นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 184 นิสัยของหนุ่มสาว
ตอนที่ 184 นิสัยของหนุ่มสาว
เยี่ยนเสี่ยวโหลวกับซูซูนั่งบนรถม้าคันเดียวกัน
แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่รู้จักกัน แต่ต่างก็รู้สึกตกตะลึงกับใบหน้าของกันและกัน และรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนที่งดงามมาก ดังนั้นจึงพากันเหลือบมองอยู่หลายครั้ง
เยี่ยนเสี่ยวโหลวคิดในใจเงียบ ๆ ว่า สาวสวยคนนี้เป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลไหนกัน ?
ส่วนซูซูคิดในใจเงียบ ๆ ว่าทำไมข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนถึงมีคนหน้าตาดีมากมายถึงเพียงนี้ ?
หากพูดถึงความหล่อเหลา เขาก็ไม่ได้หล่อเหลาเท่ากับศิษย์น้องซูม่อ หากพูดถึงวรยุทธ์ ช่างเถอะ เขาแทบไม่มีความสามารถเลย
เขามิใช่ดอกไม้ที่เพิ่งแย้มบาน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผึ้งอยากจะเข้ามารุมตอมบนตัวเขา !
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยปากซักถามขึ้นก่อนว่า : “ไม่ทราบว่าแม่นางมีนามว่าอะไรหรือ ? ”
ซูซูยิ้มแย้ม และตอบกลับว่า “ข้ามีนามว่าซูซูคำว่าซูมาจากคำว่าซูฉิ่งที่แปลว่าตื่น พี่สาวล่ะ ? ”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น นางยิ้มแย้มแล้วพูดขึ้นว่า “ข้ามีนามว่าเยี่ยนเสี่ยวโหลว คำว่าเยี่ยนมาจากคำว่าเยี่ยนจือที่แปลว่านกนางนวล ส่วนคำว่าเสี่ยวโหลวมาจากคำว่าเสี่ยวโหลวทิงหยู่ที่แปลว่าฟังเสียงฝน”
“อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักพี่สาว”
“อืม ยินดีที่ได้รู้จักน้องสาว”
จากนั้น….จากนั้นก็ไม่มีเรื่องคุยแล้ว เยี่ยนเสี่ยวโหลวอยากจะซักถามแต่ไม่กล้าเสียมารยาทถามซูซูว่าทำไมนางถึงอยู่ที่จวนฟู่ได้ ส่วนซูซูก็ไม่ได้คิดอยากจะถามเยี่ยนเสี่ยวโหลวว่าทำไมถึงมาจวนฟู่
ดังนั้นบรรยากาศบนรถม้าเลยเข้าสู่สภาวะนิ่งเงียบ ทั้งที่ฟู่เสี่ยวกวนกับเยี่ยนซีเหวิน เขาทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้ากลับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“หลังจากพบกันครั้งนี้ พวกเขาต้องไปจากเมืองหลวงในเดือนแรกของปีเพื่อเข้าไปรับตำแหน่งในพื้นที่ เฮ้อ….จากกันครั้งนี้ มิรู้ว่าจะสามารถพบกันอีกเมื่อไหร่ ใต้ฟ้าเดียวกันไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา เรื่องจริงคือน่าเสียดายที่ต้องจากกัน คงรู้สึกโดดเดี่ยวมากแน่”
เยี่ยนซีเหวินรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย และหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตในเมืองจินหลิง 18 ปี ทั้งยังหวนคิดถึงสหายรุ่นราวคราวเดียวกันที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเหล่านั้น และสหายที่ร่วมเรียนด้วยกันด้วย ตอนนี้ต่างคนต่างต้องจากลา ต่างคนต่างต้องเดินหน้าตามเส้นทางของตัวเอง ซึ่งเส้นทางนั้นอาจเป็นแสงสว่าง เป็นหมอกควันมืดสลัว เป็นดอกไม้โปรยตามทาง หรืออาจเป็นขวากหนามและหลุมพราง
“ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามีสีหน้าท่าทางห่อเหี่ยวแบบนี้มาก่อนเลย คนเราทุกคนต้องมีการเติบโต เมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งวันนี้พวกเจ้าต่างก็มีเส้นทาง ดังนั้นสนใจเพียงเดินลุยไปข้างหน้า….อีกอย่าง ข้าก็มิรู้ว่าครั้งนี้เจ้าเชิญใครมาบ้าง ? ”
เยี่ยนซีเหวินเก็บสีหน้าระทมทุกข์ และพูดว่า : “จิ้นซื่อสิบอันดับแรกของปีนี้ นอกจากฉินหายหยู่กับเยี่ยนหลินชิวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าแล้ว คนที่เหลืออีก 8 คนล้วนเชิญมาหมดแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหวนนึกถึงความทรงจำเล็กน้อย แปดคนนั้นเขาจำได้ อันที่จริงก็เคยพบกันมาก่อนแล้วที่พระราชวังจินเตี้ยน
“ฉินหายหยู่กับเยี่ยนหลินชิวก็รับราชการข้างนอกหรือ ? ”
เยี่ยนซีเหวินพยักหน้าเล็กน้อย “ฉินหายหยู่ไปเจียงเป่ยเต้ารับตำแหน่งนายอำเภอไคหยาง ณ ฉีโจว ฉินโม่เหวิน ลุงสองของเขาเป็นเต้าถายที่เจียงเป่ยเต้า ส่วนเยี่ยนหลินชิวลูกพี่ลูกน้องของข้าไปซานตงเต้าเพื่อรับตำแหน่งนายอำเภอชูอี้ ณ หย่งหนิงโจว พวกเขาจากไปตอนต้นเดือนสิบเอ็ดแล้ว ปีนี้เลยไม่สามารถกลับมา”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงแผนที่แผ่นนั้นที่เคยเห็นในห้องทรงพระอักษร เขาขมวดคิ้วและซักถามว่า : “อำเภอชูอี้ ? อำเภอชูอี้ที่อยู่ใกล้ ๆ ผิงหลิงนะรึ ? ”
“ใช่ สถานที่นั้นล่ะ…..ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านพ่อกับท่านปู่คิดอะไรอยู่”
จากราชวงศ์หยูไปแคว้นฮวง เมื่อถึงทางเหนือจะมี 2 เส้นทาง เส้นทางแรกต้องผ่านด่านเยี่ยนซานเหนือ นี่คือเส้นทางหลวงที่ใกล้ที่สุด เส้นทางที่สองต้องอ้อมผิงหลิง ซึ่งจะต้องผ่านภูเขาผิงหลิงซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอำเภอชูอี้กับอำเภอผิงหลิง
สถานที่นั้นเป็นดินจืดมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้แต่คนที่อยู่ชานเมืองยังไม่กล้าไปอาศัยเลย ประการแรกเส้นทางคมนาคมยากลำบาก ประการที่สองมีหญ้าให้ตัดไม่เพียงพอให้ม้าเคี้ยวกินไปตลอดทาง
แต่หัวหน้าโจรกบฏกงเซินจ่างแห่งแม่น้ำหวงเหอก็อาศัยอยู่ในภูเขาผิงหลิง ทหารจำนวนมากเคยล้อมปราบแต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้เลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดเจนว่าภูเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายและภูมิศาสตร์ก็ซับซ้อนมากด้วย
หากต้องการทำผลงานที่อำเภอชูอี้ ความยากถือว่าไม่น้อยเลย
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มจาง ๆ “เจ้าต้องเชื่อมั่นในสายตาท่านพ่อและท่านปู่ของเจ้า”
เยี่ยนซีเหวินยักคิ้วด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้พูดว่าถ้าหากราชวงศ์หยูกับแคว้นฮวงทำสงครามขึ้นจริง ๆ ระยะห่าง 300 ลี้ระหว่างอำเภอผิงหลิงกับอำเภอชูอี้ของเมืองซินเฉิงจะกลายเป็นยุทธ์ศาสตร์ที่สำคัญ
เมื่อดูจากแผนที่แผ่นนั้น อำเภอชูอี้กับอำเภอผิงหลิงของเมืองซินเฉิงต่างเป็นมุมของกันและกัน เมื่อถอยหลังไปอีกสามร้อยกว่าลี้ก็จะเป็นเมืองหย่งหนิงของหย่งหนิงโจว คิดดูแล้วเมืองหย่งหนิงนับว่าเป็นเมืองทรงอำนาจอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เป็นป้อมปราการยุทธศาสตร์ให้กับทหารทางเหนือ
“ถ้าหากเจ้าเชื่อข้าก็ให้ลูกพี่ลูกน้องของเจ้า ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไว้ที่การป้องกันเมืองของอำเภอชูอี้” ฟู่เสี่ยวกวนยังคงพูดขึ้นอย่างยิ้ม ๆ ทำให้เยี่ยนซีเหวินตกใจจนต้องหันหน้ามามองเขา เพราะเยี่ยนเป่ยซีปู่ของเขาก็พูดแบบนี้เช่นกัน
เจ้าหมอนี้….”ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนี้ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกเล็กน้อย คลี่ยิ้มและพูดว่า “ข้าคิดว่าสถานที่แห่งนั้นคงยากที่สร้างผลงานด้านเศรษฐกิจได้ ไม่สู้สะสมอาหารกับสร้างกำแพงเมืองจะดีกว่าหรือ”
เยี่ยนซีเหวินเผยสายตาที่เป็นประกายทันที สะสมอาหารกับสร้างกำแพงเมือง ซึ่งนี่เป็นความต้องการของท่านปู่ แต่เจ้าหมอนี่กลับใช้คำพูดไม่กี่คำอธิบายความหมายจนชัดเจน “บางครั้งข้าก็มักจะคิดว่า ในสมองของเจ้าบรรจุอะไรกันแน่ ? เฮ้อ….” เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจหนึ่งเฮือก “เรื่องกวี ข้าก็สู้เขาไม่ได้ ตอนแรกข้ายังนึกว่าเรื่องการบริหารจัดการ เจ้าคงจะเทียบข้ามิได้ แต่เมื่อเห็นนโยบายบรรเทาสาธารณภัยของเจ้าแล้ว และเมื่อได้ยินที่เจ้าพูดวันนี้ ช่างเถอะ ข้าไม่สามารถเทียบเจ้าได้เลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้น “พี่ซีเหวินไม่ควรดูถูกตัวเอง ! ”
ข้าไม่บังอาจหรอก !
รถม้ามาถึงหอซื่อฟาง จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินลงจากรถม้า และเดินเข้าหอซื่อฟางทันที
วันนี้เป็นวันที่สองของต้นปี แขกในหอซื่อฟางจึงมีไม่มาก ห้องที่เยี่ยนซีเหวินจองอยู่ที่ชั้นสาม ซึ่งเป็นสถานที่ที่ฟู่เสี่ยวกวนเชิญพวกเขามาครั้งก่อน โดยตรงหน้าต่างสามารถเห็นทะเลสาบเว่ยยางด้วย
เมื่อผลักประตูเดินเข้าไปก็พบว่าข้างในมีคนนั่งอยู่ 8 คน ในตอนนี้พวกเขากำลังจิบชาพูดคุยกันอยู่
ทั้งแปดคนนี้มีชืออีหมิงเป็นหัวหน้า เมื่อเห็นเยี่ยนซีเหวินเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นแสดงความเคารพ แต่ทว่าข้างหลังของเยี่ยนซีเหวิน มีฟู่เสี่ยวกวนเดินตามมาหลังด้วย !
เจ้าหมอนั่นนี้ !
วันสอบคัดเลือกในพระราชวังหลวง เขาอวดเก่งในพระราชวังจินเตี้ยน ก่อให้เกิดการมีการเปรียบเทียบในปีนี้ขึ้นมา จนทำให้กลายเป็นฝันร้ายของเหล่าชายหนุ่ม และกลายเป็นศัตรูของคนอื่นอย่างรวดเร็ว !
“พี่ซีเหวิน นี่หมายความว่าอย่างไร ? ” ชืออีหมิงซักถามขึ้น เยี่ยนซีเหวินเชิญพวกเขามาพบปะ แต่มิได้บอกว่าจะเชิญฟู่เสี่ยวกวนมาด้วย นอกจากฟางเหวินซิง อันลิ่วเย่ จัวหลิวหวินและหวงเฉิง 4 คนที่เหลือล้วนเป็นลูกหลานของหกตระกูลใหญ่ ทุกคนมิมีปัญหาเรื่องความขัดแย้ง แต่แน่นอนว่าเยี่ยนซีเหวินก็รู้ว่าเขาไม่ค่อยถูกคอกับฟู่เสี่ยวกวน แต่เขากลับเชิญเจ้านั่นมาด้วย ซึ่งนี่เหมือนกับไม่ไว้หน้าเขาเลย
เยี่ยนซีเหวินยิ้มและพูดว่า “วันที่ 25 เดือนเก้าเมื่อปีที่แล้ว ที่งานรำลึกกวีหลานถิงจี๋ ข้าได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นครั้งแรก อืม ในตอนนั้นเหวินซิงกับลิ่วเย่ก็อยู่ด้วย มามามา ทุกคนนั่งลงก่อน เดี๋ยวข้าจะค่อย ๆ พูดอธิบายกับพวกเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่เอามาใส่ใจ ถึงยังไงเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาก็ได้ส่งของไปคารวะหกตระกูลใหญ่แล้ว
ชืออีหมิงเบิกตาเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาดูถูกแวบหนึ่ง หลังจากที่ทุกคนนั่งลง ซูซูกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็เดินมานั่งด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวน ถึงแม้สาวงาม 2 คนนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกหวั่นไหว แต่ก็หมดความรู้สึกในชั่วพริบตา เพราะ….คิดว่าเจ้าหมอนี้คงจับปลาสองมือแน่เลย
ด้วยเหตุนี้ยิ่งสร้างความรู้สึกเคียดแค้นต่อฟู่เสี่ยวกวนมากขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเผยรอยยิ้ม และกวาดสายตามองใบหน้าทุกคนหนึ่งรอบ
“ตอนที่พบกับเขาที่งานรำลึกกวีหลานถิงจี๋ อันที่จริงข้าก็มีความรู้สึกเหมือนกันกับพวกเจ้านั่นแหละ ข้าเองก็รู้สึกเกลียดขี้หน้าเขาคนนี้เหมือนกัน และคิดว่าคงเกลียดมากกว่าพวกเจ้าด้วย ! แต่หลังจากที่พวกเราได้ร่วมดื่มเหล้าด้วยกันที่นี้ จากนั้นก็ถูกส่งไปยังอำเภอเหยา ส่วนเขาก็กลับเมืองหลินเจียง พวกเราจึงมีโอกาสได้รู้จักกัน หลังจากร่วมงานกันไม่กี่ครั้ง จากนั้นข้าก็รู้สึกว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นอาจารย์ของข้า แต่ข้าไม่ยินยอม ดังนั้นข้าเลยเป็นสหายกับเขาแทน”
เยี่ยนซีเหวินหยุดนิ่งชั่วขณะ และพูดต่อว่า : “วันนี้ข้าไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมให้พวกเจ้ากับเขาปรับความเข้าใจกัน แต่ข้าได้พูดจบแล้ว ส่วนความแค้นระหว่างพวกเจ้ากับเขา…ไม่สิ พวกเจ้ากับเขามีความแค้นอะไรต่อกันหรือ ? ”
เยี่ยนซีเหวินซักถามโดยตรงขึ้น ซืออีหมิงกับคนอื่น ๆ หันมาสบตากัน ตกลงมีความแค้นอะไรกันหรือ ?
ชืออีหมิงอยากพูดถึงอดีต เพราะในตอนนั้นที่พระราชวังจินเตี้ยน ฟู่เสี่ยวกวนได้ด่าทอชือเฉาหยวนอย่างรุนแรงจนกระอักเลือด แต่เซวี๋ยตงหลิน สีส่วงและเฟ่ยเชียนกลับพูดไม่ออก
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในใจนั้นไม่ได้มีความรู้สึกเคียดแค้นต่อฟู่เสี่ยวกวน
เยี่ยนซีเหวินหัวเราะฮ่าฮ่าดังขึ้น และพูดเพิ่มเติมขึ้นว่า : “ล้วนเป็นนิสัยของหนุ่มสาว รอให้พวกเจ้าได้รับตำแหน่งขุนนางเหมือนบิดาก่อน เรื่องไร้สาระจะทำให้พวกเจ้าปวดสมอง จากนั้นพวกเจ้าจะรู้ว่าการกระทำตอนนี้ไร้เดียงสามากแค่ไหน ! ”
นี่เป็นประสบการณ์ที่ประสบพบเจอกับตัวเองของเยี่ยนซีเหวิน เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่คมเข้มมาก ซึ่งไม่ใช่คำพูดสั่งสอน แต่เป็นการรำพึงรำพันความรู้สึกของตัวเอง ดังนั้นเมื่อเหล่าชายหนุ่มได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกว่าจริงใจ
เช่นนั้นหมายความว่าข้าไร้เดียงสาหรือ ?
ไม่มีใครกล้าพูดอันใด เยี่ยนซีเหวินรู้สึกเสียใจภายหลัง เขาคาดหวังอยากให้ชายหนุ่มเหล่านี้ผูกมิตรกับฟู่เสี่ยวกวน บางทีฟู่เสี่ยวกวนอาจจะไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ แต่ถ้าหากได้รับคำชี้แนะจากฟู่เสี่ยวกวน คงมีประโยชน์เป็นอย่างมากต่ออนาคตข้างหน้าของพวกเขา
ช่างเถอะ ช่างเถอะ ถือเสียว่าเจตนาดีของข้าเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านล่ะกัน “เสี่ยวเอ้อ รินเหล้า ! ”
ภายในห้องฟู่เสี่ยวกวนพูดน้อยที่สุด เยี่ยนเสี่ยวโหลวที่นั่งด้านขวาของเขาก็เอาแต่กังวลแทนเขา ส่วนซูซูที่นั่งหัวโต๊ะด้านซ้ายข้างเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไร
สิ่งที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวกังวลแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ฟู่เสี่ยวกวนแทบไม่มีเจตนาเป็นศัตรูต่อเหล่าชายหนุ่มเหล่านี้เลย
เรื่องลอบสังหารครั้งก่อนยังไม่สามารถสืบความจริงได้ เพราะเรื่องบรรเทาสาธารณภัยทำให้มีผู้คนจำนวนมากคิดฆ่าเขา และคนเหล่านั้นคงไม่ใช่ฝีมือของชายหนุ่มเหล่านี้หรอก มีเพียงความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้อาวุโสของพวกเขา
บัญชีแค้นนี้ต้องชำระแน่นอน หลังจากเหตุการณ์นี้สิ้นสุดลง หนึ่งคนในเหล่าชายหนุ่มนี้หรือใครบางคนต้องคิดว่าเขาเป็นศัตรูแน่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว หากถึงเวลานั้นจริง เขาก็ไม่สนใจที่จะต้องฆ่าเพิ่มอีกไม่กี่คน
ในตอนนี้บรรยากาศน่าอึดอัดมาก เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดอยู่สักพัก และพูดกับฟู่เสี่ยวกวนว่า : “ฟู่เสี่ยวกวน มามามา ช่วยแต่งกลอนที่น่าสนใจหน่อยได้หรือไม่ ? ”
เอาอีกแล้วหรือ !
ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตามองเยี่ยนซีเหวินแวบหนึ่ง แต่เมื่อเยี่ยนเสี่ยวโหลวได้ยินแบบนี้กลับรู้สึกดีใจเลยรินเหล้าเต็มถ้วยให้กับฟู่เสี่ยวกวน และพูดว่า “ครั้งก่อนกลอน คลื่นเซาะทราย ยกจอกสุราต้อนรับลมวสันต์ ที่คุณชายแต่งช่างละเมียดละไมมาก เสี่ยวโหลวขอชนจอกเป็นเกียรติต่อคุณชาย อีกอย่างหวังว่าคุณชายจะไม่ปฏิเสธด้วย”
ขณะที่พูดเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ยกแก้วเหล้าขึ้น ส่วนฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกเล็กน้อย ก่อนจะยกจอกเหล้าดื่มหมดแก้ว
“กลอนในวันนี้ข้าขอไม่แต่งนะ”
อ่า….!
อันที่จริงต่อให้เป็นชืออีหมิงในตอนนี้ก็หวังอยากให้ฟู่เสี่ยวกวนแต่งกลอนบทหนึ่ง เพราะบรรยากาศน่าเป็นใจเป็นอย่างมาก
พึ่งพาเพียงคลังคำศัพท์ในหนังสือความฝันในหอแดงก็ยากที่จะมีคนมาเทียบเท่าได้
เยี่ยนเสี่ยวโหลวรู้สึกผิดหวังทันที นางวางแก้วเหล้าลงและก้มหน้าลง ในใจแอบคิดเงียบ ๆว่าตัวเองไม่มีความสำคัญจริง ๆ
จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า : “ข้าอยากแต่งกลอนทั่วไปเพื่อชื่นชมทุกท่าน”