นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 257 การเกษตร
ดึกดื่นมืดค่ำ ไฟในห้องของเยี่ยนเสี่ยวโหลว ณ จวนเยี่ยนยังคงสว่างโร่อยู่
ทะเบียนสมรสเล่มใหญ่ถูกเยี่ยนเสี่ยวโหลวจัดเก็บอย่างระมัดระวัง แต่นางกลับนั่งลงข้างโต๊ะอักษรและมองไปยังฟากฟ้าด้วยท่าทีเหม่อลอย
นึกย้อนกลับไปในอดีต นางได้รู้จักกับเขาจากความฝันในหอแดง ราวกับว่านางได้เห็นเขาในหนังสือเล่มนั้น
ย่อมเป็นต้นอวี๋ซู่ลู่ลมที่มีท่วงท่าสง่างามและโดดเด่น
หลังจากนั้นก็เกิดบทกวีทำนองเพลงสายน้ำขึ้นในค่ำคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่หลานถิงจี๋ คนผู้นั้นเริ่มมีตัวตนในใจของนางมากยิ่งขึ้น
คนแบบไหนกันที่จะเขียนหนังสือเช่นนั้น และยังเขียนบทกวีเยี่ยงนั้นออกมาได้อีก ?
หัวใจที่บังเกิดรักแรกของเด็กสาว ได้มอบไว้ให้กับเขาทั้งอย่างนั้น
หลังจากนั้นเขาก็ได้มายังเมืองหลวง ในที่สุดก็ได้พบกับเขา เป็นต้นอวี๋ซู่ที่ลู่ลมอย่างแท้จริง ในหัวของเขาเต็มไปด้วยกวีและตำราอย่างแท้จริง
ที่หอซื่อฟางเขาดื่มสุราและได้ประพันธ์ ‘คลื่นลมทราย ชูจอกเหล้าขอลมบูรพา’ ขึ้นมา นั่นเป็นคราแรกที่นางได้เห็นเขาประพันธ์ขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วด้วยตนเอง และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่นางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่านั่นคือคนที่นางอยากแต่งงานด้วย
หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ คุ้นชิน หลังจากนั้นเขาก็ดูห่างเหินกับนางไป
เยี่ยนเสี่ยวโหลวหัวเราะ ในใจนึกขอบคุณเหล่าคนร้ายในคืนเทศกาลโคมไฟเหล่านั้น หากมิใช่เข้าไปขวางทางดาบ น่ากลัวว่าเขาจะยังคงมิตอบรับนาง
กล่าวกันว่าคนร้ายเหล่านั้นยังคงถูกขังอยู่ในคุกของจวนผู้ว่าเขตจินหลิง พรุ่งนี้ควรจะนำอาหารไปเยี่ยมพวกเขาเสียหน่อย
และแล้วตอนนี้เรื่องราวก็ได้ยุติลง นางก็สบายใจ แต่กลับคิดถึงเขาที่ไปราชวงศ์อู่ขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด มันอดที่จะหดหู่ไม่ได้ รู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปเชื่องช้าเสียเหลือเกิน
นี่เป็นเพียงวันแรกที่เขาไปจากเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ !
เมืองกวนหยุนเมืองหลวงของราชวงศ์อู่ที่ห่างไกล ถึงแม้ค่ำคืนจะมืดมิด แต่ดวงดาราบนฟากฟ้ายังคงสว่างไสว
อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่บนลานชมทิวทัศน์เพียงลำพัง ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย
ดวงตาสุกสกาวมองไปยังดวงดาราบนท้องนภา คาดว่าเขาคงออกเดินทางมาแล้ว
ลอบคิดว่า พรุ่งนี้ข้าจะพากองกำลังทหารหญิงของข้าออกไปจากเมืองกวนหยุน และจะมุ่งหน้าไปทางเดินฉีซานเพื่อต้อนรับเขา !
เยียนเอ๋อร์กล่าวว่าเขาได้มีทะเบียนสมรสอยู่ 2 ฉบับแล้ว แต่นางมิได้ใส่ใจอันใด
อาศัยรูปโฉมที่งดงามและความสามารถของตน มีหรือจะสู้กับสตรีนามต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมิได้ ?
เมื่อครุ่นคิดถึงข้อความในจดหมายของเยียนเอ๋อร์อีกครา เหมือนกับว่าเขามิได้ให้ความสนใจกับความงาม แต่เป็นความรู้สึก ใต้หล้านี้มิมีแมวที่ไม่กินปลา อู๋หลิงเอ๋อร์ย่อมมิเชื่อ
เพียงนางยกยิ้ม ดวงดาวบนฝากฟ้าก็จางแสงลงทันพลัน
…..
…..
ท้ายที่สุดแล้วมีสตรีมากน้อยเพียงใดที่อิจฉาความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน นั่นก็มิสามารถนับได้
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนก็มิเคยครุ่นคิดถึงปัญหานี้มาก่อน
ขบวนรถออกเดินทางต่อไป มิได้เกิดอุบัติเหตุอันใดในระหว่างการเดินทาง
บางครั้งฟู่เสี่ยวกวนก็ไปขึ้นคันเดียวกับซูม่อเพื่อพูดคุย และเพื่อปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำของซูม่อ
บางครั้งก็ขึ้นไปคันเดียวกับซูเจวี๋ยเพื่อคุยธุระ แต่ส่วนมากเขาจะอยู่ในเกี้ยวของหยูเวิ่นหวิน
รถม้าคันนี้นั่งได้สบาย ทั้งยังมีสตรีที่งดงามถึง 2 คนให้เชยชม จิตใจย่อมมีความสุข ได้ขยับร่างกายเป็นครั้งคราว นั่นคือแสงฤดูใบไม้ผลิที่ไร้ที่สิ้นสุด
ยามบ่ายในสิบวันให้หลัง
ขบวนรถได้หยุดลงที่ท้องทุ่งที่หนึ่ง
เหล่าทหารเริ่มตั้งหม้อเพื่อทำอาหาร เหล่าบัณฑิตลงจากรถม้าและเริ่มขยับร่างกายที่แข็งเกร็ง
ฟู่เสี่ยวกวนกลับพาสตรีทั้งสองเดินไปทางท้องทุ่ง
ภายในทุ่งนามิมีหิมะ กลับเป็นผืนนาสีเหลืองอ่อน นี่คือข้าวสาลีฤดูหนาวที่เติบโตขึ้นมา
ชายชราผู้หนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น เมื่อได้ยินเสียงดังครึกครื้นขึ้นมาจากทางหลวง จึงหันหน้าไปมอง ก็พบกลับกลุ่มของฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
เขาประหลาดใจเล็กน้อย รีบลุกขึ้นยืน หรือว่าเจ้าของที่จะมาเก็บภาษีเช่าที่ดินของปีนี้ใหม่อีกกัน ?
ได้ยินมาว่าทางตะวันออกเริ่มทำศึกก่อสงครามกันแล้ว ทางแคว้นจึงต้องการขึ้นภาษี เฮ้อ…ข้าจะมีชีวิตผ่านวันไปได้เยี่ยงไรกัน !
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือให้กับชายชรา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ชายชราจึงทิ้งยาสูบในมือและใช้รองเท้าฟางเหยียบขยี้ คิดถึงชุดของคนเหล่านี้ที่หรูหรา ก็เกรงว่าจะเป็นขุนนางจากในเมืองหลวง ในตอนที่กำลังจะคุกเข่าคำนับ กลับถูกฟู่เสี่ยวกวนจับเอาไว้
“ท่านผู้เฒ่า อย่ากระทำต่อพวกข้าเช่นนี้เลย”
หยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานและคนอื่นที่คุ้นชินกับฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิใส่ใจเรื่องนี้ เป็นฉินเหวินเจ๋อ ชางกวนเหมี่ยวและคนอื่น ๆ ที่ประหลาดใจ
พวกเขาไม่เข้าใจว่าฟู่เสี่ยวกวนมาที่ทุ่งนานี้ทำไม หรือแค่ประหลาดใจ จึงได้เดินเข้ามา
แต่การที่ชาวนาเยี่ยงนี้คำนับพวกเขาด้วยการโขกศีรษะในจิตสำนึกของพวกเขาเป็นเรื่องที่ปกติอยู่แล้ว แต่ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกลับมอบบทเรียนที่แตกต่างออกไปให้กับพวกเขา
หนึ่งมือของฟู่เสี่ยวกวนประคองชายชราที่ดูตื่นตระหนก อีกหนึ่งมือก็ชี้ไปทางทุ่งนาผืนใหญ่ และเอ่ยถามเสียงแผ่ว “นี่คือพืชผลการเกษตรของตระกูลท่านหรือ ? ”
ชายชรารีบตอบกลับ “เรียน…คุณชาย นี่คือที่เพาะปลูกของครอบครัวข้า”
“ครอบครัวท่านมีกี่คน แล้วปลูกไปแล้วกี่ไร่กัน ? ”
อาจเพราะสีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนดูมีอัธยาศัยดี และน้ำเสียงก็อ่อนโยนยิ่ง ชายชราที่มองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความกระวนกระวาย จึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย และกล่าวว่า “ครอบครัวข้ามีกันอยู่ 6 คน มีที่ดิน 10 หมู่ และมีที่นาสามสิบกว่าหมู่”
“ตัดภาษีค่าเช่าไป สามารถเลี้ยงดูปากท้องได้พอหรือไม่ ? และยังพอมีเงินเหลือเก็บอยู่บ้างหรือไม่ ? ”
“นี่มัน…” ชายชราค่อนข้างสับสน ด้วยมิทราบตัวตนของคนกลุ่มนี้ เขาเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงส่ายหน้า
หมายความว่ามิพอ ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวดเล็กน้อย คิดไปถึงชาวบ้านในหมู่บ้านเสี้ยชุนที่ทำนาเพียงแค่นี้ก็ยังพอมีกิน หรือว่าภาษีเช่าที่ดินนี่จะสูงกัน
เขาไม่ได้ไปถามโดยละเอียด เพราะถามชายชราผู้นี้ไปก็คงไม่กล้าตอบ
เขาคุกเข่าลงกับพื้น ยื่นมือไปหมุนต้นกล้าข้าวสาลีอยู่ชั่วครู่ “ปีนี้เป็นปีที่อุดมสมบูรณ์ ท่านผู้เฒ่า การเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในปีนี้น่าจะดีขึ้นอีกเล็กน้อย”
ชายชราเองก็คุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าผุดรอยยิ้มขึ้นมา “คุณชายกล่าวได้มิผิด แต่ก็ยังคงต้องสังเกตอากาศเดือนสี่เดือนห้า หากสวรรค์เห็นใจในยามที่มันออกรวง ผลผลิตในปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าปีที่แล้วถึงสองเท่า”
“ข้ารู้สึกว่าต้นกล้าข้าวสาลีในทุ่งจะหนาแน่นไปสักเล็กน้อยหรือไม่ ? ”
“เป็นหลานชายของข้าที่โยนเมล็ดไว้ แน่นไปเสียเล็กน้อย เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่า รั้งรอไปอีกสิบกว่าวัน แล้วจะเกี่ยวออกสักเล็กน้อย”
ชายชราและชายหนุ่มทั้งสองที่คุกเข่าอยู่กับพื้นและพูดคุยกันถึงเรื่องพืชการเกษตร ทันใดนั้นฉินเหวินเจ๋อ ชางกวนเหมี่ยวและคนอื่นก็ต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนไปทันที
เขาคือชายหนุ่มผู้เขียนเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าวเล่มนั้น !
คาดมิถึงว่าเขาจะเข้าใจเรื่องการเกษตรอีกด้วย !
ฟังไปแล้วก็ดูดียิ่ง ท่าทางค่อนข้างจะซับซ้อน หรือว่าในยามที่ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินที่หลินเจียงก็เคยศึกษาเรื่องการปลูกพืชการเกษตรด้วยเยี่ยงนั้นรึ ?
เซวียผิงกุยรับหน้าที่คุ้มครองฟู่เสี่ยวกวน เขายืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน ในยามนี้สายตาของเขาจับจ้องไปที่หลังของฟู่เสี่ยวกวน ครุ่นคิดว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้ต่างจากคนอื่น มิแปลกใจที่แม่ทัพฮั่วจะให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนี้
“ดินนี้หยาบไปเสียเล็กน้อยในยามที่ไถพรวน เม็ดดินใหญ่เกินไป หากสามารถทำให้ละเอียดได้อีกเล็กน้อย ข้าวสาลีนี้ก็จะเติบโตได้ดียิ่งขึ้น”
“นอกจากนี้คือพื้นดินนี่ ท่านลองมองดูเถิด เห็นได้ชัดว่าต้นกล้าข้าวสาลีที่อยู่ริมขอบนาจะเติบโตได้แย่กว่าพวกที่อยู่ตรงกลาง หนึ่งเพราะพื้นดินขาดแคลนปุ๋ยไปเล็กน้อย สองกลับเป็นเพราะรากของวัชพืชบนพื้นดินกำลังขยายเข้ามา ที่นี่มิได้ปลูกต้นไม้ก็ถือว่าดีหน่อย หากปลูกต้นไม้ รากจะทะลุเข้าที่นาไปหลายเมตร พวกมันจะดูดซับสารอาหารของต้นกล้าข้าวสาลี รากของต้นกล้าข้าวสาลีนั้นค่อนข้างสั้น แย่งชิงสู้วัชพืชเหล่านั้นมิได้ ดังนั้น หากสามารถขุดร่องที่ตรงนี้ได้ มิต้องลึกมากจนเกินไป ให้สามารถพอขวางกั้นรากของวัชพืชเหล่านี้ได้ก็เป็นพอ เช่นนั้นต้นกล้าข้าวสาลีที่อยู่ตรงริมขอบนาก็จะเติบโตได้ดีเช่นกัน”
คำพูดของฟู่เสี่ยวกวนทำให้ชายชราประหลาดใจ เขาทราบเรื่องที่เกี่ยวกับการเกษตรเหล่านี้ เพียงแต่กำลังคนนั้นมีจำกัด แต่ไร้หนทางที่จะลงมือทำอย่างพิถีพิถันได้
แต่สำหรับบัณฑิตทั้งกลุ่มนี้แล้ว คำพูดเหล่านี้กลับไม่สละสลวยยิ่งกว่าคำสอนของสำนักศึกษา
ดังนั้นเหล่าบัณฑิตจึงมองหน้ากันไปมา ต่างก็มีท่าทีตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า หรือนี่คือพหูสูตที่ได้กล่าวไว้ในตำรากัน