นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 205 วันที่เจ็ดของเดือนแรก
ตอนที่ 205 วันที่เจ็ดของเดือนแรก
“ถึงอย่างไรก็ค่อนข้างน่าเสียใจ”
ไหล่ของพระสนมซั่งมีนกพิราบส่งสารหนึ่งตัวเกาะอยู่ นางส่งกระดาษในมือให้กับฮ่องเต้ และกล่าวอีกว่า “ไร้หนทางจะตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดให้กับเขาได้ เยี่ยงนั้นก็ทำได้แค่ส่งเขาไปยังหลิงหนาน”
ฮ่องเต้รับกระดาษนั้นมาดู หลังจากนั้นจึงโยนมันลงไปในเตาไฟเพื่อเผาทำลายทิ้ง
“เฟ่ยอันจะตกหลุมพรางอย่างนั้นได้เยี่ยงไร”
พระสนมซั่งถอนหายใจ และเอ่ยถาม “ต่อจากนี้จะจัดการกับคุณชายจี้อย่างไรเพคะ ? ”
“ให้เขาไปกองทัพชายแดนตะวันออก และให้มีคนคอยจับตามองดูเขาตลอดคาดว่าคงจะดีขึ้น”
“จะกำจัดจริง ๆ หรือเพคะ ? ”
“เสบียงจากจวนฟู่ได้ส่งออกไปเรื่อย ๆ แล้ว ชุดแรกคาดว่าอย่างเร็วที่สุดก็จะส่งถึงเมืองหลานหลิงในต้นเดือนหน้า ตามการคาดการของเยี่ยนเป่ยซีและข้า สงครามครานี้จะระเบิดหลังจากที่เฟ่ยกั๋วกลับไปถึงกองทัพชายแดนตะวันออก แต่ท้ายที่สุดแล้วสนามรบครานี้ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง ตระกูลเฟ่ยต้องการให้เฟ่ยกั๋วกลับมาควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออกอีกครา ดังนั้นต้องให้เฟ่ยกั๋วกลับไปยังกองทัพชายแดนตะวันออก อีกทั้งเสบียงชุดแรกก็ใกล้จะถึงแล้ว”
นึกถึงตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาได้จัดส่งเสบียงทันทีหลังจากที่เขารับภาระนี้ไว้ เจ้าหนุ่มนั่น ข้าเป็นหนี้เขาเสียแล้ว
นี่คือผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู อมตะเหมือนฟ้า ข้าจะจดจำเขาไว้ให้ดี ในอนาคต…ข้าจะทำให้เขาไร้ขอบเขตเหมือนกับแว่นแคว้น !
“มีรายงานมาว่ายังขาดแคลนอาวุธและชุดเกราะอีกมาก”
“มิเป็นไร พังไปแล้วก็สามารถสร้างใหม่ได้…แต่ภายในเมืองหลวงนี้ ควรแก่เวลาจัดวางเสียใหม่แล้ว”
……
…..
คืนที่มืดมิดและลมหนาวในคืนวาน สุดท้ายหิมะก็ได้ก่อตัวและตกลงมาสู่พื้นธรณี
ท่ามกลางละอองที่มากมาย เมืองหลวงที่ใหญ่โตราวกับถูกม่านหมอกปกคลุม มองออกไปก็ไม่สามารถเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนนัก
ประตูจวนฮุ่ยชินอ๋องมิได้ถูกเปิดออกอีก ศีรษะของผู้คนกว่าสามร้อยคนถูกกองพะเนินเทินทึกอยู่ด้านนอกประตูมองดูแล้วคล้ายกับภูเขา
ถนนเส้นนี้มีชื่อเรียกที่ไพเราะอย่างยิ่ง มีนามว่าตรอกซานเยวี่ย สองข้างทางของตรอกนี้มีต้นหลิวที่เก่าแก่เรียงรายอยู่จำนวนมาก สีเขียวของต้นหลิวที่เก่าแก่ในยามนี้ได้จางหายไปตามธรรมชาติ ร่วงโรยเสียจนไร้ชีวิตชีวา เหลือทิ้งไว้เพียงกิ่งก้านสาขาเท่านั้น
แต่ในทันทีที่ถึงเดือนสาม ต้นหลิวเก่าแก่เหล่านี้ก็จะผลิใบใหม่ขึ้นมา และกลีบดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ก็จะเบ่งบานสร้างความสวยงามให้กับถนนทั้งสาย
ทันทีที่ฤดูใบไม้ผลิมาถึง ใบหลิวของตรอกนี้ก็จะปลิวไสว จึงได้มีสมญานามว่าแดดในฤดูใบไม้ผลิของหิมะเดือนสามแห่งเมืองหลวง
แต่เวลานี้มิใช่เดือนสาม ในวันนี้คือวันที่เจ็ดเดือนหนึ่ง แต่กลับมีหิมะตกลงมาเรื่อย ๆ จนทำให้ต้นหลิวกลายเป็นสีขาวโพลน และทำให้เลือดที่กลายเป็นสีดำบนถนนกลายเป็นสีขาวไปด้วย
ในยามที่ท้องฟ้าส่องสว่างขึ้นเล็กน้อย สุนัขสีดำหนึ่งตัวได้กลิ่นเลือดจึงวิ่งไปยังหน้าประตูของจวนฮุ่ยชินอ๋อง มันมองศีรษะของผู้คนที่ถูกกองไว้ดังเช่นภูเขา ราวกับตื่นกลัวขึ้นมา มันจึงเห่าอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นก็มีเสียงตะโกนอย่างสิ้นหวังดังมาจากในจวน จี้หยุนกุย ! เจ้าทำข้าเสียเรื่อง ข้าผู้นี้ จะมิมีทางปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด !
สุนัขสีดำตัวนั้นตื่นตระหนกจนวิ่งหนีไป ทิ้งรอยประทับของฝ่าเท้าไว้บนหิมะบาง ๆ ที่ปกคลุมถนน ดูงดงามอย่างยิ่ง
ดวงตาฮุ่ยชินอ๋องแดงก่ำ สองมือโอบกอดแจกันศิลาที่ตกทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษโยนกระแทกลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง “เพล้ง ! ” และแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ หญิงสาวที่โอบฉินอยู่นั้นต่างก็กระจายตัวออกไป ซื่อจื่อหยูเล่อและโอรสคนที่สองหยูฮวนที่ยืนอยู่ข้างตู้ก็แตกตื่นเช่นกัน ลอบคิดว่าของชิ้นนี้เป็นของที่เสด็จพ่อชื่นชอบมากที่สุด จากที่มองในตอนนี้เหตุการณ์ดูจะย่ำแย่เสียแล้ว
ฮุ่ยชินอ๋องนอนมิหลับไปทั้งคืน เขามิได้รับข่าวคราวอันใดทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงทราบว่าเรื่องนี้ได้ถูกจี้หยุนกุยวางอุบายเข้าแล้ว
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ตัวสงบลง แต่ในใจกลับครุ่นคิดว่าสุดท้ายจี้หยุนกุยก็คงจะหนีไปยังเขตหนานหลิง หากเพื่อให้เขากระตุ้นเฟ่ยอันโดยแท้จริง…ก็คงต้องประหารชีวิตฮ่องเต้เสีย !
“เตรียมรถ เตรียมรถ ! ”
ฮุ่ยชินอ๋องตะโกนพลางวิ่งออกไปจากห้องอักษรอย่างตื่นตระหนก จึงได้พบว่าท้องฟ้าได้สว่างแล้ว หิมะตกหนัก จนร่างกายเย็นเยียบ
เขาขึ้นรถม้า องครักษ์เปิดประตูจวนชินอ๋อง แต่รถม้ากลับมิทะยานไปข้างหน้า
เขาเลิกหน้าต่างรถออก ก็พบเห็นทหารของจวนผู้ว่าเขตจินหลิง จิงหยูเว่ยที่มีอาวุธพร้อมในยามนี้กำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ใจกลางของจิงหยูเว่ยยังมีเกี้ยวรถอีกหนึ่งคัน ทันใดนั้นคนที่อยู่ในเกี้ยวนั้นก็ได้เดินลงมา เขาคือหนิงหยู่ชุน
“ผู้ว่าเขตจินหลิงหนิงหยู่ชุนเข้าเฝ้าฮุ่ยชินอ๋อง ! ”
“เหอะ ! ข้ามีธุระเร่งด่วนต้องออกไปนอกเมือง เจ้ามาที่นี่มีธุระอันใด ? ”
“ทูลชินอ๋อง เมื่อคืนมีสตรีนางหนึ่งมาตีกลองร้องทุกข์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม แต่ข้าคิดว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเกรงว่าจะมิมีเวลาว่าง ดังนั้นจึงตัดสินพระทัยมารอรับเสด็จที่นี่ในวันนี้…ฝ่าบาท ประตูจวนชินอ๋องของพระองค์ เหตุใดจึงมีศีรษะของผู้คนมากมายถึงเพียงนี้กัน นี่คือคดีใหญ่ กระหม่อมจึงเล็งเห็นว่า เยี่ยงนั้นจึงขอเชิญพระองค์เสด็จไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง แน่นอน กระหม่อมย่อมต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ยังคงต้องให้พระองค์แสดงความบริสุทธิ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…เจ้าก็แค่ผู้ว่าเขตจินหลิงผู้ต่ำต้อย กล้าขวางทางข้าเยี่ยงนั้นรึ ? ข้ามิสนใจจวนผู้ว่าเขตเยี่ยงเจ้า ข้าจะออกเดินทาง ดูสิว่าเจ้าจะหยุดข้าได้เยี่ยงไร ! ”
หนิงหยู่ชุนส่ายหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยื่นมือไปรับเกล็ดหิมะ เขามองดูลายเกล็ดหิมะอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็บีบมัน
“กระหม่อมทราบดีว่าคงมิดีนักที่จะมาเชิญพระองค์ ดังนั้น…” หนิงหยู่ชุนหันหน้าไปทางเกี้ยวและกล่าวว่า “ขันทีเจี่ย หากท่านยังไม่ลงมา ฮุ่ยชินอ๋องก็จะหนีไปแล้วนะขอรับ ! ”
หนี ? ข้าจะหนีอะไรกัน ?
ฮุ่ยชินอ๋องสะดุ้งโหยง และพบว่าประตูเกี้ยวนั้นได้ถูกเปิดออก ขันทีเจี่ยผู้ถ่ายทอดราชโองการที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ได้เดินลงมา
สองมือของเขาสอดเข้าไปในแขนเสื้อ วิ่งเบา ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จนมาถึงด้านหน้ารถม้าของฮุ่ยชินอ๋อง และเอ่ยเสียงแผ่วว่า “พระประสงค์ของฝ่าบาทคือ…เกียรติยศของราชวงศ์ยังต้องให้พระองค์ดูแลรักษา ฝ่าบาทได้ฝากคำพูดมากับกระหม่อม ฝ่าบาทตรัสว่าฮุ่ยชินอ๋องย่อมตามผู้ว่าเขตหนิงไปยืนยันความบริสุทธิ์ที่จวนผู้ว่าเขต ฝ่าบาทคงคิดผิด คาดมิถึงว่าพระองค์จะหลบหนี กล่าวกันว่า ประเทศนี้ก็คือของฮ่องเต้ พระองค์จะหนีไปที่ไหนได้หรือพ่ะย่ะค่ะ ตามความคิดของกระหม่อม พระองค์ทรงเสด็จตามผู้ว่าเขตหนิงไปยังจวนผู้ว่าเขตเพื่อกระทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กเสีย จะมิงดงามยิ่งกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามิได้คิดหนี ! ”
“นั่น…กระหม่อมจะนำไปทูลกับฝ่าบาท ว่าพระองค์มิได้มีความคิดที่จะหนี เยี่ยงนั้นพระองค์จะตามไปที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้หรือไม่ มิฉะนั้นกระหม่อมก็มิอาจจัดการธุระนี้ได้ หากตรึงกำลังขึ้นมาจริง ๆ…เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าพระองค์คงยากที่จะถอยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮุ่ยชินอ๋องหลับตาและเงยหน้า ก่อนจะเงียบไปหลายอึดใจ “เอาเถอะ ข้าจะลองไปจวนผู้ว่าเขตดู”
หนิงหยู่ชุนพาฮุ่ยชินอ๋องออกเดินทาง ขันทีเจี่ยเหม่อมองเงาร่างที่ค่อย ๆ หายไปท่ามกลางหิมะ เขาส่ายหน้าและกลับขึ้นรถม้า ก็พบเห็นฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังยิ้มร่า
“คุณชายฟู่ หากฝ่าบาททราบเรื่องราชโองการเท็จนี้ ข้าคงโดนตัดศีรษะเป็นแน่ !”
“ท่านขันทีประกาศพระราชโองการอันใดหรือ มิมีนี่ขอรับ ท่านขันทีแค่แนะนำฮุ่ยชินอ๋องเพียงเท่านั้น แต่เดิมฮุ่ยชินอ๋องก็คิดจะหนีออกไปจากเมืองหลวงอยู่แล้ว แต่ด้วยการชักชวนของท่านขันทีที่กระตุ้นให้รอการพิจารณาคดีที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิง นี่คือผลงานที่ยิ่งใหญ่ต่างหากขอรับ”
“แต่ข้าย้ายออกจากมาจากฝ่าบาทแล้ว ! ”
“ใช่แล้ว ก็มิมีความผิดแต่อย่างใด ฝ่าบาทก็แค่คอยถือ… มิใช่ ก็แค่เพื่อใช้เพื่อสยบเหล่าคนร้ายเท่านั้น”
เหมือนจะมีเหตุผล ขันทีเจี่ยหาวออกมา “ไปเถอะ ข้ายังอยากกลับไปนอนฝันดี พรุ่งนี้ราชสำนักก็เปิดทำการแล้ว อีกทั้งยังมีการประชุมใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ท่านเองก็ต้องเข้าวังหลวงแต่เช้าด้วย”
“ขอบพระคุณท่านขันที เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำเงินห้าพันตำลึงยัดใส่มือขันทีเจี่ย “พวกเราต่างก็เป็นคนคุ้นเคย คงมิต้องพูดให้มากความ ปีใหม่นี้ยังมิได้ไปทักทายท่านด้วย นี่คือสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า ท่านขันทีโปรดรับไว้”
กล่าวจบเขาก็โดดลงจากเกี้ยวรถ และโบกมือให้กับขันทีเจี่ย ขันทีเจี่ยส่ายหน้ายิ้ม เกี้ยวรถยกขึ้นอย่างช้า ๆ และออกเดินทางไปยังวังหลวง
ซูซูสวมชุดกระโปรงขาวยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ไม่รู้เมื่อไหร่ที่หางม้าที่ผูกตรงท้ายทอยของนางคลายออกจนปล่อยผมยาวคลอเคลียกับไหล่
ผมยาวปลิวไสวท่ามกลางสายลม มองไปแล้ว…ฟู่เสี่ยวกวนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ โชคดีที่เป็นช่วงกลางวัน หากเป็นตอนกลางคืน คงจะน่ากลัวไม่น้อย
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? ” ซูซูเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มองดู”
“มองดูอะไร ? ”
“มองดูว่าจะมีคนมาหรือไม่”
ฟู่เสี่ยวกวนได้มาอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของจวนฮุ่ยชินอ๋องเป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว
ประตูใหญ่ได้ปิดไปตั้งแต่ที่ฮุ่ยชินอ๋องออกมาแล้ว ภายในนั้นมิมีเสียงอันใด ซูซูเองก็มิเข้าใจ ความจริงฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่เข้าใจ เขาคิดว่าที่ปรึกษาจี้หยุนกุยจะกลับมายังจวนฮุ่ยชินอ๋อง แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะหนีไปแล้ว
เมื่อวานซูโหรวได้ไปจวนฮุ่ยชินอ๋อง แต่กลับไม่พบจีหลินชุน
ดังนั้นเขาจึงใช้ป้ายหยกที่ฮ่องเต้มอบให้ ปรี่เข้าไปในวังหลวงตั้งแต่ที่ฟ้ายังไม่สว่าง เมื่อเจอขันทีเจี่ยจึงตามมายังที่นี่กับหนิงหยู่ชุน
เขาลองเสี่ยงโชคดูว่าจะเจอจี้หยุนกุยหรือไม่ เพราะเขาคิดว่าจวนฮุ่ยชินอ๋องใหญ่ยิ่ง หากต้องการซ่อนใครไว้ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย หากจีหลินชุนเป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้นคนที่รู้ว่านางซ่อนตัวอยู่ที่ใดก็คงจะมีเพียงน้อยนิด
ฮุ่ยชินอ๋องย่อมรู้ แต่อย่างไรก็ตาม เหตุเพราะสถานะของเขาเป็นถึงฮุ่ยชินอ๋อง หากเขาเป็นตายก็คงจะมิยอมพูด ฟู่เสี่ยวกวนหมดหนทางกับเขา
แต่หากเป็นนายทหารก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนมีหนทางมากมายที่จะทำให้เขาอ้าปาก
“ไปเถอะ”
“ไม่ดูแล้วรึ ?”
“มิมีอะไรน่าดูแล้ว”
“เยี่ยงนั้นพวกเราในตอนนี้จะไปที่ใดกัน ? ”
“ไปดูความครึกครื้นที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิง”
……
…..
เหตุเพราะราชสำนักยังไม่ได้เปิด และเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮุ่ยชินอ๋อง ดังนั้นผู้ไต่สวนคดีของเจียงหยูภายในจวนผู้ว่าเขตจินหลิงจึงเป็นเสนาบดีกรมราชทัณฑ์สีฉวินเหมย
เป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่ง !
ในวันนี้สีฉวินเหมยรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท มิใช่เพราะกลัวฮุ่ยชินอ๋อง แต่เพราะคำพูดของบิดาที่กลับมาจากทุ่งเลี้ยงสัตว์โม่หนานได้กล่าวกับเขาในเมื่อเช้า
“ข้าเลี้ยงม้ามาทั้งชีวิต เข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่งว่า สุนัขของเขาจะเห่าอย่างไร ก็อย่าละเลยเพื่อให้ม้าเดินไปในทางที่ถูก ! ”
นี่คือเหตุผลอันใดกัน ?
“เจ้าจงพิจารณาคดีนี้อย่างสุดชีวิต มิต้องไปสนว่าคนผู้นั้นจะเป็นฮุ่ยชินอ๋อง เท่านี้ก็พอแล้วมิใช่หรือ สุนัขเห่านั้นน่ารำคาญ เจ้าของบ้านจะไม่ตีม้า จะตีเพียงสุนัขเท่านั้น เชื่อพ่อ มิมีผิดแน่นอน”
เอาเถอะ !
สีฉวินเหมยสำรวมจิตใจ ใบหน้าตื่นตระหนก และกระแทกไม้ปลุกสติดัง ปึง “นำโจทย์เจียงหยูขึ้นชั้นศาล ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนและซูซูที่อยู่ด้านนอกหันมองซ้ายขวา ราวกับเขานึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวพึมพำ “ไม่ได้ ข้าก็ต้องฟ้องเรื่องนี้ด้วย”
กล่าวจบเขาก็หันหลังกลับไปยังห้องเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงข้าม จ่ายไปหนึ่งตำลึง และขอให้เจ้าหน้าที่ที่ด้านในเขียนคำร้องเรียนโดยละเอียด หลังจากที่เจ้าหน้าที่เขียนเสร็จก็เอาแต่มองหน้าฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนลูบใบหน้า และเอ่ยถาม “ท่านมองอะไรรึ ?”
“อ่า โอ้ เจ้าจักช่วยลงนามบนหนังสือเล่มนี้ให้ข้าได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับหนังสือมา เป็นหนังสือความฝันในหอแดงอีกครา “เยี่ยงนั้นท่านก็คืนหนึ่งตำลึงให้ข้า”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นส่งเงินหนึ่งตำลึงคืนให้กับฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าเจ็บปวด ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพู่กันขึ้นมาและเขียนนามของตัวเองลงไป เจ้าหน้าที่ผู้นั้นหยิบขึ้นมาดู และเหลือบตามองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ลอบคิดถึงตัวอักษรนี้…หรือว่าข้าจะเริ่มต้นวันนี้ด้วยการโดนหลอกเยี่ยงนั้นรึ
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจเขา และนำเรื่องร้องทุกข์วิ่งไปยังประตูจวนผู้ว่าเขต และตีกลองที่อยู่ด้านนอกเสียงดัง “ตึงตึงตึง…”