นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 213 การประชุมใหญ่ราชวงศ์ (II)
ตอนที่ 213 การประชุมใหญ่ราชวงศ์ (II)
เหล่าขุนนางกำลังยืนรออยู่เบื้องล่างและรอให้ฮ่องเต้ทรงตรัส แต่ฮ่องเต้ในยามนี้… ?
ฮ่องเต้หยูยิ่นในยามนี้กำลังทอดถอนหายใจบนบัลลังก์มังกร !
ข้าต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นขุนนางกูเฉิน แต่เขากลับตัดหนทางในการเป็นขุนนางกูเฉินไป !
ข้าต้องการให้ฮุ่ยชินอ๋องออกห่างจากเมืองหลวง เขาได้พลิกล้มฮุ่ยชินอ๋องอย่างสุดกำลัง ทั้งยังเหยียบย่ำอย่างโหดเหี้ยมอีกด้วย !
ขุนนางเยี่ยงนี้ในใต้หล้านี้จะหาได้จากที่ใดอีก ?
นี่คือคนที่สวรรค์ส่งมาเพื่อช่วยประคับประคองบ้านเมืองของข้า เพื่อลงโทษคนทรยศและขจัดขุนนางชั่วทั้งหลาย !
เขามีสติปัญญาเยี่ยงนี้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่ดูกลุ่มคนชั่วอย่างพวกเจ้า เหอะ ! รู้ที่จะต่อกรกับข้า รู้ที่จะหาหนทางเพื่อตนเอง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตระกูลของตนเอง !
กลุ่มคนชั่ว !
พวกเจ้า…ไม่เหมาะแม้แต่จะถือรองเท้าให้กับฟู่เสี่ยวกวนด้วยซ้ำ !
ยิ่งฮ่องเต้คิดมากเท่าใดก็ยิ่งมีโทสะ ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งเดือดดาล ร่องรอยความอ่อนโยนบนพระพักตร์ได้หายไป เปลี่ยนแปรเป็นดูดุดัน แต่เหล่าขุนนางเหล่านั้นต่างก็มองไม่ออก และคิดว่าฮ่องเต้คงจะกริ้วฟู่เสี่ยวกวนด้วยเรื่องของฮุ่ยชินอ๋อง
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นแค่เพียงฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้า เขามีคุณสมบัติมายืนอยู่ที่นี่ได้ที่ไหนกันเล่า ?
แต่การที่เขาได้มายืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้ คาดว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า
อย่างไรเสียฮุ่ยชินอ๋องก็เป็นถึงพระอนุชาของฮ่องเต้ โอรสที่สามของฮุ่ยชินอ๋องก็เป็นถึงพระราชนัดดาของฮ่องเต้เช่นกัน !
หนึ่งพู่กันมิสามารถเขียนอักษรหยูได้สองตัว ไม่เพียงหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนทำร้ายองค์ชายสามจนสิ้นฤทธิ์ เขายังทำให้ฮุ่ยชินอ๋องต้องอับอายอย่างรุนแรง นี่ถือว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงของฮุ่ยชินอ๋องโดยตั้งใจ และเป็นการทำลายเกียรติของราชวงศ์ไปด้วย ในฐานะพระเชษฐา ย่อมมีโทสะแทนผู้เป็นพระอนุชา
โชคดีที่ยามอยู่ด้านนอกนั้นมิได้ทำความใกล้ชิดกับคนผู้นี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว ต่อให้ครานี้คนผู้นี้จะมิตายแต่ก็คงถูกถลกหนังเป็นแน่ !
ต่อให้มีพระสนมซั่งคอยคุ้มครองก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเสียในใต้หล้าคำพูดของฮ่องเต้ก็ถือเป็นที่สุด ต่อให้พระสนมซั่งจะมีหนทางมากมาย แต่พระนางก็เป็นเพียงสตรี ทั้งยังเป็นสตรีของฮ่องเต้ ต่อให้สนิทชิดเชื้อเพียงใด ฮ่องเต้ก็ย่อมสำคัญกว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น
นอกจากเยี่ยนเป่ยซีและขุนนางระดับสูง ผู้อื่นที่พอจะรู้สาเหตุที่ฮ่องเต้กริ้วอย่างแท้จริงแล้ว พลเรือนและทหารส่วนใหญ่ในราชสำนักต่างก็คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องประสบกับหายนะเป็นแน่
ดังนั้นจึงมีคนหันไปมองเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวน ทั้งยังขยิบตาให้กับชือเฉาหยวน ได้ความหมายว่าเจ้ายังมิเข้าใจพระประสงค์ของฮ่องเต้หรือ มิใช่โอกาสนี้เพื่อล้างอายเรื่องเมื่อปีที่แล้วรึ ?
สีหน้าของชือเฉาหยวนเคร่งขรึม ดึงสายตากลับมาและก้มหน้านิ่ง ลอบคิดในใจว่าข้าคนนี้จะเชื่อคำยุยงของพวกเจ้ารึ พวกโง่ ข้ามิมีทางหลงกลพวกเจ้าเป็นแน่ !
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิเข้าใจ เขาหันมองไปรอบด้านด้วยสีหน้างุนงง อือ คนเหล่านั้นดูจะออกห่างไปจากเขาอีกเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองไปทางฮ่องเต้ เหมือนว่าฮ่องเต้เพิ่งจะทรงตระหนักขึ้นมาได้ว่านี่คือประชุมใหญ่ราชวงศ์ครั้งแรกของการเปิดราชสำนัก
“แค่ก ๆ ขุนนางทั้งหลาย…ราชสำนักได้เปิดแล้ว จงสำรวมตัว รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เป็นปีที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ที่ข้าสืบทอดมา ในหลายวันมานี้ข้าไตร่ตรองมาโดยตลอด ปีที่ 8 ที่ได้ผ่านไป ข้าเองก็ได้ทำผิดพลาดไปมากมาย ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะทำงานอย่างหนัก ข้าเองก็หวังว่าภายในปีใหม่นี้พวกเจ้าก็จะทำงานอย่างหนักเช่นกัน”
“ตั้งแต่ที่ต้าหยูก่อตั้งขึ้นมาจนถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลากว่าสองร้อยปีแล้ว ภายใต้การนำของฮ่องเต้ผู้ชาญฉลาดแห่งต้าหยู จะก่อให้เกิดพลังของต้าหยูและจะเกิดการพัฒนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนก็จะรุ่งเรืองขึ้นเช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางฮ่องเต้ด้วยความประหลาดใจอีกครา นี่มันคือคำนำบนนโยบายบรรเทาสาธารณภัยของตนมิใช่เยี่ยงนั้นรึ ? ฮ่องเต้ตรัสถึงมัน ณ ที่นี่มีความหมายเยี่ยงไรกัน ?
“แต่ข้าคิดว่า สิ่งเหล่านี้ยังมิพอ ข้าที่อยู่ในระหว่างวันพักผ่อน ก็ได้มีแผนการพัฒนาอนาคตของต้าหยู ก็คือตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ข้าต้องการผลักดันนโยบายยี่สิบคำ พวกเจ้าจงจดจำไว้ เบี้ยหวัดจากฮ่องเต้ก็คือการแบ่งเบาความทุกข์ของฮ่องเต้ หากมีผู้ใดเลี้ยงเสียข้าวสุก ข้า จะมิมีทางยอมอดกลั้น !”
“ตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เป็นต้นไป ข้าต้องการบรรลุผลในสิ่งที่ได้รับการสอนสั่งมา ทำงานมีรายได้ ป่วยต้องมีทางรักษา แก่ชราต้องมีการดูแล ที่พักต้องมีแหล่ง นี่คือนโยบายยี่สิบคำของข้า หากสามารถกระทำได้ จะเป็นการก่อตั้งยุคที่รุ่งเรือง นี่ก็เพื่อความสุขของลูกหลานแห่งต้าหยู และเพื่อความหวังของแว่นแคว้นต้าหยู ! ”
เห้อ ฮ่องเต้ช่างหน้าไม่อายเสียจริง !
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้างและหดศีรษะกลับไป สายตาจดจ้องที่พื้น คิดในใจว่า…นี่เป็นเพียงการพูดลอย ๆ โดยมิมีรายละเอียดเลยมิใช่หรือ จะบรรลุผลได้ที่ไหนกัน ?
หลังจากที่ฮ่องเต้ได้กล่าวนโยบายยี่สิบคำของเขาออกไป เยี่ยนเป่ยซีและต่งคังผิงก็เกิดความประหลาดใจเล็กน้อย แต่พวกเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ เลยมิได้แสดงสีหน้าออกไป
แต่เดิม ในตอนที่นโยบายที่มาอยู่ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ พวกเขาเองก็เคยได้อ่านในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ให้ความสนใจนโยบายฉบับนี้อย่างยิ่ง ในเวลานั้นยังได้เอ่ยถามอยู่ว่า “พวกเจ้าว่า กระทำในสิ่งที่ได้รับการสอนสั่งมา ทำงานมีรายได้ ป่วยต้องมีทางรักษา แก่ชราต้องมีการดูแล ที่พักต้องมีแหล่งจะสามารถบรรลุผลได้หรือไม่ ? ”
ยังคงจำประโยคที่ต่งคังผิงตอบกลับไปได้เลยว่า “เว้นเสียแต่พลังของต้าหยูจะแข็งแกร่งอย่างที่มิเคยมีมาก่อน”
เจ้ายี่สิบคำนี้ย่อมดีเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นอุดมคติมากเกินไป หากต้องการให้บรรลุผล ค่าใช้จ่ายย่อมมากเสียจนยากเกินจะคาดเดาได้ ดังนั้นในตอนที่อยู่ห้องทรงพระอักษรจึงได้ตอบอย่างขอไปที
แต่ในยามนี้ฮ่องเต้กลับยืนยันที่จะให้ยี่สิบคำนี้เป็นนโยบายแรกของการประชุมใหญ่ราชวงศ์ในปีนี้…ต่งคังผิงรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย เขาทราบดีว่าเงินคงคลังเหลืออยู่เท่าใด จะจัดการเรื่องนี้ให้ดีได้เยี่ยงไร ?
“ข้าทราบว่าเป็นการยากอย่างมากที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ แต่มันคือการลงมือของมนุษย์…” เขาลุกขึ้นยืน ราวกับตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย เขาที่อยู่บนแท่นมังกรก้าวมาข้างหน้า และกล่าวอีกว่า “ฮ่องเต้องค์แรกและอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนหวินชวนได้รับนามว่าเป็นผู้ก่อตั้งยุครุ่งเรืองของไท่เหอในประวัติศาสตร์ต้าหยู ขุนนางทั้งหลาย ในเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ แล้วเหตุใดข้าและพวกเจ้าจะมิสามารถทำได้กัน ? ”
“ดังนั้น เรื่องนี้ให้เสมียนกลางสำนักตรวจสอบเป็นผู้ร่างรายละเอียด โดยมีเยี่ยนเป่ยซีเป็นผู้ดูแล”
เยี่ยนเป่ยซีคิดถึงเงินคงคลังที่ใกล้จะหมด ทั้งยังต้องเตรียมการรบทางตะวันออก ฝ่าบาท กระหม่อมจะจัดการเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ?
แต่เขาก็มิกล้ากล่าวเยี่ยงนั้นออกไป เขาทำเพียงก้าวไปด้านหน้า และโน้มคำนับ “กระหม่อม เยี่ยนเป่ยซีน้อมรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ !”
“อือ ตอนนี้มากล่าวกันถึงเรื่องที่สอง”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจฟังในเรื่องที่ฮ่องเต้จะกล่าวต่อ เขากำลังคิดว่าต้องทำเยี่ยงไรจึงจะอยู่ในประเทศที่กำลังจะล่มสลายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจให้กระเตื้อง เพื่อบรรลุผลของอุดมคตินั้น
การเพิ่มภาษีนั้นมิมีทางใช้การได้ และภาษีในปัจจุบันของราชวงศ์หยูก็สาหัสสากรรจ์เป็นอย่างมาก หากเพิ่มภาษีขึ้นอีก เกรงว่าจะทำให้ราชวงศ์หยูเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นเป็นแน่
เมื่อลองคิดทบทวนดูดี ๆ แล้ว ก็คงทำได้เพียงเริ่มต้นจากการค้าขายเท่านั้น
แต่การค้าระหว่างสี่ประเทศในปัจจุบันกลับมิรุ่งเรือง และการติดต่อกับแคว้นเล็ก ๆ ที่อยู่นอกเหนือสี่ประเทศนี้ก็น้อยยิ่ง นี่คือการปิดประเทศ มิก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง
หากต้องการพัฒนาการค้า เยี่ยงนั้นก็ต้องส่งเสริมความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประชาชน มีเพียงหลังจากที่เศรษฐกิจของประชาชนรุ่งเรืองแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตสินค้าที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้
นี่จะทำให้เกี่ยวเนื่องไปถึงอีกปัญหาหนึ่ง และในยุคนี้ก็ยังคงถือการเกษตรไว้เป็นหลัก กำลังผลิตนั้นต่ำเป็นอย่างมาก นั่นคือข้อจำกัดของแรงงานจำนวนมาก ซึ่งเหมือนกับในซีซาน หากมิใช่เพราะผู้ประสบภัยนับหมื่นนั้น ซีซานก็มิมีทางพัฒนาได้เร็วเยี่ยงนี้
เยี่ยงนั้นก็แก้ไขกำลังการผลิตที่เป็นปัญหาแรกไปได้แล้ว
ฟู่อีต้ายเพิ่งจะงอกออกมา หากในปีนี้ฟู่เอ้อต้ายเป็นไปอย่างราบรื่น การจะเพิ่มผลผลิตของต้นข้าวนั้นก็ต้องรออย่างน้อยอีก 3 ปี เพราะการเพาะเมล็ดต้องได้รับการบ่มเพาะ และต่อให้บ่มเพาะสำเร็จแต่ก็ยังห่างไกลจากความเพียงพออยู่ดี
การผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ซีซานได้เริ่มขึ้นแล้ว สิ่งนี้สามารถเพิ่มผลผลิตบางส่วนได้ แต่หากต้องผลักดันให้ทั่วราชวงศ์หยูก็มิใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายดายนัก
ปัญหาแรกคือการรับงาน ปัญหาที่สองที่เป็นปัญหาหลักคือเงิน
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิมีแผนจะส่งอุปกรณ์เหล่านั้นออกไปอย่างไร้เหตุผล เยี่ยงนั้นชาวนาที่ยากจนก็มิมีทางซื้อได้เป็นแน่
นี่ก็เพื่อให้ชาวนาสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นมา เยี่ยงนั้นเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับความสามารถของเหล่าขุนนางท้องถิ่น หากพวกเขามีความคิดที่จะแก้ไขได้มากพอ ดึงดูดให้เกิดการลงทุน เหล่านักลงทุนก็ยินยอมที่จะลงทุนกับการสร้างโรงงาน
แต่ก็จะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางสถานะของพ่อค้าอีก หากมิสามารถรักษาผลประโยชน์ของพวกเขาได้ การดึงดูดการลงทุนก็คงจะว่างเปล่าไปอีกครา
คิดไปคิดมา เรื่องยุ่งยากเหล่านี้ก็อยู่ที่โครงสร้างของระบบอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นกำลังการสนับสนุนของราชสำนัก หรือจะเป็นความสามารถของขุนนางท้องถิ่น หรือความเชื่อใจของนักลงทุนและอื่น ๆ ต่างก็เชื่อมต่อกันจนมิสามารถแยกออกจากกันได้
ยากยิ่งนัก !
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ
นี่มิใช่เรื่องที่จะผ่านไปได้ในปีสองปีนี้ แต่ราชวงศ์หยูในตอนนี้ต้องการความมั่นคงที่สุด !
มั่นคง สงบเอาไว้ รักษาเสถียรภาพของสถานการณ์ในปัจจุบันนี้เอาไว้ให้จงได้เสียก่อน แล้วจึงจะมีวิธีช่วยสิ่งอื่นได้
ในวันนี้ฮ่องเต้ได้ทำให้เรื่องนี้สูงขึ้นมาถึงเพียงนี้ แต่กลับมอบปัญหาที่ยากเย็นให้แก่ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนและท่านพ่อตา ลองดูว่าพวกเขาจะมีวิธีการรับมือเยี่ยงไร
การทำงานร่วมกันของทางเขตเหยามีการเร่งมือขึ้น ความคิดของเยี่ยนซีเหวินยังมิได้เป็นอนุรักษนิยมนัก เรื่องนี้ควรส่งจดหมายไปให้เยี่ยนซีเหวิน ให้เริ่มการปฏิรูปที่เขตเหยา หลังจากที่มีประสบการณ์แล้ว รอคอยเวลาแล้วผลักดันทั้งประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
เมื่อวางเรื่องนี้ลง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินในสิ่งที่ฮ่องกำลังจะตรัส “การบูรณะแม่น้ำหวงเหอเป็นปัญหาที่ยาก บูรณะทุกปีก็เอ่อล้นมันทุกปี ฝ่ายควบคุมน้ำของกรมโยธาธิการไร้หนทางจะจัดการกับเรื่องนี้แล้วอย่างนั้นรึ ? ปี้ตง ปีที่แล้วข้าให้เจ้าคิดหาหนทาง เจ้าลองกล่าวมาให้ข้าฟังสิ”
ชายผู้หนึ่งเดินออกมา ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านหลังสุด จึงเห็นแต่เพียงผมสีดอกเลาและร่างกายที่งองุ้มเล็กน้อยเท่านั้น
“ปี้ตงทูลฝ่าบาท…กระหม่อมคิดว่าควรขุดให้แม่น้ำกว้างขึ้นเพื่อฤดูแล้ง เพียงแต่โครงการนี้ค่อนข้างใหญ่หลวงนัก ดังนั้นจึงต้องใช้กำลังคนหลายแสนคน แต่ทางกรมคลัง…” ปี้ตงหันคอมองไปทางเสนาบดีต่ง และกล่าวว่า “ความหมายของทางกรมคลังมีอยู่ว่า เงินนั้นขาดแคลนอย่างมาก ดังนั้น ฝ่าบาท กระหม่อมก็ลำบากอย่างมากเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
บรรยากาศในยามนี้หนักอึ้งทันพลัน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับคิ้วขมวด เพราะวิธีการของปี้ตงนั้นไม่ถูกต้อง
และเขามิได้โดดออกไปเพื่อแก้ไข แต่ยังคงเฝ้ามองต่อไป เพราะเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ยังมิสามารถจัดการได้ในตอนนี้
เป็นไปอย่างที่คิด ฝ่าบาทคิ้วขมวดและหันมองไปทางเสนาบดีต่ง ต่งคังผิงทำได้เพียงเดินออกมา โค้งคำนับและกล่าวอย่างนอบน้อม “ทูลถวายฝ่าบาท เมื่อสิ้นปีของปีที่แล้วกรมคลังได้วางแผนเรื่องราวที่มากมายของปีนี้ไว้จนหมดแล้ว เอกสารฉบับนั้นกระหม่อมได้ถวายให้ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้ว หากต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายการบูรณะแม่น้ำหวงเหอเข้าไปอีก…เสนาบดีปี้คำนวณมาว่าต้องใช้ถึง 600,000 ตำลึง ซึ่งนั่น…กระหม่อมมิสามารถออกให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เงิน !
ประเทศที่ใหญ่โตของข้า เหตุใดจึงขาดแคลนเงินกัน ?
พระตำหนักฉือหนิงกงของไทเฮาที่ต้องการปรับปรุงใหม่ก็เลื่อนออกมา 2 ปีแล้ว หรือแม้แต่แผนงานวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีที่ 70 ในวันที่สิบสี่ของเดือนนี้ พวกเขาวางไว้จะใช้ 100,000 ตำลึง ในตอนนี้ก็ลดลงจนเหลือเพียง 30,000 ตำลึงเท่านั้น
เงินเหล่านี้…ควรมาจากที่ใดกัน ?
หรือว่าต้องไล่หกตระกูลที่มีอำนาจเหล่านั้นออก ?
ทันใดนั้นหยูยิ่นก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมา แต่เขาเข้าใจว่ายังคงไม่สามารถทำได้ในตอนนี้
เขาเดินวนไปมาอยู่บนแท่นมังกร ทันใดนั้นก็หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน