นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 200 คลื่นใต้น้ำ (2)
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลงไม่นาน ตระกูลใหญ่ทั้งหกก็ได้รับข้อมูลอย่างละเอียด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของพวกเขา และเหตุการณ์ในครานี้จะนำมาสู่ผลลัพธ์ที่มิสามารถหลีกเลี่ยงได้
เรื่องผลการต่อสู้ครั้งนี้แต่ละคนคิดไม่ตรงกัน เยี่ยนเป่ยซีคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะชนะ แต่ราชครูเฟ่ยคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องตายอย่างแน่นอน !
ส่วนคนอื่น ๆ คิดว่าความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะสามารถสู้กับฮุ่ยชินอ๋องได้หรือ ?
เมื่อได้ยินว่าช่วยชีวิตองค์ชายสามแห่งจวนฮุ่ยชินอ๋องได้แล้ว แต่เขากลับพิการ อีกทั้งเป็นองค์ชายที่ฮุ่ยชินอ๋องรักมากที่สุด ฮุ่ยชินอ๋องจะปล่อยเขาไปหรือ ?
แต่หัวหน้าตระกูลสีกล่าวกับสีฉวินเหมยว่าเขาเห็นมิตรงกันกับราชครูเฟ่ย
ส่วนเรื่องที่ไทเฮาจะให้ฮุ่ยชินอ๋องพำนักต่อที่เมืองหลวง ฝ่าบาทก็มิพอใจเท่าใดนัก อีกทั้งเรื่องของฟู่เสี่ยวกวนกับองค์หญิงเก้าก็เริ่มแพร่หลายไปทั่ว พระมารดาขององค์หญิงเก้านั่นคือพระสนมซั่ง นางมิใช่สตรีทั่วไป !
หอชิงเฟิงซี่หยู่นั้นอยู่ในมือขององค์ชายห้า แต่การต่อสู้ในครั้งนี้หอชิงเฟิงซี่หยู่กลับนิ่งเงียบ นี่หมายความว่าอย่างไรงั้นรึ ? นั่นหมายความว่าพระสนมซั่งประสงค์ให้เรื่องนี้ใหญ่โตขึ้น ส่วนเหตุผลที่นางต้องการเช่นนั้นเพราะต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนมีชีวิตรอด และให้ฮุ่ยชินอ๋องถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปยังหลิ่งหนาน
“แท้จริงแล้วเมื่อหลายปีก่อนท่านอาจารย์ฉินเคยกล่าวกับลูกถึงฟู่เสี่ยวกวนว่า เมื่อครานั้นฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวง ท่านอาจารย์เอ่ยว่าฟู่เสี่ยวกวนเคยช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเขตเหยากว่าสามหมื่นคน นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาสร้างกุศล และเนื่องจากความเมตตาของเขาไปขัดขวางผลประโยชน์ของใครหลาย ๆ คน เขาจึงเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหาที่พึ่งพิง หากเป็นไปได้ ท่านอาจารย์อยากให้ข้าเข้าช่วยเหลือเขา จากจุดยืนของข้า ต่อให้ไม่คำนึงถึงหยุนชิง ข้าก็ต้องช่วยเหลือเขาแน่”
“เรื่องของสวี่หยุนชิงอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย”
“อืม…” สีฉวินเหมยพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่มาพบข้าด้วยตนเอง แต่กลับเข้าพึ่งพิงฝ่าบาท ข้าชื่นชมเจ้าหนุ่มนี่เสียจริง เพียงแต่ทว่า…เขามิได้มีรากฐานใด ต่างจากฮุ่ยชินอ๋องที่ได้รับความโปรดปรานจากไทเฮาเป็นอย่างยิ่ง แต่บัดนี้องค์ชายสามของฮุ่ยชินอ๋องกลับถูกทำร้ายจนพิการ หากฮุ่ยชินอ๋องเกิดความเคลื่อนไหวใด ๆ เกรงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิอาจต้านทานได้”
อาจารย์สียิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วส่ายหัว “เจ้านั้น มองข้ามความสามารถของพระสนมซั่งเกินไปเสียแล้ว ! ”
ในเวลาเดียวกัน เมื่อพระสนมซั่งจากวังเตี๋ยอี๋ฟังความที่หยูเวิ่นเต้าเอ่ยมาแล้ว นางก็กำชับให้หยูเวิ่นเต้าไปจัดการบางอย่าง “จงส่งคนไปหาสตรีที่มีนามว่าเจียงหยู แล้วปกป้องนางให้ดี จงกำชับให้นางไปร้องทุกข์ที่จวนผู้ว่าเมืองจินหลิง ส่วนเรื่องคำร้องทุกข์จงไปหากั๋วจื่อเจี้ยนจิ่วชางกวนเหวินซิ่วให้ช่วยเขียน”
“เสด็จแม่…นี่ยังอยู่ในช่วงวันหยุด”
“หาได้เป็นไรไม่ หนิงหยู่ชุนจะเปิดศาลดำเนินความเอง”
หยูเวิ่นเต้าลุกขึ้นจากไป พระสนมซั่งหันไปกล่าวกับขันทีเหนียนอย่างเคร่งเครียดว่า “จงไปคุ้มกันผู้ที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับองค์ชาย นับจากพรุ่งนี้จงจัดการส่งคนไปตีกลองร้องทุกข์ที่จวนผู้ว่าเมืองจินหลิง”
ขันทีเหนียนสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นออกไปเพื่อทำตามคำสั่ง
องค์ฮ่องเต้ ทรงเดินไปยังห้องบรรทมของวังเตี๋ยอี๋แล้วกล่าวว่า “สนมที่รักของข้า เจ้ามิกลัวว่าหยูหลินจะตอบโต้งั้นหรือ ? ”
พระสนมซั่งยิ้มแย้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นหม่อมฉันจึงได้ทูลขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาท ให้ฮั่วหวยจิ่นออกคำสั่งลับปิดเมืองจินหลิง เช่นนั้นคาดว่าคงสมบูรณ์แบบ”
“หยูหลินส่งบุตรชายของเขาไปยังพระตำหนักฉือหนิงกงแล้ว”
“มิเป็นไรเพคะ เวิ่นหวินอยู่ที่นั่น องค์หญิงใหญ่ก็เช่นกัน”
“ข้า…ควรจะไปดูด้วยตนเองเสียหน่อย”
“หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทไม่ควรเดินทางไปคงจะดีกว่า เนื่องจากในตอนนี้…การพบเจอกันคงไม่ดีเท่าใดนัก”
……
ณ วังหลวง บรรยากาศในพระตำหนักฉือหนิงกงของไทเฮาค่อนข้างเคร่งขรึม
หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ที่ข้าง ๆ ไทเฮา โดยฮุ่ยชินอ๋องคุกเข่าอยู่หน้าไทเฮา
ร่างกายขององค์ชายสามเต็มไปด้วยเลือด เขานอนอยู่บนเตียงและส่งเสียงครางเบา ๆ
ข้างๆเขานั้นมีแพทย์หลวงอยู่สามคน ซู่หรานคุกเข่าอยู่ด้านหลังก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยอันใดออกมา
“เสด็จแม่ทรงกรุณาลูกให้อยู่ในเมืองหลวง ลูกนั้นก็มิกล้าออกไปไหน อีกทั้งหากเสด็จแม่มิได้รับสั่งให้เข้าพบ ลูกเองก็มิกล้าเข้าวังเนื่องจากจดจำคำสั่งสอนของเสด็จแม่ไว้ในใจ อีกทั้งป้องกันชาวประชากล่าวคำครหา จึงได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย คาดมิถึงว่าเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั้นกลับบังอาจทำร้ายบุตรชายของลูกเสียจนพิการ…บุตรชายข้า…ข้าขาดผู้สืบสกุลไปแล้ว”
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกนั้นหาได้มีเรื่องบาดหมางกับฟู่เสี่ยวกวนไม่ ก่อนหน้านี้ลูกเองก็เคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดงของเขา รับรู้ว่าเขานั้นมีความสามารถ คาดมิถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้จะมีจิตใจโหดเหี้ยมเพียงนี้ ! ลูก…ลูกมิอาจทนได้อีกต่อไป อีกทั้งเพื่อหน้าตาของราชวงศ์เอง ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ทำลายผู้สืบทอดตระกูลของเรา เพียงลำพังตัวลูกนั้นยังมิได้โกรธเคืองเขา แต่เขาได้ตบหน้าราชวงศ์ต่อหน้าหลาย ๆ คน สิ่งนี้ลูกมิอาจทนต่อไปได้พ่ะย่ะค่ะ ! ดังนั้นลูกจึงได้ส่งทหารจำนวน 400 คนไปจัดการเขา คาดมิถึงว่าเขาจะร่วมมือกับพวกจอมยุทธเหล่านั้น และฆ่าฟันทหารของลูกไปกว่าสามร้อย บนท้องถนนเต็มไปด้วยเลือดสาดกระเซ็น เสด็จแม่มิได้เห็นภาพนั้นด้วยตาของตนเอง ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ”
“ลูกขอทูลเสด็จแม่ทรงมอบความเป็นธรรมแก่หลานของท่านด้วย ขอให้เสด็จพี่ส่งทหารไปจับกุมผู้ร้ายนั่นมาเสีย ให้เขาเกรงกลัวในกฎหมาย อีกทั้งเป็นการแก้แค้นแก่บุตรชายข้าด้วย ! ”
“บุตรชายข้า !…”
หยูหลินร้องไห้ออกมาเสียงดัง หยูเวิ่นหวินโมโหเบิกตากว้าง นางจ้องไปยังเสด็จอาแล้วกล่าวว่า “เจ้าใส่ร้ายผู้อื่น ! ”
หยูเวิ่นหวินทำท่าจะลุกขึ้น องค์หญิงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นางดึงชายเสื้อนางไว้ จากนั้นกล่าวว่า “เวิ่นหวิน อย่าเสียมารยาทไป ความคิดจิตใจของเสด็จย่าแจ่มใสยิ่งกว่ากระจกเงา จะมิให้ความยุติธรรมกับฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างไร ? เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน นั่งรอดูเรื่องราวต่อไปเถิด”
เดิมทีไทเฮาทรงโกรธมาก ฟู่เสี่ยวกวนไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน ? บังอาจจัดการกับหลานของนางเสียจนพิการเช่นนี้
นางกำลังจะเรียกขันทีเหอให้ไปตามองค์ฮ่องเต้มา แต่เมื่อได้ยินองค์หญิงใหญ่และหยูเวิ่นหวินเอ่ยเช่นนั้น นางจึงได้เกิดความสงสัยขึ้น
ฮุ่ยชินอ๋องเป็นบุตรชายคนเล็กของนาง การที่เขายังอยู่ในเมืองหลวงก็เป็นพระประสงค์ของนางเอง หลายปีมานี้หยูหลินอยู่ในเมืองหลวงด้วยความสงบและเคารพกฎหมายตลอดมา แต่เรื่องของหลานชายผู้นี้ นางเองก็ได้ยินมาไม่น้อย
เพียงแต่นางไม่ได้ใส่ใจ อาจเป็นเพราะอายุยังน้อยจึงยังขาดสติในการกระทำเรื่องต่าง ๆ เมื่อเขาโตขึ้นแล้วคงจะคิดได้เอง
ส่วนเรื่องในวันนี้ หยูจิ่งฟ่านก่อปัญหาอันใดต่อฟู่เสี่ยวกวนเสียจนทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ตามมาหรือไม่ ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร หยูจิ่งฟ่านก็เป็นหลานชายของนาง ฟู่เสี่ยวกวนกล้าลงมือโหดเหี้ยมเพียงนี้ เกรงว่าจะไม่เห็นราชวงศ์อยู่ในสายตา !
ชายบ้านนอกผู้นี้บังอาจมากเกินไปแล้ว !
ไทเฮายิ่งคิดยิ่งโมโห ในสายตาของนางแล้วฟู่เสี่ยวกวนจะมีค่ามากไปกว่าหลานชายของตนได้อย่างไร ?
นางมองดูแล้วต่อให้หยูจิ่งฟ่านทำผิดอย่างใหญ่หลวง ฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่มีสิทธิ์กระทำเช่นนี้
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโมโห สูดหายใจเข้าลึก ๆ และกำลังจะเรียกคนเข้ามา กลับได้ยินองค์หญิงใหญ่กล่าวว่า “เสด็จแม่ จากที่ลูกดูแล้วองค์ชายสามสภาพร่างกายน่าเป็นห่วงยิ่ง พวกเราควรจะรีบเรียกหมอหลวงให้รักษาเขาก่อนดีหรือไม่ ? เนื่องจากเสด็จแม่ทรงทราบเรื่องราวนี้ก่อนแล้วมิใช่หรือเพคะ ? ”
อืม ถูกต้อง ชีวิตของหลานชายสำคัญกว่าสิ่งใด ๆ
“จงหามเขาลงไป ตั้งใจรักษาให้ดีอย่าให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย”
หมอหลวงก้มหัวลงคำนับ จากนั้นแบกหยูจิ่งฟ่านออกไปจากพระตำหนักฉือหนิงกง
องค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินลงไป กล่าวว่า “เสด็จพี่คุกเข่าอยู่เนิ่นนาน ประกอบกับความรู้สึกโศกเศร้า น้องลองครุ่นคิดดูแล้ว เหตุการณ์นั้นยังมีรายละเอียดอีกมากที่เสด็จพี่ละเลยมองข้าม น้องว่าเสด็จพี่ควรกลับไปพักผ่อนเสีย เมื่อกลับไปคิดทบทวนดีแล้วค่อยมาเรียกร้องความเป็นธรรมกับเสด็จแม่ เป็นเยี่ยงไร ? ”
“ไม่ ๆ ๆ บุตรชายข้าถูกทำร้ายจนเป็นเช่นนั้น แต่ผู้ร้ายกลับลอยหน้าลอยตา ข้านั้น…จะพักผ่อนให้สงบได้เยี่ยงไร ? ”
“อ้อ เรื่องนี้ข้าก็เข้าใจดี เพียงแต่…” องค์หญิงใหญ่หันหลังกลับไปยังไทเฮากล่าวว่า “เสด็จแม่เพคะ เหตุการณ์ในครั้งนี้จะฟังความข้างเดียวมิได้ แน่นอนว่าลูกเชื่อในคำพูดของเสด็จพี่ แต่การที่จะจับตัวฟู่เสี่ยวกวนมาลงโทษนั้นก็ควรมีพยานมายืนยันด้วย เพราะหากตัดสินผิดไป ชื่อเสียงของเสด็จแม่อาจเสียหายได้เพคะ ฟู่เสี่ยวกวนแม้จะเป็นเพียงข้าราชการระดับน้อย แต่ผลงานของเขามีผลกระทบต่อผู้คนมากมายทีเดียว หากคำกล่าวของเสด็จพี่เป็นจริง การจะปลิดชีพฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเรื่องถูกต้องไร้คำกล่าวหา แต่หากเสด็จพี่มีเรื่องปิดบังละก็…”
“เสด็จพี่ ท่านได้ปิดบังสิ่งใดไว้หรือไม่ ? บัดนี้เอ่ยกับเสด็จแม่ยังทัน มิเช่นนั้น…อาจจะพาเสด็จแม่ลงสู่คำครหาด้วย ! บรรดาปัญญาชนทั้งหลายจะกล่าวถึงเสด็จแม่เยี่ยงไร ? ประวัติศาสตร์จะจารึกถึงเสด็จแม่อย่างไร ?”
องค์หญิงใหญ่หยุดลงชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่าพวกเราจะต้องรักษาหน้าตาของราชวงศ์เอาไว้ แต่ชื่อเสียงของเสด็จแม่ก็สำคัญมากเช่นกันใช่หรือไม่ ? เสด็จพี่ !”
คำกล่าวขององค์หญิงเก้านั้นทำให้หยูหลินตัวสั่น ไทเฮาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ถูกต้องแล้ว ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนสมควรตาย แต่ก็ควรหาเหตุผลรัดตัวเขาไว้
มิเช่นนั้นหากฆ่าไปโดยไร้เหตุผล เกรงว่าจะเกิดผลเสียตามมาทีหลัง !
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาชนทั้งหลาย หากเรื่องโกหกนี้ถูกเผยแพร่ออกไป นางเองคงถูกตำหนิไม่น้อย ?
สำหรับผู้คนในสมัยนี้นั้น ชื่อเสียงสำคัญกว่าเงินทองเป็นร้อยเป็นพันเท่า
พวกเขาต้องรักษาชื่อเสียงของตนให้ดี และไทเฮาที่กำลังจะเข้าสู่เจ็ดสิบพรรษาก็ยิ่งต้องคำนึงถึงสิ่งนี้ เนื่องจากเรื่องราวของนางจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ หากคนรุ่นหลังวิพากษ์วิจารย์นางไปในทางไม่ดี นางคงจะทำใจไม่ได้
“เจ้าลุกขึ้นเถิด เรื่องนี้ทำตามที่น้องเจ้าแนะนำ วันพรุ่งนี้จงไปเรียกตัวฟู่เสี่ยวกวนมา หลังข้าสอบถามทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าจะให้ความยุติธรรมแก่เจ้าแน่นอน”
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ ! หลานชายของท่านสภาพร่างกายเป็นอย่างไรท่านก็เห็นด้วยตนเองแล้ว หากเสด็จแม่ไม่เชื่อลูก ลูกจะ…ลูกยอมพุ่งชนกำแพงตายเพื่อแสดงถึงความจริงใจของลูก”
เอาสิ ! แน่จริงก็ทำเลย หยูเวิ่นหวินโมโหมาก ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมองเขาเสียจนแดงก่ำ
เขากล้าใส่ความฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างไร !
เจ้ากล้าดียังไงจะทำลายเรื่องของข้าและฟู่เสี่ยวกวน !
เจ้าตายไม่ดีแน่ !
องค์หญิงใหญ่กลับสงบนิ่ง นางมองไปยังหยูหลินแล้วกล่าวว่า “เสด็จพี่ เสด็จแม่มิใช่ว่าไม่เชื่อท่าน แต่เสด็จแม่เพียงต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนตายไปอย่างไม่มีสิ่งใดแคลงใจ ในเมื่อเสด็จพี่ยืนยันว่าบริสุทธิ์จริง เหตุใดมิอาจรอถึงวันพรุ่งนี้ได้ ? ในเมื่อเสด็จแม่รักและเอ็นดูท่าน ท่านเองก็ควรคิดแทนเสด็จแม่ด้วย มิควรใช้ความเป็นความตายมาบีบบังคับกัน การกระทำเช่นนี้ยังเห็นเสด็จแม่อยู่ในสายตาอยู่อีกหรือไม่ ? ”