวกวน นี่แสดงว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญมากแน่ๆ เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง เอ่ยปากถาม “ในเมื่อไปหลินเจียง เจ้าจักให้ข้าแวะไปที่ซีซานรึไม่?”
“ไม่ต้อง หลังจากที่เจ้าไปที่หลินเจียงแล้วก็ไปที่เยว่โจว ทะเลสาบต้งถิงที่เยว่โจวมีภูเขานามจวิ้นชาน ที่ตีนภูเขานั้นมีหมู่บ้านชาวประมงอยู่ ในหมู่บ้านมีหญิงชราแขนด้วนที่เลี้ยงดูเด็กสาวอายุหกขวบ สังหารหญิงชราผู้นั้นซะ แต่มิต้องลงมือกับเด็กสาวคนนั้น คอยแอบดูอยู่มุมมืดเพื่อดูสิว่าใครจะมาติดต่อกับเด็กสาวผู้นั้น ถ้าหากมีคนพาเด็กสาวผู้นั้นไป เจ้าก็สะกดรอยตามเขาไปอย่างเงียบๆ จะต้องรู้ให้แน่ชัดว่าพวกเขาจะไปตั้งหลักกันที่ใด”
“ได้!”
“จากนั้น เจ้าก็กลับมาที่เมืองหลวง ตกดึกก็หาโอกาสจุดไฟเผาอารามซุ่ยเยว่ คอยดูสิว่าแม่ชีที่นั่นจะไปที่ใด”
นี่มันเรื่องอะไรกัน? ซูม่อจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างตกตะลึง ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกแล้วหัวเราะแห้งๆ “แม่ชีผู้นี้หาใช่สตรีผู้มีคุณธรรม ข้าอยากรู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์เยือกเย็นประดุจหยกสะอาดนั้นจะซุกซ่อนความดำมืดอะไรไว้”
“พูดภาษาคนสิ!”
“เอ่อ…ก็ได้ แม่ชีผู้นี้อาจจะรู้ว่าใครกันที่ต้องการจะสังหารข้า”
“จริงรึ?”
“ข้าหลอกเจ้าแล้วได้อะไรเล่า?”
“งั้นก็ให้ข้าไปจุดไฟเผาอารามคืนนี้มิดีกว่ารึ?”
“โง่จริงเชียว เจ้ายังต้องสะกดรอยตามนางอีก เจ้าจะมีเวลาพอรึ? ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกลับไปที่หลินเจียงก่อน”
ซูม่อครุ่นคิด จากนั้นก็เก็บจดหมายเข้าไปในอกเสื้อ “ศิษย์พี่หญิงจะคุ้มครองเจ้า”
เขาหันหลังแล้วเดินออกไป เปลี่ยนชุดเป็นสีเขียวอ่อน ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวไว้แล้วเดินเที่ยวในเมืองจินหลิง
ฟู่เสี่ยวกวนก็ออกจากจวนฟู่ โดยมีซูโหรวติดตามอยู่ข้างกาย เขามุ่งหน้าไปยังจวนต่ง แล้วบอกกล่าวกับต่งหยวนชื่อและต่งชูหลานว่าทุกอย่างปกติดี อีกไม่ช้าท่านลุงก็จะกลับมาแล้ว ยังขอให้ท่านป้าทำหงเซาซือจึโถว่ให้กินตอนมื้อเย็น
เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของเขา ฮูหยินต่งกับต่งชูหลานก็วางใจ
“ยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงมื้อเย็น ข้ากับชูหลานแวะไปหาอาจารย์ฉินที่จวนก่อน ข้ามีจดหมายคนในครอบครัวที่ต้องส่งมอบให้”
“งั้นก็ไปเถอะ จำไว้ว่าต้องกลับมาทานอาหาร”
ต่งซิวเต๋อคิดว่ามารดาของตนมิเปลี่ยนไปเร็วหน่อยหรือ เขาอยากจะไปดูถิงเหม่ยเช่นกัน ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ท่านแม่ เย็นนี้ข้าจะกลับมาทานอาหารเย็นนะ”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ!”
ต่งซิวเต๋อพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา และเมื่อเห็นรอยยิ้มหยอกล้อของฟู่เสี่ยวกวนก็นึกโมโห เขารู้สึกว่าตนเองอาจจะไม่ใช่บุตรของมารดาจริงๆก็ได้
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานขึ้นมารถม้าคันเดียวกัน บนรถม้าต่งชูหลานถามเสียงจริงจังว่า “ไม่มีเรื่องอะไรจริงหรือ?”
“แน่นอน ในเมื่อพ่อตาลงมือด้วยตัวเองแล้วข้าจะยังมีสิ่งใดให้ทำอีก?”
หมัดน้อยๆของต่งชูหลานทุบลงบนร่างของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงฉวยโอกาสนี้ดึงร่างของนางเข้ามาในอ้อมกอด และรวบมือข้างนั้น ต่งชูหลานจึงขยับตัวไม่ได้
เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนได้รับการยอมรับจากบิดามารดาแล้ว ความหนักอึ้งในจิตใจของต่งชูหลานจึงค่อยๆผ่อนคลายลง ในใจของสาวน้อยเปี่ยมล้นไปด้วยจินตนาการชีวิตในอนาคต ทันใดนั้นความสุขก็เอ้อล้นขึ้นมา
“เบาหน่อย…!” ต่งชูหลานซุกใบหน้าที่เขินอายลงกับอ้อมกอดของฟู่เสี่ยวกวน
“แบบนี้ สบายไหม?”
คนผู้นี้…ช่างน่ารังเกียจนัก!
ด้านนอกรถม้าเต็มไปด้วยเสียงผู้คนดังคึกคัก ทว่าภายในรถม้ากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
พริบตาเดียวก็มาถึงจวนฉินแล้ว ฟู่เสี่ยงกวนปล่อยมือ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ของตน ส่วนต่งชูหลานก็ยืดกายตรง แล้วสบตากับฟู่เสี่ยวกวนแวบหนึ่ง จากนั้นก็จัดแจงเสื้อผ้าและทรงผม แต่ทว่าริ้วสีแดงบนใบหน้ากลับมิจางหายไป
เป็นเยี่ยงนี้จะดีได้อย่างไร?
ต่งชูหลานนึกในใจว่าถ้าหากอยู่ที่จวนฟู่ ตนเองจะสามารถยืนหยัดปฏิเสธได้จริงเหรอ?
ยังมิได้แต่งงานกัน ฉะนั้นจะปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นมิได้
“ก่อนจะแต่งงานกัน เจ้าห้ามแตะต้องข้า!”
พูดจบนางก็หัวเราะออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับทำสีหน้าไร้เดียงสา “นี่จะตำหนิข้ามิได้”
“หรือเจ้าจะตำหนิข้า?”
“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าต้องยอมรับนะ ชูหลานของข้า เจ้างดงามมาก เจ้ามิรู้ตัวเลยหรือว่างดงามมากเพียงใด ข้าเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ถ้าหากเผชิญหน้ากับสาวงามอย่างเจ้าแล้วยังเฉยเมยได้อยู่…นี่เท่ากับว่าข้าด้อยกว่าสัตว์ร้ายหรือ?”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา แต่ในใจกลับเปรมปรีดิ์
มีสาวน้อยอายุสิบห้าคนไหนบ้างที่ไม่หวังว่าจะได้ยินคำชมจากคนรัก? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่บ้าคลั่งดังสัตว์ร้าย!
ทั้งสองคนลงจากรถ ยืนตากลมหนาวด้านหน้าจวนฉินปิ่งจงอยู่ครึ่งชั่วธูป ความอบอุ่นในใจก็พลันจางหายไป ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในจวน
หลังจากทราบข่าวจากบ่าวใช้ ฉินปิ่งจงก็เดินออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
“พี่ฉิน!”
“น้องฟู่!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า….!”
หนึ่งชราหนึ่งหนุ่มต่างหัวเราะออกมาอย่างปลอดโปร่ง จากนั้นต่งชูหลานก็ถามสารทุกข์สุกดิบของอาจารย์ฉิน ก่อนที่อาจารย์ฉินจะนำพวกเขาเข้าไปในหว่านชิงฉวน
ฉินรั่วเสวียก็อยู่ที่นั่นด้วย นางกำลังอ่านหนังสือ อ่านไปพลางร้องไห้ไปพลาง ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่คน!
เขามันไม่ใช่คน!
ก็เห็นอยู่ว่าคนที่เจี๋ยเป่าหยูชอบคือหลินไต้ยวี่ ก็เห็นอยู่ว่าคนที่หลินไต้ยวี่ชอบคือเจี๋ยเป่าหยู แต่ฟู่เสี่ยวกวนที่ไม่ใช่คนผู้นั้นกลับดำเนินเรื่องราวให้จบลงโดยโศกนาฏกรรม!
เพียงเพราะน้องสาวหลินอ่อนแอและป่วยง่าย?
เพียงเพราะฮูหยินหวางชอบเซวี๋ยเป่าชาย?
แต่บรรพชนชอบน้องสาวหลิน!
เป่าหยูผู้น่าสงสาร จนกระทั่งถึงวันแต่งงานจึงได้ทราบว่าผู้ที่แต่งด้วยนั้นมิใช่น้องสาวหลิน
น้องสาวหลินผู้น่าสงสาร ในวันแต่งงานของเป่าหยูก็เจ็บปวดจนทานทนมิได้จึงกระอักเลือดตาย…
ฉินรั่วเสวียร้องไห้จนตาบวม อ่านไปร้องไห้ไปและด่าฟู่เสี่ยวกวนไป ดังนั้น…ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาถึงหน้าประตูจึงแสดงท่าทางละอายใจ ฉินปิ่งจงก็รู้สึกเก้อเขินขึ้นมา ฉินรั่วเสวียยังคงร้องไห้ไปด่าไป!
“ฟู่เสี่ยวกวน ท่านมันคนจิตใจโหดเหี้ยม! ท่านเริ่มความวุ่นวายขึ้นมาสุดท้ายก็โยนมันทิ้งไป! ท่าน…ฮือออ…ท่าน…ท่านทำเช่นนี้กับน้องสาวหลินได้เยี่ยงไร!”
“อ่า มิเช่นนั้น พวกเราเปลี่ยนที่ดีหรือไม่?” ฟู่เสี่ยวกวนกระซิบถาม
“โอ้ ได้ ได้!”
ฉินปิ่งจงจะจัดการหลานสาวผู้นี้ได้รึ?
สำหรับเรื่องนี้ ตัวเขาเองก็เคยเตือนฉินรั่วเสวียอยู่หลายครั้ง ว่านั่นก็เป็นเพียงแค่วรรณกรรมเท่านั้น วรรณกรรมมิใช่เรื่องจริง ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่ยืมหนังสือเรื่องนี้บอกกล่าวหลักการบางอย่าง
แต่จิตใจของสาวน้อยก็อดกลั้นมิได้ ว่ากันว่าตอนที่หนังสือความฝันในหอแดงจบลง สาวน้อยทั่วทั้งเมืองหลวงก็พากันก่นด่าฟู่เสี่ยวกวนกันระนาว….เฮ้อ เจ้าหนุ่มผู้นี้ ช่างทำบาปโดยแท้!