นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 246 ต้มสุราอีกสักกา
ตอนที่ 246 ต้มสุราอีกสักกา
ณ ห้องทรงพระอักษรวังหลวง
ขันทีเจี่ยยังคงยืนโค้งคำนับอยู่ที่ด้านหน้าประตู
ฟู่เสี่ยวกวนลอบคิดในใจว่า ในโลกนี้คงมีเพียงที่นี่เท่านั้น ที่ผู้มีความสามารถระดับเซิ่งเจียยืนเป็นยามเฝ้าประตู
ฮ่องเต้ประทับอยู่ ณ ที่นั่งมังกร โต๊ะน้ำชาด้านข้างมีเยี่ยนเป่ยซีและเยี่ยนซือเต้านั่งอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไป เขามิได้เอ่ยเรื่องที่หยูเวิ่นเทียนก่อกบฏแม้แต่คำเดียว แต่กลับอธิบายถึงความเป็นมาที่องค์ชายใหญ่ต้องมารับเคราะห์กรรมเช่นนี้
เยี่ยนเป่ยซีฟังดูแล้วคิ้วที่เคยขมวดแน่นกลับคลายลง เยี่ยนซือเต้าคล้ายจะเอ่ยอันใดกับฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับถูกเยี่ยนเป่ยซีโบกมือเป็นสัญญาณให้หยุดเสียก่อน
“เรื่องนี้ทำให้เวิ่นเทียนต้องชอกช้ำไม่น้อย ข้าขอเอ่ยตามตรงกับพวกเจ้าว่า เรื่องเป็นไปเช่นนั้นจริง ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวน เจ้าคิดว่าเวิ่นเทียนจะเป็นแม่ทัพได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคารวะ “ทูลฝ่าบาท แท้จริงแล้วองค์ชายใหญ่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หยู อีกทั้งเคารพในตัวฝ่าบาทยิ่ง รวมไปถึงองค์ชายใหญ่ได้เรียนรู้ฝึกฝนการทหารมาอย่างหนักตั้งแต่ยังเยาว์ เขาเป็นผู้มีความสามารถ ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพตะวันออกนอกจากองค์ชายใหญ่แล้ว มิมีผู้ใดเหมาะสมเท่ากับเขาอีกแล้ว แต่ว่า…”
เขาหยุดลงชั่วครู่ ทำให้หัวใจของฮ่องเต้เต้นแรงขึ้นไปอีก…พระองค์เกรงว่าบุตรชายของตนจะได้รับความสะเทือนจิตใจเป็นเวลานานจึงไม่รับหน้าที่นี้ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อไปว่า “องค์ชายใหญ่มีความคิดเห็นว่าการเปลี่ยนตัวแม่ทัพนี้เดิมก็เป็นเรื่องที่มิถูกมิควร ประกอบกับตัวเขามิเข้าใจถึงกองกำลังทหารตะวันออกอย่างแน่ชัด ทหารของแคว้นอี๋ได้บุกเข้ามาแล้ว เขาไม่มีเวลามากพอที่จะทำความเข้าใจกับทหารภายใต้การปกครอง ดังนั้นองค์ชายใหญ่จึงร้องขอฝ่าบาททรงรับสั่งให้เฟ่ยอันรับหน้าที่เป็นรองแม่ทัพ ติดตามเขาไปร่วมทำสงครามด้วยพ่ะย่ะค่ะ !”
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ตกลง ! ขันทีเจี่ย รีบเรียกตัวหยูเวิ่นเทียนและเฟ่ยอันมาพบข้า ! ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
ขันทีเจี่ยโค้งรับจากนั้นเดินออกไป เมื่อเขาเดินมาถึงประตูได้ส่งสายตาแห่งความชื่นชมมายังฟู่เสี่ยวกวน
“เวิ่นเทียนฝากคำกล่าวใดมาให้ข้าหรือไม่ ? ”
“ทูลฝ่าบาท องค์ชายใหญ่ตรัสว่า…ชีวิตนี้เขาตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำงานในกองทัพทหาร การเดินทางไปครานี้…เขาจะมิกลับมายังเมืองหลวงอีก ! ”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจยิ่ง ส่วนเยี่ยนเป่ยซีได้ยินประโยคนี้ก็โล่งใจ เยี่ยนซือเต้าตั้งใจฟังทุกทำพูด เขาเองก็สงสัยเช่นกัน หรือเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นเพียงการจัดฉาก ?
หากเป็นเช่นนั้นจริง ฮ่องเต้ช่างเก่งกาจเสียจริง !
ทรงเตรียมแผนการได้อย่างแยบยลยิ่ง !
ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากห้องทรงพระอักษรวังหลวง เขาหยุดคิดเพียงครู่แล้วจึงตัดสินใจเดินไปทางด้านหลังของวัง
ฟู่เสี่ยวกวนพบเข้ากับขันทีเหนียนที่หน้าวังเตี๋ยอี้ จึงได้รู้ว่าเวิ่นหวินมิได้อยู่ด้านใน เขาจึงเตรียมตัวหันหลังกลับ แต่กลับถูกหยูเวิ่นเต้าเรียกเอาไว้ “เสด็จแม่ต้องการพบเจ้า”
แท้จริงฟู่เสี่ยวกวนก็อยากจะเข้าเฝ้าพระสนมซั่งด้วยเช่นกัน ด้วยเรื่องขององค์ชายใหญ่
อาจจะเป็นเพราะอากาศเริ่มอุ่นขึ้น พระสนมซั่งจึงไม่ได้ประทับในวัง แต่กลับอยู่ในสวนดอกไม้ของนาง
หยูเวิ่นเต้าพาฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปด้านใน พระสนมซั่งกำลังใช้จอบขุดดินตรงบริเวณที่เคยเป็นสวนเบญจมาศ
เมื่อมองเห็นฟู่เสี่ยวกวน นางจึงได้ยืดหลังตรงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ
“กระหม่อมมิได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนพระสนมเป็นเวลานาน โปรดอย่าได้ถือโทษกระหม่อม” ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคารวะ พระสนมซั่งยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ยังมีจอบอีกหนึ่งด้าม”
ฟู่เสี่ยวกวนมองตามมือไป แล้วเดินไปหยิบจอบขึ้นมา เขามิได้เอ่ยอันใด แต่กลับขุดดินอย่างชำนาญ
“วันนี้เวิ่นหวินออกไปข้างนอก นางมิได้ไปหาเจ้างั้นรึ ? ”
“อ่า ! ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้า เกรงว่าจะคลาดเคลื่อนกันเป็นแน่”
“เทศกาลฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว ในที่สุดเรื่องวุ่นวายในเมืองหลวงก็เริ่มคลี่คลายเสียที เรื่องที่เหลืออยู่ข้าจะจัดการเอง ต่อจากนี้เจ้าจงเตรียมตัวให้ดี ข้าได้คัดเลือกคนจากชางกวนเหวินซิ่วแล้ว พรุ่งนี้เจ้าจงไปดูที่สำนักศึกษาและเลือกคนที่ต้องการ ที่หงหลูซื่อก็ได้เตรียมการไว้พอประมาณแล้ว ผู้ที่ติดตามไปมีสวี่หวยซู่ชื่อหลางแห่งกรมพิธีการ ข้าบอกเจ้าไว้ล่วงหน้าว่า หลังจากเดินทางกลับมาคาดว่าคงจะได้เลื่อนขั้นเขาเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หยุดขุดดิน เขาฟังอย่างตั้งใจและมิได้ออกความคิดเห็นเรื่องการเลื่อนตำแหน่งของชื่อหลาง
“เวิ่นหวินเรียกร้องจะตามเจ้าไป ข้าจึงได้หาข้ออ้างว่าให้นางไปเยี่ยมเสด็จป้าหยูหยู เจ้าเองก็ควรตามไปเยี่ยมกับนางด้วย นางเป็นมเหสีของติ้งกั๋วโหว อยู่ภายใต้การดูแลของติ้งกั๋วโหว ดังนั้นเจ้าคงจะจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ในราชวงศ์อู่ได้ง่ายขึ้น”
“เรื่องอื่น ๆ ฝ่าบาทจะทรงกำชับแก่เจ้าเอง เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องราวของประเทศ ข้ามิอยากเอ่ยให้มากความ เมื่อเจ้าเดินทางไปถึงราชวงศ์อู่แล้ว จงทำตามที่ฝ่าบาทกำชับก็จะไม่เกิดเรื่องขัดข้องอันใด”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า จากนั้นเอ่ยถามเรื่องที่มิเกี่ยวข้องกับประโยคสนทนาเมื่อสักครู่กับพระสนมซั่งว่า “เหตุใดฝ่าบาททรงเชื่อใจองค์ชายใหญ่ถึงเพียงนี้ ? ”
“จัดการเรียบร้อยแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“พ่ะย่ะค่ะ คาดว่าเรียบร้อยแล้ว”
พระสนมซั่งเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ นางเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “ผู้ชายมักจะประทับใจในรักคราแรก”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลง รักคราแรกงั้นรึ ? เซวี๋ยปิงหลานเป็นรักแรกของฮ่องเต้รึ ?
“เขาเป็นบุตรชายของเซวี๋ยปิงหลาน อีกทั้งหลังไต่สวนขันทีเว่ย จึงรู้ว่าขันทีเว่ยเป็นคนของลัทธิจันทรา ดังนั้นฝ่าบาทจึงคิดว่าองค์ชายใหญ่ถูกขันทีเว่ยเป่าหู”
พระสนมซั่งถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “นับแต่ประสูติออกมาก็มิมีมารดา จึงทำให้ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าติดค้างเขา ดังนั้นต่อให้องค์ชายใหญ่จะก่อเรื่องราวใหญ่โตเพียงใด ฝ่าบาทก็จะหาเหตุผลให้เขาออกมาได้เสมอ การที่เขามีชีวิตที่ดีจึงจะทำให้ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ และไม่รู้สึกผิดต่อเซวี๋ยปิงหลาน”
ฟู่เสี่ยวกวนมิกล้าเอ่ยต่อ บรรยากาศเงียบไปเนิ่นนาน จนกระทั่งพระสนทซั่งยิ้มเยาะออกมาว่า “ใคร ๆ ต่างก็พากันคิดว่าข้าเป็นสตรีผู้มากความสามารถ แต่พวกเขาคิดผิด แม้แต่สตรีที่ตายจากไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ข้ายังมิอาจเอาชนะได้”
“ช่างเถิด หน้าดินที่สวนเบญจมาศนี้ปรับเรียบร้อยแล้ว ในปีหน้าค่อยทำการลงปลูกใหม่ คาดว่าคงจะงดงามไม่น้อย”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้น…พระนางคิดว่าหยูเวิ่นเทียนควรจะอยู่ ? หรือควรจะตาย ? ”
ครั้งนี้กลายเป็นพระสนมซั่งที่มิได้เอ่ยอันใดออกมา จนกระทั่งปรับหน้าดินแล้วเสร็จ นางจึงตอบอย่างจริงจังว่า “เขาเป็นบุตรชายของฝ่าบาท และเรื่องนี้ก็ทรงทำให้พระองค์หนักใจ นับแต่นี้ไป เจ้าจงลืมเรื่องนี้ไปเสีย ! ”
“จงจำไว้ ลืมมันเสียให้สิ้น ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง แต่เขาก็พยักหน้าตอบรับ
ให้ตายเถอะ ความลับนี้คาดว่าคนในราชวงศ์หยูที่รับรู้น้อยเสียจนนับนิ้วได้ การที่เขาได้แบกความลับนี้เอาไว้ไม่ต่างจากการกำระเบิดไว้ในมือ อีกทั้งสลักระเบิดยังอยู่ในมือของฮ่องเต้อีกด้วย
……
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับไปถึงจวนของเขาด้วยท่าทางทุกข์ใจ คาดมิถึงว่ามีใครบางคนรอเขาอยู่ที่จวน
เฟ่ยอัน !
รูปลักษณ์ภายนอกของอดีตนายพลแห่งกองทัพตะวันออกช่างไม่น่าดูเท่าใดนัก
ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารุงรังจนมองไปคล้ายกับหญ้ารกร้าง
สีหน้าของเขาดูไม่ดีเท่าไร แลเศร้าหมองมากกว่าตอนที่อยู่ในคุกจินหลิงเสียอีก
“เดิมทีข้าคิดว่าจะเชิญเจ้าไปร่วมดื่มสุรากับข้าที่จวน แต่คิดไปคิดมา เกรงว่าเจ้าคงมิไป ดังนั้นจึงทำได้เพียงมารอเจ้าที่นี่”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง เฟ่ยอันก็ยกสุราลังโตขึ้นมาไว้บนโต๊ะ “ข้านำสุรามาแล้ว กับแกล้มคงต้องรบกวนเจ้า”
“มิมีปัญหา !”
เฟ่ยอันต้มสุราอย่างจริงจัง สายตาของเขาเพ่งเล็งไปยังเครื่องแก้วสุรา ส่วนฟู่เสี่ยวกวนมองดูเขาแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเยี่ยงนี้รึ ? ”
“ตระกูลข้าพบเจอกับเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ จะให้ข้าหวีผมประแป้งงั้นรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “อืม ถูกของเจ้า จะไปเมื่อใด ? ”
“พรุ่งนี้เช้า เพราะเหตุนี้หากข้าไม่มา เกรงว่าเจ้าจะมิได้พบข้าอีกแล้ว”
สุราต้มได้ที่ ควันหอมกรุ่นโชยมา
เฟ่ยอันรินสุรามา 2 จอก แล้วส่งให้ฟู่เสี่ยวกวน 1 จอก “จอกนี้เพื่อการที่ข้าได้มองเจ้าใหม่ตอนอยู่ในคุก”
“ประกาศเหล่านั้นข้าเป็นคนทำเอง ดังนั้นเจ้ามิได้เข้าใจข้าผิด”
“ข้ารู้ว่าประกาศเหล่านั้นเจ้าเป็นผู้ทำออกมา ข้าหมายถึงว่าก่อนหน้านี้ข้าดูถูกเจ้ามากเกินไป เจ้าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ หากข้ามีชีวิตรอดกลับมา คาดว่าเจ้าคงจะได้รับเลือกเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว”
“ขอให้เป็นเยี่ยงนั้น ! ”
ทั้งสองคนดื่มสุราจนหมด จากนั้นเฟ่ยอันก็รินใหม่จนเต็ม
“คราก่อนเจ้าเอ่ยเรื่องของปู้เนี่ยนซือไท่ นางเองก็เป็นคนของลัทธิจันทรา ซึ่งลัทธิจันทรานั้นก่อตั้งขึ้นโดยองค์หญิงจิ้งอัน พวกเขาเคลื่อนไหวตลอดเวลาบริเวณซีฮวงหรือจวนซีหรง ที่แห่งนั้นมีภูมิประเทศซับซ้อน กล่าวกันว่าราชสำนักสร้างขึ้นมา แต่มิได้เข้าไปดูแล แต่ไหว้วานให้คนในท้องถิ่นจัดการ”
“บั้นปลายชีวิตขององค์หญิงจิ้งอันน่าจะอยู่ที่จวนซีหรง เนื่องจากนางเป็นราชินีแห่งชนเผ่าซีหรง นางมีอำนาจล้นหลามในซีฮวง ดังนั้นลัทธิจันทราจึงเป็นลัทธิที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งชนเผ่าซีหรง”
ฟู่เสี่ยวกวนดื่มสุราเข้าไป จากนั้นเอ่ยถามด้วยท่าทางประหลาดใจว่า “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ? ”
“เนื่องจากก่อนที่ข้าจะเดินทางไปยังกองทัพตะวันออก ข้าคือเชียนฮู่ของจิงหยูเว่ย ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้องค์ก่อนให้จับกุมตัวองค์หญิงจิ้งอัน ดังนั้นข้าจึงเดินทางไปยังซีหรง อีกทั้งยังได้พบเข้ากับนาง”
“มิได้จับกุมงั้นรึ ? ”
“หาได้ไม่ อีกทั้งเกือบจะตายด้วยน้ำมือของนาง”
“เก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวรึ ? ”
“อาจารย์ของนางคือหยางเสี่ยนจือ เทพบู๊ของราชวงศ์ก่อน เจ้าว่าเก่งหรือไม่ ? ”
เทพบู๊งั้นรึ น่ากลัวจริง ๆ
“เจ้าบอกสิ่งเหล่านี้แก่ข้าแล้วมันมีประโยชน์อันใด ? ”
“หอซี่หยู่อยู่ในมือของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะหาตัวปู้เนี่ยนซือไท่พบ จากการสอบสวนนาง จะทำให้สามารถตามหาเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ก่อนให้ครบ จากนั้นก็จงทำลายล้างเสียอย่าให้เหลือ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ เขาใช้ตะเกียบหยิบกับแกล้มขึ้นมากินแล้วนึกในใจว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเล่า !
แต่ท่าทีของเฟ่ยอันจริงจังยิ่ง เขาจ้องมองมายังฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องไปแล้ว มิสามารถตามหาปู้เนี่ยนซือไท่ด้วยตนเองได้ บัดนี้ผู้ที่รู้เรื่องของลัทธิจันทรามีอยู่ไม่มาก ข้าเกรงว่าพวกมันจะแทรกตัวเข้ามาในราชวังแล้ว เหมือนกับขันทีเว่ยนั่น หากพวกมันกระทำสิ่งใดขึ้นมา…เกรงว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสกลับไปเป็นพ่อค้าที่ดิน ณ หลินเจียงอีกแล้ว ! ”
ขนาดนั้นเชียวรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจและขมวดคิ้วขึ้น
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาและครอบครัว แน่นอนว่าเขาจะต้องนำมันมาใส่ใจ
“นอกเสียจากแม่ชีชรานั่นแล้ว เจ้ายังมีข้อมูลอื่นอีกหรือไม่ ? ”
“ในตอนนั้นองค์หญิงจิ้งอันถ่ายทอดลัทธิอยู่ที่ซีหรง นางได้สอนวรยุทธ์ที่พิเศษแก่คนในลัทธิจันทรา คล้ายกับการที่แม่ชีชรานั่นแกล้งตาย สิ่งนั้นเป็นวิชาลับของหยางเสี่ยนจือ เรียกว่าวิชากัศยปแสร้งตาย”
เพียงเท่านี้รึ… ?
ยากที่จะแยกแยะเสียจริง บรรดาคนในลัทธิพวกนั้นคงจะมิใช้ไม้ตายเดียวกันมิใช่รึ ?
“มีอย่างอื่นอีกหรือไม่ ? ”
“มิมี ! ”
เช่นนั้นคงต้องดื่มสุราอีกจอก
“ชาวบ้านทั้งแปดร้อยคนของหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ภูเขาฉีเหลียนนั่นเป็นมาเยี่ยงไร ? ”
“เป็นฝีมือของขันทีฉาง”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วเล็กน้อย เรื่องนั้นเป็นฝีมือของขันทีงั้นรึ ? แล้วเหตุใดฮ่องเต้ทรงให้เฟ่ยอันเป็นแพะรับบาป ?
“การที่เจ้าเดินทางไปตะวันออกครานี้ เจ้ามิได้คุ้นเคยกับพื้นที่เหมือนกับทางใต้ เจ้ามีวิธีจัดการเยี่ยงไร ? ”
เฟ่ยอันหัวเราะออกมา ยกจอกสุราขึ้นแล้วกล่าวว่า “นายทหารระดับผู้นำของกองทัพตะวันออกนั้นน้องชายข้าเป็นผู้จัดการ ข้ามีรายชื่อพวกเขาอยู่ในมือ สิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาตั้งใจทำสงคราม”
“แต่ว่าเจ้า…” เฟ่ยอันดื่มสุราเข้าไปแล้วเอ่ยว่า “การเดินทางไปราชวงศ์อู่ครานี้ เกรงว่าจะไม่ราบรื่นนัก”
“เพราะเหตุใด ? ”
“เนื่องจากเจ้าโดดเด่นเกินไป !”
“……”