นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 263 ช่วงเวลาเล็กน้อย
ตอนที่ 263 ช่วงเวลาเล็กน้อย
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบลง คิดว่าหลังจากที่เดินทางกลับมาจากราชวงศ์อู่แล้วตนก็จะต้องไปยังชวีอี้และผิงหลิงต่อ เมื่อถึงเวลานั้น คงต้องบอกไป๋ยู่เหลียนให้เคลื่อนทหารกองกำลังพิเศษนับสองพันนายไปยังผิงหลิงอี้
นั่นคือการทดสอบคราแรกของกองทัพที่ยอดเยี่ยม สองพันจากห้าหมื่นนาย นี่ราวกับเป็นการพูดไร้สาระ แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนทราบมา เขาเชื่อว่าเพียงกองกำลังนั้นสามารถสำเร็จการฝึกฝนที่เคร่งเครียดได้ทั้งหมด การทำศึกบนภูเขา พวกเขาก็ย่อมทำได้อย่างแน่นอน
หากพวกเขาไม่ชนะ ตนเองก็มิมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสองที่นั่น และยิ่งมิต้องเอ่ยถึงการสร้างโรงงานเพื่อส่งเสริมการค้าเลย
เยี่ยงนั้นก็คงต้องตายตกกันไป !
มองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนที่เคร่งเครียด เผิงยวี๋เยี่ยนก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ห่วงใยบ้านเมืองและผู้คน มิแม้แต่จะคิดเลยว่าเขาคิดถึงแต่เพียงแผนการเอาตัวรอด ณ ที่นั้นในอนาคตของตนเอง
“เจ้ามิต้องกังวลจนเกินไป กลับกัน ทางจินหลิง…” เผิงยวี๋เยี่ยนเหลือบมองหยูชุนชิว หยูชุนชิวพยักหน้าน้อย ๆ “ถึงแม้ตระกูลชือและตระกูลเฟ่ยในจินหลิงจะล่มไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากที่หวังจะเอาชีวิตของเจ้า เจ้าจงอย่าได้ประมาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ประหลาดใจอันใด มุมปากยกขึ้น และกล่าวว่า “ความจริงแล้วข้าเกลียดคนจำพวกที่เอามีดแทงข้างหลังยิ่ง กล่าวไปพวกท่านคงมิเชื่อ ข้ายอมไปผิงหลิงเพื่อปราบกองโจร แต่มิขอยอมอยู่เมืองหลวงเพื่อเฝ้าระวังเรื่องวุ่นวายจากเหล่าคนชั่วนั่น”
เสียงของเขาเงียบลงไป และเอ่ยถามว่า “เฟ่ยอัน แท้จริงแล้วเป็นคนเยี่ยงไรกัน ? ”
หยูชุนชิวเงียบไปหลายอึดใจ “เขาเป็นคนที่โดดเด่น !”
มองสายตาที่ตกตะลึงของฟู่เสี่ยวกวน หยูชุนชิวก็กล่าวอีกว่า “เขากุมอำนาจกองทัพชายแดนใต้มาได้ยี่สิบกว่าปี ถึงแม้ที่นั่นจะมิได้มีสงครามใหญ่อันใด แต่เขากลับมิละเลยการฝึกฝน ในอดีตข้าเคยได้ไปดูกองกำลังชายแดนใหญ่ทั้งสี่มาแล้ว หากให้กล่าวถึงกำลังรบ กองทัพชายแดนเหนือแข็งแกร่งที่สุด หลังจากนั้นข้าคิดว่าคือกองทัพชายแดนใต้ ส่วนกองทัพชายแดนตะวันตกที่อยู่ภายใต้อำนาจของเซวี๋ยติ้งชานมา 8 ปี กล่าวได้เพียงว่ามิมีถดถอย แต่ที่สุดจะทนที่สุดคือกองทัพชายแดนตะวันออก มิใช่ว่าข้าว่าร้ายเยี่ยนเป่ยซีลับหลัง เยี่ยนฮ่าวชูมิใช่ผู้ที่สามารถปกครองทัพได้ ความจริงคือผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เยี่ยนฮ่าวชูก็ยังมิสามารถเข้าใจกองทัพได้อย่างถ่องแท้ อำนาจที่มากล้นมันตกอยู่ในมือเจียเกาหยวนที่เป็นเจียนจวินของเขาต่างหาก”
“โชคดีที่ฝ่าบาทมองทะลุปรุโปร่ง โยกย้ายให้องค์ชายใหญ่ไปยังกองทัพชายแดนตะวันออก ครานี้หากสามารถรบชนะแคว้นอี๋ได้ กองทัพชายแดนตะวันออกก็คงจะได้สมบูรณ์และเกิดการปรับปรุงใหม่เสียที”
“การรบของตะวันออกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“องค์ชายใหญ่เพิ่งรับหน้าที่ได้เพียงไม่กี่วัน ยังมิมีรายงานส่งมา รายงานในอดีตคือกองกำลังแนวหน้าภูเขาซังยวี่ถูกตีพ่าย กองกำลังหลักของกองทัพชายแดนตะวันออกร่นถอยไปยังกวนซานจี้ จากหลักฐานในที่นี้… 300 ลี้ให้หลังของกวนซานจี้คือหลานหลิงเมืองหลวงของเขตตะวันออก”
“ท่านแม่ทัพใหญ่มีแผนที่หรือไม่ ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนได้ยินเยี่ยงนั้น ก็ได้เดินเข้าไปที่ห้องอักษรและหยิบแผนที่ขึ้นมาปูบนโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนมองอย่างพินิจพิจารณา
นิ้วชี้ไปบนกวนซานจี้ ที่นี่คือภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา อยู่ห่างจากที่ราบสีหม่าไปสองร้อยลี้ กล่าวได้ว่ากองทัพของแคว้นอี๋ได้รุกเข้ามาสองร้อยกว่าลี้แล้ว
แต่รายงานที่ฟู่เสี่ยวกวนทราบมาจากเมืองหลวงคือสาส์นรายงานจากเยี่ยนฮ่าวชูในวันที่ยี่สิบสี่เดือนหนึ่ง ในยามนั้นกองทัพชายแดนตะวันออกได้ถอยไปยังแนวหน้าภูเขาซังยวี่ ภูเขาซังยวี่ห่างจากกวนซานจี้ 120 ลี้ เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า ท้ายที่สุดแล้วสงครามเป็นเยี่ยงไรแล้วกันแน่ ?
“ยังคงตามจับกวนซานจี้มิได้…”
นิ้วชี้ของฟู่เสี่ยวกวนขยับอีกครา วางลงบนเนินสิบลี้ เคาะลงไป และกล่าวอีกว่า “หากข้าเป็นองค์ชายใหญ่ ข้าจะรวบรวมกองทัพไว้ที่นี่ วางกองกำลังหลักไว้ที่เนินสิบลี้ ให้ทหารม้าติดอาวุธเบาอ้อมฮวาซีและหลินเจียไปขนาบสองข้าง เนินสิบลี้เหมาะสำหรับให้ทหารม้าติดอาวุธหนักเข้าบุก มีเพียงตอนที่ทหารม้าติดอาวุธหนักเจาะฝ่ากองกำลังหลักของทัพอี๋ไปได้เท่านั้น ทหารม้าที่ติดอาวุธเบาขนาบข้างจึงจะมีโอกาสแบ่งจำนวนและล้อมปราบได้ และต้องซ่อนพลธนูเอาไว้ที่บนยอดเขากวนซานจี้ เพื่อทำการสกัดกั้นกองสนับสนุนของทัพอี๋ และกลืนกินกองกำลังของศัตรูให้หมดในที่นี้”
ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนจดจ่ออย่างมาก ราวกับเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่คอยบัญชาการ ดวงตาของหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานจ้องมองเขาเป็นประกาย แต่หยูชุนชิวและภรรยากลับมองเขาด้วยจิตใจที่ตื่นตระหนกยิ่งขึ้น เพราะนี่ก็เป็นกลวิธีที่พวกเขาสองสามีภรรยาใช้เวลาวิเคราะห์อยู่หลายวัน
“ทำที่ตรงนี้ให้เป็นปากถุง…” มือของฟู่เสี่ยวกวนวนไประหว่างกวนซานจี้และเนินเขาสิบลี้ “มีองค์ชายใหญ่อยู่แนวหน้า คงสามารถฟื้นคืนขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารได้ กรมคลังก็ได้ระดมอาวุธและเกราะของกองทัพชายแดนตะวันออกไปให้ส่วนหนึ่งแล้ว คิดไปแล้วคงยังมิพอ หากมีปืนใหญ่อีก 100 กระบอกก็คงจะดี…”
“ข้าจะสามารถระเบิดพวกมันให้เป็นจุณ ! ”
“ดังนั้น การรบครานี้ก็จะถือว่าชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะที่น่าสลด แต่ต่อให้เป็นชัยชนะที่น่าสลด ในยามนี้องค์ชายใหญ่ก็ควรบัญชาการทหารตรงไปยังกวนซานจี้ สิ่งที่เรียกว่าสงคราม เมื่อถาโถมเข้าไปในรวดเดียว ต่อจากนั้นก็จะอ่อนลง ในท้ายที่สุด… หากมิสามารถทะลวงไปถึงที่ราบสีหม่าได้ในคราเดียว ก็จะกลายเป็นปล่อยโอกาสให้แคว้นอี๋ได้หายใจหายคอ…เยี่ยงนั้นก็จะลำบากยิ่ง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเกาหัวไปมา รู้สึกปวดหัว
เขาลุกขึ้นยืนและเงยหน้า จึงได้เห็นสายตาที่ประหลาดใจของทุกคน เขาลูบจมูกไปมาและยิ้มเหยเก “พูดเรื่องการทหารบนกระดาษ เพียงเก่งแต่ปาก กลายเป็นสอนจระเข้ว่ายน้ำไปเสียแล้ว อย่าได้หัวเราะเยาะข้าเลย”
มิมีผู้ใดหัวเราะ หยูชุนชิวและภรรยาต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างมาก ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าเคยเป็นทหารมาก่อนรึ ? ”
สองมือของฟู่เสี่ยวกวนแบออก “ข้าเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินหลินเจียงเท่านั้น”
ข้ามิเคยพบเจอคุณชายเศรษฐีที่ดินเยี่ยงนี้มาก่อน หยูชุนชิววิจารณ์หนึ่งประโยค และกล่าวว่า “หากเจ้ามิได้อยู่ต่อหน้าข้า หากข้าเพียงฟังคำพูดเหล่านี้ ข้าย่อมคิดว่านี่คือคำพูดจากทหารสักค่าย ความคิดเห็นของข้าและเจ้าต่างกันเล็กน้อย ข้าคิดว่าหากเอาชนะได้ที่เนินสิบลี้ ก็ควรจะประจำการอยู่กับที่ มิใช่การจู่โจมเข้าไป ข้าคิดว่ามันคือชัยชนะที่น่าสลด อีกทั้งกองพลที่ตามหลังมามิมีกำลังที่มากพอที่จะรุกเข้าไป”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพใหญ่ โดยอำนาจของแคว้นในปัจจุบัน มิสามารถรับมือกับสงครามที่ยืดเยื้อได้ หากประจำการที่เนินสิบลี้ ศัตรูจะคิดไปว่าไร้กำลังจะรบต่อแล้ว หากรวมตัวกันโจมตีเข้ามาอีก เกรงว่าองค์ชายใหญ่จะทำได้เพียงร่นไปยังเมืองหลานถิง แต่หากบุกเข้าไป รีบไล่คนแคว้นอี๋ออกไปจากที่ราบสีหม่า เยี่ยงนั้นศัตรูก็จะยังคิดว่ากองกำลังของราชวงศ์หยูยังแข็งแกร่ง พวกมันจะลังเลและไม่เดินมาข้างหน้าต่อ จนถึงขนาดยอมถอยเพื่อเจรจาสงบศึก”
หยูชุนชิวจึงตระหนักได้ รู้สึกได้ว่าประสบการณ์ของตนนั้นยังเล็กน้อยเกินไป จึงยิ่งรู้สึกว่าชายหนุ่มฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มีพรสวรรค์ทางด้านการทหารอย่างแท้จริง
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ความสงสัยของทั้งสองยังคงมิหายไป แต่พวกเขาก็มิอาจจะอยู่ได้นาน
ดังนั้นเผิงยวี๋เยี่ยนจึงกล่าวคำขอของนางออกไป
“ชื่อเสียงของคุณชายฟู่ขจรไกล มิทราบว่าจะประพันธ์บทกวีเพื่อพวกข้าสักบทได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด พยักหน้ารับคำ เผิงยวี๋เยี่ยนเดินไปหยิบอุปกรณ์เขียนในห้องอักษรมาด้วยความชอบใจ ฟู่เสี่ยวกวนส่งพู่กันให้หยูเวิ่นหวิน
“แม่ทัพใหญ่และท่านฮูหยินต่างก็เป็นคนในกองทัพ ข้าจึงจะประพันธ์ ‘ช่วงเวลาเล็กน้อย ส่งแม่ทัพใหญ่หยู’ บทนี้ให้แก่พวกท่าน”
“เมามายจุดตะเกียงพินิจกระบี่ ตื่นจากฝันด้วยเสียงแตรรวมกองทัพ”
เพียงประโยคเริ่มต้น กระแสพลังที่ยิ่งใหญ่ทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนก
หนังตาของหยูชุนชิวกระตุก ภายในใจของเผิงยวี๋เยี่ยนบีบคั้น ยิ่งได้ฟังฟู่เสี่ยวกวนขับขานด้วยความฮึกเหิมเข้าไปอีก
“แปดร้อยลี้วางธงทัพปักเนื้อย่าง
บรรเลงดนตรีสะท้อนบทเพลงไปไกลยังชายแดน
เหล่าทหารบนสนามรบฤดูใบไม้ผลิ
ม้าศึกทะยานไปว่องไว คันธนูราวกับสายฟ้าฟาด
เพื่อสำเร็จการแย่งชิงที่ราบของราชา
ชนะยามเป็นสร้างชื่อเสียงยามตาย
แต่น่าเสียดายเพราะชราวัย”
…..
บทกวีนุ่มนวลชวนคล้อยตาม บุรุษนับพันที่กล้าหาญ
ฝนฤดูใบไม้ผลิด้านนอกประตูยังคงตกอย่างไรที่สิ้นสุด !