นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 178 คืนส่งท้ายปีเก่า
ค่ำคืนอันมืดมิด เกล็ดหิมะล่องลอยไปในท้องนภาอันกว้างใหญ่
แสงไฟในเมืองหลวงส่องสว่าง พลุและดอกไม้ไฟถูกจุดมิขาดสาย
แสงไฟในจวนต่งก็สว่างสดใสเช่นกัน ภายในห้องโถงใหญ่มีแสงนวลของเทียนและเสียงหัวเราะฮาเฮ
หลังจากฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาที่แห่งนี้ นี่เป็นปีแรกและครั้งแรกที่เขาได้ร่วมเทศกาลข้ามปี เขามีความสุขมาก แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากครอบครัว แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
จวนต่งต้อนรับเขาเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ยายของเขามีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากหลังมือเป็นหน้ามือ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนอดคิดมิได้ว่านี่เขาฝันไปหรือไม่
“เสี่ยวกวน มานี่ ลองชิมปลาดูสิ”
“เสี่ยวกวน กินเยอะ ๆ ลองชิมกุ้งนี่ดูสิ”
“ซิวเต๋อ ! ปลานั้นทำให้เสี่ยวกวนกิน เจ้าอย่าแตะนะ !”
“……”
ต่งซิวเต๋อคล้ายกับถูกกดดัน เขาเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นลูกชายของท่าน !”
ทุกคนเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ฮูหยินต่งจึงได้รู้สึกตัว นางเอ่ยว่า “เจ้าลูกคนนี้ ! ฟู่เสี่ยวกวนมาจากต่างถิ่น ที่นี่เขามิมีญาติคนอื่นใด แม่จะต้องดูแลเขาอย่างดี !”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มให้กับต่งซิวเต๋อแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่รอง…ท่านแม่เอ่ยมิผิดเพี้ยน ลูกเขยก็คือลูกเช่นกัน ปกติแล้วท่านพี่ก็ได้กินอาหารดี ๆ ทุกวัน แต่ข้าเพิ่งได้กินครั้งแรกเท่านั้น ในฐานะพี่ชาย ท่านพี่ยอมให้ข้าบ้างเถิด”
ต่งชูหลานยื่นมือไปหยิกเข้าที่ขาฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนสูดปากด้วยความเจ็บ แม่นางคนนี้มือหนักเสียจริง !
ต่งซิวเต๋อจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน “ครั้งแรกเยี่ยงนั้นรึ ? เจ้ากินอาหารที่จวนของเรามาตั้งสี่มื้อแล้ว !”
“ซิวเต๋อ เงียบนะ… !” ฮูหยินต่งว่าดุต่งซิวเต๋อ จากนั้นหันมายิ้มให้กับพวกเขาอีกสามคน “พวกเจ้าอย่าได้เกรงใจไป ถือว่าที่นี่เป็นบ้านของตนเอง เชิญกินได้ตามสบาย”
ซูเจวี๋ยโค้งคำนับขอบคุณอย่างมีมารยาท ซูโหรวยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระคุณท่านฮูหยิน !” ส่วนซูซู นางเพิ่งเคยสัมผัสบรรยากาศข้ามปีเป็นครั้งแรก นางดีใจเสียจนขอบตาแดง
ฮูหยินต่งมองดูซูซู สตรีงดงามเพียงนี้ แต่ว่า… “แม่นาง สวมใส่เสื้อผ้าบางเช่นนี้ มิหนาวงั้นหรือ ? ”
ที่ห้องโถงมีกองไฟสุมอยู่ แน่นอนว่าไม่หนาวเท่าใดนัก ซูซูส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ท่านฮูหยินต่ง ข้า ข้ามิหนาว”
“มาเถิด กินอาหาร ปลานี้เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองหลวงเชียว แม่นางลองชิมดู” ฮูหยินต่งคีบปลาชิ้นหนึ่งแล้ววางลงไปในชามของซูซู นางน้ำตาเอ่อล้นออกมา
“หืม ! แม่นางเป็นอะไรไป ?”
“ข้าขอบคุณท่านฮูหยินต่ง ข้า…ข้ามิเป็นไร” ซูซูยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตา จากนั้นก้มหน้าก้มกิน
ซูเจวี๋ยตกตะลึงเล็กน้อย เขาเอ่ยกับฮูหยินต่งว่า “ที่จริงพวกเรานั้นล้วนเป็นเด็กกำพร้า เติบโตมาในสำนักเต๋า หลังจากได้รู้จักกับคุณชายฟู่ ก็ได้คุณชายคอยดูแล พวกเราพี่น้องจึงได้อยู่อารักขาคุณชาย ซูซูอายุยังน้อย นางอาจจะยังคิดถึงครอบครัวเดิมอยู่บ้าง ขอฮูหยินอย่าได้ถือสา”
เรื่องของสำนักเต๋า ต่งคังผิงรู้ดี เนื่องจากเขาติดตามเรื่องราวอยู่เสมอ อีกทั้งเขายังมีข้อมูลของสำนักชิงเฟิงซี่หยู่ที่องค์ชายห้าก่อตั้งขึ้นอีกด้วย
เขาคิดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะรู้จักกับคนเหล่านี้ได้ พวกเขาเปรียบเสมือนดาบสองคม หากฟู่เสี่ยวกวนใช้ถูกก็ได้ประโยชน์ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจทำให้ตนเองบาดเจ็บได้
เขายกจอกขึ้นแล้วกล่าวว่า “หลังจากเสี่ยวกวนถูกจับตัวในคราก่อน ข้าก็รู้สึกเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของเขา ขอบอกตามตรงว่าเสี่ยวกวนมีศัตรูที่เมืองหลวงมากทีเดียว และอาจเป็นพวกคนมีความสามารถ ดังนั้นความปลอดภัยของเสี่ยวกวนคงต้องไหว้วานพวกเจ้าทั้งสามแล้ว ข้าขอดื่มเพื่อทั้งสาม”
ซูเจวี๋ยยกแก้วขึ้น “นายท่านต่งวางใจได้ พวกข้าจะคอยดูแลคุณชายทุกฝีก้าว !”
บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง ซูซูเดินออกมาจากความทรงจำเก่า ๆ ได้ นางยกแก้วสุราขึ้นดื่ม จากนั้นก็เริ่มเอ่ยเรื่องราวต่าง ๆ ที่พานพบ ทำให้คนอื่น ๆ หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ฮูหยินต่งยิ่งทวีความเอ็นดูนางมากขึ้น
งานเลี้ยงฉลองอันสำราญดำเนินมากระทั่งเกือบเที่ยงคืน จานชามบนโต๊ะถูกจัดเก็บเรียบร้อย ทุกคนพากันไปยังลานด้านหน้า บ่าวรับใช้ยกน้ำชาและขนมออกมาวางบนโต๊ะ
ขนบธรรมเนียมของราชวงศ์หยู ในค่ำคืนข้ามปีจะต้องเฝ้ารอวันใหม่ แม้จะมิได้อยู่รอกระทั่งตะวันขึ้น แต่ก็ควรจะรอถึงเที่ยงคืน
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงหน้าต่งคังผิงและฮูหยินต่ง เขาคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านลุงท่านป้า ข้ามีความคิดบางอย่างอยู่ พวกท่านลองฟังดูว่าเหมาะสมหรือไม่ ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าอยากจะให้ท่านพ่อมาสู่ขอชูหลานที่เมืองหลวง จัดการเรื่องของข้าและแม่นางชูหลานให้เรียบร้อย พวกท่านทราบดีว่าในปีหน้าข้าจะต้องเดินทางไปทำหน้าที่เข้าร่วมงานชุมนุมกวี หากเรื่องนี้ยังมิรีบจัดการ…ข้าเกรงว่าจะมิอาจวางใจปฏิบัติหน้าที่ได้”
ต่งชูหลานเขินอายจนก้มหน้าลงไป หัวใจนางเต้นดังโครมคราม
ต่งคังผิงและต่งหยวนชื่อสบตากัน จากนั้นก็มองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาเคร่งขรึม
“เรื่องนี้ข้าทั้งสองมิขัดข้อง รีบจัดการให้เร็วก็เป็นเรื่องดี ข้าหวังว่าเจ้าจะไปปฏิบัติหน้าที่จนมีผลงานที่ยอดเยี่ยมกลับมา !”
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วสูดอากาศเข้าลึก ๆ เอ่ยต่อไปว่า “พี่ชายของชูหลานไปรับหน้าที่เต้าถาย ณ เมืองเหอหนาน เขียนจดหมายมาเล่ามากมาย ข้าเอ่ยกับเจ้าตามตรงว่า บัดนี้ราชวงศ์หยูดูไปคล้ายสงบราบรื่น แต่แท้จริงภายในช่างเน่าเฟะ ฮ่องเต้ทรงต้องการปรับปรุงระบบการปกครอง เรื่องนี้ส่งผลต่อตระกูลใหญ่ทั้งหก หรืออาจจะส่งผลต่อชีวิตเลยก็ว่าได้ ! ความหมายของฝ่าบาทนั้นคือจะปล่อยให้ราชวงศ์หยูยุ่งเหยิงอีกสักพัก และนี่คือความกล้าหาญของฝ่าบาท พวกเราผู้รับใช้ฝ่าบาทแน่นอนว่าจะต้องเป็นกังวลแทนพระองค์”
ต่งคังผิงนำมือลูบไปที่หนวดเครา “นี่คือโอกาสที่ดีในการสร้างผลงาน ข้าหวังว่าเจ้าจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ มิจำเป็นจะต้องได้รั้งตำแหน่งเสนาบดี แต่อย่างน้อยได้เป็นข้าราชการระดับสามก็ยังดี เช่นนี้จึงจะสามารถตั้งหลักในเมืองหลวงได้อย่างมั่นคง”
ฟู่เสี่ยวกวนฟังจบก็นึกว่า เหตุใดฝ่าบาทจึงกระทำเยี่ยงนี้ ?
นี่คือความเจ็บปวดที่ไม่ธรรมดา !
พิษที่สะสมมากว่าสองร้อยปี หากกระจายไปตอนนี้ เกรงว่าจะเกินกว่าควบคุมได้ !
เป็นไปตามที่ต่งคังผิงกล่าว นี่คือโอกาสที่ดีในการสร้างผลงาน หากตระกูลยิ่งใหญ่ทั้งหกถูกทำลายหรืออ่อนกำลังลง ก็จะมีคลื่นลูกใหม่ก่อตั้งขึ้นมา
เขาครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ข้าจะพยายาม !”
การตัดสินใจนี้ เขาคิดได้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมายังเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเพื่อตนเองหรือเพื่อครอบครัวก็ตาม หากสามารถทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เขาก็จะลองดู !
“อืม…” ต่งคังผิงจิบชาแล้วกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าเจ้าจะมิกล้า จนต้องยอมแพ้ไป”
ต่งชูหลานมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีกังวล ส่วนต่งซิวเต๋อนั้นมิได้กังวลสักเล็กน้อย น้องเขยของเขาผู้นี้ หากกล่าวว่าจะพยายาม แน่นอนว่าเขาต้องได้มา เนื่องจากน้องเขยผู้นี้มิใช่ผู้ที่มีจิตใจงดงามอย่างที่เห็น
น้องเขยของเขามีแผนการแยบยลไม่น้อยกว่าใคร หลังจากที่เยี่ยนซีเหวินเดินทางกลับมาเมืองหลวงก็มิได้มายังจวนต่งนี้อีก ได้ยินชือเฉาหยวนกำชับกับลูกหลานว่า จะขัดผู้ใดก็ได้แต่จงอย่าไปขัดใจฟู่เสี่ยวกวน
มองดูจากท่าทีที่เปลี่ยนไปของทั้งสองตระกูลแล้ว เขามั่นใจว่าทั้งสองตระกูลมิอยากมีปัญหากับฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ เขาอยากจะรู้นักว่าเจ้าหมอนี่ทำได้เยี่ยงไร
ซูซูหาได้เข้าใจในหัวข้อที่พวกเขาสนทนากันไม่ เพียงแต่รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนช่างน่าสงสารนัก ที่มิอาจมีชีวิตตามที่ตนต้องการได้
คนเราเกิดมาควรได้แสวงหาในสิ่งที่ตนชอบมิใช่หรือ ? เหตุใดต้องลำบากเช่นนี้ด้วยเล่า ?
“ท่านลุงขอรับ ในเมื่อฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้ว ข้ามีคำพูดหนึ่งต้องการเอ่ย กรมคลังเปรียบเสมือนคลังของแคว้น แต่เงินของคลังบัดนี้ช่าง…ควรต้องวางแผนเสียใหม่ ข้าคิดว่าหลังการปรับปรุงในครานี้ คงกินเวลาไม่ต่ำกว่าสองถึงสามปี ต่อให้องค์หญิงสามแต่งงานกับชาวฮวง แต่แคว้นอี๋จากด้านตะวันออกก็จะใช้โอกาสนี้ อีกทั้งแคว้นฝานและราชวงศ์อู่ ข้านั้นมิได้คุ้นเคยสักเท่าใด พวกเราควรป้องกันไว้ล่วงหน้า”
“ดังนั้นในปีหน้าที่ส่งราชทูตไปนั้นจึงมีความหมายยิ่ง เจ้าเองก็ต้องทำใจไว้บ้าง ส่วนเรื่องคลังแคว้น…ตอนนี้คับขันเสียจริง ในปีหน้าภาษีจะเพิ่มเป็น 2 เท่า เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญา”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ที่จริงหากราชวงศ์ให้ความสะดวกแก่พ่อค้ามากกว่านี้ อีกทั้งให้การสนับสนุนที่มากขึ้น เรื่องภาษีก็จัดการได้ง่าย”
“หืม ? อย่างไรกัน ?”
“ภาษีโดยมากมาจากพ่อค้า แต่บัดนี้ฐานะของพ่อค้าช่างต่ำต้อยนัก อีกทั้งบรรดาผู้รู้หนังสือมักดูถูกพ่อค้า หากว่าทางราชวังยกระดับของพ่อค้าขึ้นให้เท่ากับผู้มีความรู้ทั้งหลาย จะทำให้บรรดาพ่อค้ากระตือรือร้นขึ้น เดิมทีพ่อค้าก็มากไปด้วยเงินทอง หากพวกเขาได้รับการยกย่องชื่อเสียงด้วย ก็จะมีผู้คนขวนขวายเป็นพ่อค้ามากขึ้น มิใช่มุ่งหวังแต่เข้ารับราชการ เมื่อการค้าดำเนินไปได้ดี ก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้นและรวดเร็ว อีกทั้งอาชีพอื่น ๆ ก็มิใช่ว่าจะต่ำต้อย เช่น การทดลองและปรับปรุงสามารถนำมาใช้ให้สิ่งต่าง ๆ สะดวกขึ้นได้ แม้แต่การทอผ้า หากนำมาพัฒนาก็สามารถได้คุณภาพและจำนวนที่มากขึ้นตามมาด้วย ประการแรกนั้นสามารถลดต้นทุนการผลิต ประการที่สองนั้นสามารถจำหน่ายตามจำนวนที่ต้องการ การค้าก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น การพัฒนาปรับปรุงนั้นมีข้อดีคือสามารถค้นพบคำตอบในด้านต่าง ๆ ได้ สิ่งนี้ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ หรือกระทั่งช่วยให้แคว้นมั่นคงขึ้น สืบต่อไปยังรุ่นลูกหลาน !”
มิเพียงแต่ราชวงศ์หยูเท่านั้น แต่ราชวงศ์อู่และแคว้นฝานอีกทั้งแคว้นอี๋เองก็มิได้ใส่ใจในด้านการค้า กลับกันชาวฮวงนั้นให้ความสำคัญมากกว่าทั้งสามแคว้นดังกล่าว
แต่การค้าระหว่างแคว้นมิได้ดำเนินขึ้นง่าย ๆ จะต้องมีรับสั่งจากฮ่องเต้ พ่อค้าทั้งหลายต่างตามล่าผลกำไร แท้จริงแล้วราชวงศ์หยูและชาวฮวงได้ทำการขนของหนีภาษีกันเป็นเวลาช้านาน อีกทั้งมีปริมาณมากเสียด้วย
สำหรับราชวงศ์หยูนั้น เงินจำนวนมหาศาลจะต้องสูญไป เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวถึงเรื่องนี้ ต่งคังผิงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ที่เจ้าว่ามานั้นก็มีเหตุผล…เมื่อผ่านปีใหม่ไปแล้ว เจ้าจงไปเขียนมาเป็นลายลักษณ์อักษร ข้าจักลองนำเสนอฝ่าบาท แต่ก็อย่าได้ให้ความหวังไว้มากนัก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนี้ค่อนข้างใหญ่ บรรดาผู้มีความรู้…คาดว่าคงพากันออกมาคัดค้าน”
“อืม !” ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้น เนื่องจากเขารู้ว่าผู้มีความรู้ทั้งหลายมิออกมาคัดค้านแน่นอน
“เอาละ ๆ ใกล้จะข้ามปีแล้ว อย่าได้แต่มัวคุยเรื่องปวดหัวเช่นนี้เลย มาๆๆ ข้าจะมอบอั่งเปาให้ทุกคน ขออวยพรให้ทุกคนมีความสุข สมหวังดังปรารถนา ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรง !”
ฮูหยินต่งยิ้มแล้วหยิบอั่งเอาออกมาแจกทุกคน แม้แต่สามพี่น้องแซ่ซูก็มีด้วย ซูซูดีใจยิ่งนัก นางเก็บรักษาไว้ด้วยความระมัดระวัง
“พวกเราไปจุดดอกไม้ไฟกันเถิด”
ทุกคนพากันเดินออกมา จากนั้นบ่าวรับใช้แบกหีบใส่ดอกไม้ไฟและพลุเข้ามาวางไว้ จากนั้นปักลงบนหิมะ
บัดนี้ ในเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงและแสงสีจากพลุที่จุดขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพลุดอกหนึ่งให้ต่งชูหลาน “เจ้าลองจุดดูสิ !”
ต่งชูหลานจุดไฟด้วยความระมัดระวัง จากนั้นวิ่งกลับมายังข้างกายของฟู่เสี่ยวกวน
“ปุ้ง…!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวผสมผสานไปกับเสียงหัวเราะของทุกคนในยามค่ำคืน ณ เมืองหลวง