นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 282 ข้าอยากบินให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ตอนที่ 282 ข้าอยากบินให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ข้าอยากเป็นอิสระดั่งสายลม… !
นี่คือสิงที่ฟู่เสี่ยวกวนนึกคิดจริง ๆ ณ ขณะนั้น
ในใจของเขาพลันรู้สึกตื่นเต้น ประหม่าและปรารถนาอย่างแรงกล้า !
หลังจากนั้นเขาก็เหินเวหาขึ้นไป สองเท้าได้ลอยขึ้นจากพื้นดินราวกับมีพลังบางอย่างที่มิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่ากำลังช่วยพยุงเขาขึ้นไป เขาบินขึ้นไปท่ามกลางท้องนภา ข้างบนนั้นสามารถมองเห็นได้กว้างไกลยิ่งนัก
เขากางวงแขนของตนขึ้นมาอีกคราและจินตนาการดั่งว่าเป็นปีกของวิหคตัวน้อย ๆ
เขาโบกมือทั้งสองข้างลอยตากฝนอยู่บนนภานั้นแล้วก็ร้องเพลงสุดฮิตบนโลกที่เขาจากมาเสียงดังสนั่น ฉันอยากบินให้สูงยิ่งขึ้นไป ให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป…
อู่หลิงผู้ที่ยืนมองอยู่ด้านล่างนั้นก็มองเขาด้วยแววตาตื่นเต้นและปากของนางก็อ้ากว้างด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
“ตุบ ! ” มีเสียงเหมือนบางอย่างตกลงมา
เขาบินได้ราวสิบหลาเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นก็ตกลงมาบนพื้นดิน !
มิหนำซ้ำร่างยังกระแทกลงพื้นอย่างจังอีกด้วย !
ร่างกายเขาของนอนแผ่หลา แขนและขากางออกไปคนละทิศคนละทาง
นี่มัน…
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก เขาลุกขึ้นมาจากพื้นดิน ตัวของเขานั้นมีโคลนแปดเปื้อนไปทั้งตัว ใบหน้าของเขาก็มีโคลนสีดำคิดอยู่เช่นเดียวกัน เขาเดินไปยังแอ่งน้ำที่อยู่ห่างออกไปอย่างเงียบ ๆ
ซูเจวี๋ย ซูโหรวและซูซูต่างก็มองแผ่นหลังที่เดินจากไปนั้นด้วยความตกตะลึง โดยมีฝนแห่งฤดูใบไม้ผลินี้เป็นเบื้องหลัง แผ่นหลังนั้นได้เดินจากไปอย่างโดดเดี่ยวและดูเดียวดายยิ่งนัก
ซูซูมองซูเจวี๋ยอย่างสับสน “ศิษย์พี่…นี่มันมิควรเป็นเช่นนี้”
ซูเจวี๋ยจัดทรงหมวกตนเองอย่างสับสนเช่นกัน “ศิษย์พี่เองก็คิดว่ามิควรเป็นเช่นนี้ เขาเองนั้นคุ้นเคยกับคัมภีร์บันไดเมฆาแล้ว อาจเป็นเพราะว่ายังใช้กำลังภายในได้มิเชี่ยวชาญมากนัก
ซูซูตรึกตรองไปมาแล้วเห็นว่าสิ่งที่ศิษย์พี่เอ่ยนั้นมีความเป็นไปได้ เพราะว่าคนผู้นี้เพิ่งจะมีกำลังภายในยังคงไม่ชำนาญที่จะควบคุมมันเท่าใดนัก หากล้มอีกซักสองสามคราก็คงเก่งกล้ายิ่งขึ้น
ทว่าซูโหรวกลับเอ่ยด้วยวาจาหนักแน่นว่า “มิใช่อย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก”
ซูซูเงยหน้าขึ้นมา “มิใช่เยี่ยงไร ? ”
“ เขาท่องคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก หากพินิจด้วยเหตุและผล เมื่อเขามีกำลังภายในแล้ว กำลังภายในของเขาก็จะเคลื่อนตามจังหวะของคัมภีร์ ต่อให้ไม่ชำนาญนักแต่มิอาจหยุดชะงักได้ ดังนั้นที่เขาได้ตกลงมาเมื่อชั่วครู่นั้นแสดงให้เห็นว่ากำลังภายในของเขาได้หมดลง หรือว่าเส้นลมปราณของเขาจะมีปัญหา ? ”
เมื่ออู่หลิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา นางจึงโพล่งถามด้วยความเร่งรีบ “หากเส้นลมปราณมีปัญหา เยี่ยงนั้นก็หมายความว่าเขาจะฝึกวรยุทธ์มิได้น่ะสิ ? ”
ซูซูชำเลืองตามองนางอย่างไม่เป็นมิตร รูปก็งามแต่ทว่าสมองกลับใช้การได้ไม่ดีนัก !
“ใช่ ! หากเส้นลมปราณนั้นมีปัญหาจริงแล้วฝืนฝึกต่อไปเกรงว่าจะมีแต่ผลเสีย พวกท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเสียเลย อีกประเดี๋ยวข้าจะตรวจสอบเส้นลมปราณของเขาเอง”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนล้างหน้าเสร็จเขากลับไปยังรถม้าของตนแล้วเปลี่ยนชุดที่สะอาดเอี่ยมออกมา
ซูเจวี๋ยแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ซูซูแสดงแววตาเห็นอกเห็นใจเขา ส่วนอู่หลิงนั้นในใจพลันเต็มไปด้วยความกังวล
นี่เป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนได้พบเจออู่หลิง เขาไม่เคยรู้จักกับนางมาก่อน แต่ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเข้ากับแถบสีแดงสดปรากฏอยู่เบื้องหน้า หรือนั่นจะเป็นกองทัพหญิงแห่งราชวงศ์อู๋ ?
หญิงสาวที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้คาดว่าจะเป็นองค์หญิงไท่ผิง
เขาแอบมองนางด้วยสายตาที่ใคร่รู้นัก สายตาคู่นั้นมักจะตกลงไปอยู่ตรงเนินหน้าอกของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว เขายิ้มเสียจนอู่หลิงรู้สึกเคลิ้มฝัน แล้วใบหน้าของนางนั้นก็เริ่มปรากฎสีแดงแสดงความขัดเขินออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนดึงสายตาของตนเองกลับมา พลางนึกในใจว่าองค์หญิงผู้นี้ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจยิ่ง ช่างมิเหมือนนามของนางเอาเสียเลย (ไท่ผิงแปลว่าสงบสุขและสันติ) !
เขาไม่ได้กระตือรือร้นที่จะทักทายอีกฝ่ายก่อน ซูเจวี๋ยได้ยื่นมือมาจับไปตรงข้อมือของฟู่เสี่ยวกวนแล้วจึงตรวจสอบ ซูเจวี๋ยขมวดคิ้วขึ้นมา นิ้วของเขากำลังตรวจสอบชีพจรและจำนวนการหายใจของฟู่เสี่ยวกวนที่ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ เขาปล่อยมือลง แล้วมองฟูเสี่ยวกวนด้วยความสงสัยอีกครา
“เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” ซูซูถามด้วยความตื่นเต้น
ซูเจวี๋ยส่ายหัวเล็กน้อย ซูซูคาดว่าชีพจรของฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีปัญหา หากเป็นเยี่ยงนั้นฟู่เสี่ยวกวนคงมิสามารถฝึกวรยุทธ์ได้อีกชั่วชีวิต การที่ไม่ฝึกวรยุทธ์นั้นก็ดีสำหรับเขา เพราะเขาเองแทบจะไม่มีเวลามาฝึกอยู่แล้วไม่ใช่รึ
เมื่ออู่หลิงเห็นซูเจวี๋ยส่ายหน้า นางก็พลันเกิดอาการหวาดผวาขึ้นมา ใบหน้าที่เคยแดงเรื่อนั้นบัดนี้ได้ถอดสีหมดเสียจนซีดเผือดแล้วรู้สึกเสียใจแทนเขาขึ้นมา แต่ในเมื่อเขาเองก็เป็นชายหนุ่มผู้ปราดเปรื่องอยู่แล้ว การฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ได้สลักสำคัญต่อเขามากนัก
ต่อมาซูเจวี๋ยก็ได้เอ่ยออกมาว่า “เส้นลมปราณเขานั้นปกติดี กำลังภายในก็มิมีปัญหา เช่นนั้น…แล้วเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นเกิดขึ้นได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอับอายยิ่ง เขาเอามือลูบจมูกเพื่อลดความรู้สึกขายขี้หน้า ภายในใจก็ถอนหายใจออกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน !
ชาติก่อนหน้าเขาเป็นทหาร เขาต้องฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะเอาชนะโรคกลัวความสูงนี้ได้ ท้ายที่สุดเขาก็เอาชนะโรคกลัวความสูงนี้จนได้ อีกทั้งยังกระโดดร่มบนระดับความสูงที่หลายพันเมตรได้สำเร็จโดยที่ไม่เกิดปัญหาอะไรเลย
แต่ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้มัน…
เมื่อครู่นี้เขาเหินวิหคได้ไม่เกินสิบหลาเท่านั้น แต่เมื่อตาเผลอมองไปใต้เท้าของตนเองเพียงแค่ชั่วเสี้ยวนาทีเท่านั้น ดวงตาของเขาก็ประเมิณความสูงระหว่างตนกับพื้นดินโดยไม่ทันได้ตั้งตัว หลังจากนั้นสมองก็สั่งการออกมา ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะในทันใด !
กำลังภายในจึงหยุดทำงานลงทันที่ที่เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตกลงมาบนพื้นดิน
“ศิษย์พี่ ข้ากลัวความสูง ! “
ซูเจวี๋ยและอีกหลากหลายคนต่างตกตะลึง กลัวความสูง กลัวความสูงอันใดกัน ?
“ก็คือเมื่อเหินฟ้าขึ้นไปถึงระดับความสูงหนึ่งก็จะรู้สึกวิงเวียนศีรษะน่ะสิ“ เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนที่ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ตนเอ่ยนัก เขาเลยชี้แจงเพิ่มเติม “พวกท่านรู้จักอาการเมาเลือดกันหรือไม่ นั่นก็คือเมื่อเห็นเลือดก็จะมีอาการวิงเวียนศีรษะ อาการของข้านั้นมิได้ต่างจากอาการเมาเลือดมากนัก ข้าเพียงรู้สึกวิงเวียนศีรษะเมื่อต้องเจอความสูงก็เท่านั้นเอง “
ฝูงชนพลันเข้าใจขึ้นมาทันใด ซูซูก็หลุดยิ้มออกมา “ฮ่า ๆ ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ย่อมมีสิ่งแปลกประหลาดปะปนอยู่เสมอ ยังมีอาการกลัวความสูงอีกเสียด้วย เจ้าช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“
อู่หลิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย นางคิดว่าหากไม่เหาะเหินเดินอากาศเสียก็คงจบเรื่อง
แต่ทว่าต่อมาฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่ อีกประเดี๋ยวจงจับตามองข้าและรับข้าไว้ด้วยเถิด“
“ท่านจะทำสิ่งใดเยี่ยงนั้นรึ ? “ ซูเจวี๋ยถามด้วยความตกใจ
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วแหงนหน้ามองฟากฟ้าที่ตอนนี้ยังคงมีหยาดฝนตกพรำลงมา “ข้าอยากบินให้สูงมากยิ่งขึ้นไปอีก ! “
แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็เหาะเหินอีกคราและครานี้ก็ตกลงมาอีกตามเคย ในเสี้ยววินาทีที่ตกมานั้นซูเจวี๋ยก็รับเขาไว้ได้ทันท่วงที
และแล้วบนเส้นทางสัญจรหลักก็คับคั่งไปด้วยขบวนกองทัพ เหล่าทหารอารักขาฟู่เสี่ยวกวนได้ลงมาจากม้าแล้ว และกองทัพหญิงอีกหลายคนก็ได้ลงจากหลังม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ส่วนสภาพของกวนถงนั้นราวกับว่าเพิ่งโดนตักขึ้นจากน้ำมิปาน เขารู้สึกหนาวเย็นยะเยือก แต่ก็เหมือนกับทุกคนที่กำลังมองไปยังร่างหนึ่งที่โลดแล่นไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เขามิอาจรู้ได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำสิ่งใด แต่สัญชาติญาณกำลังบอกให้เขารู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะสื่อสารบางอย่าง บางอย่างที่ว่านั้นคือเขาเป็นคนที่ไม่ยอมลดละ เป็นคนที่พร้อมจะกัดฟันสู้และตั้งมั่นดั่งหินผา !
คนเยี่ยงนี้แหละที่จะมีสติปัญญาที่มั่นคงแน่วแน่ มิเยี่ยงนั้นเขาก็บ้าไปแล้ว !
เหล่าปัญญาชนต่างมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนโดยที่ไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอันใดอยู่ แต่พวกเขาแค่รู้สึกว่าท่านอาจารย์ของตนนั้นเยี่ยมยอดอย่างแท้จริง
เวลานี้ฝนตกหนักยิ่งนัก แต่อาจารย์ของพวกเขาก็ยังคงจะยืนหยัดฝึกฝนกำลังภายในอยู่ การฝึกกำลังภายในของอาจารย์นั้นช่างมิเหมือนใคร ท่าทางของเขาช่างดูดีเสียยิ่งนัก !
หยูเวิ่นเหวินและต่งซูหลานต่างหันมายิ้มให้แก่กัน แม้ว่าพวกนางจะไม่เข้าใจนักว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำสิ่งใดอยู่ แต่เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนมีท่าทีที่ยืนหยัดเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นดั่งวิหคที่บินอย่างไม่รู้จักเหนื่อยล้า เหินบินแล้วร่วงหล่นลงมา เหินบินแล้วร่วงหล่นลงมา เป็นเยี่ยงนี้เรื่อย ๆ จนดวงอาทิตย์เริ่มลาลับที่ปลายขอบฟ้า
อู่หลิงจ้องเงานั้นอย่างไม่ลดละ นางถอนหายใจเงียบ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาผู้นั้นเป็นนักวรรณกรรมจริงหรือนี่ ?
อาจจะเป็นเยี่ยงนั้นจริง แต่ก็เป็นนักวรรณกรรมที่มิมีผู้ใดเหมือนอย่างแท้จริง
เพราะเขาไม่เหมือนใคร ด้วยเหตุนี้เขาจึงโดดเด่นไม่มีใครเหมือน จึงเป็นบุคคลที่มีนามเลื่องลือยิ่งนัก
หากเบื้องบนมิได้ส่งฟู่เสี่ยวกวนมาสู่แผ่นดินนี้ เช่นนั้นแล้ว แผ่นดินนี้จะกี่ร้อยวันพันปีก็มืดมนดั่งราตรีที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากคนผู้นี้ก็มิจำเป็นต้องมีเหตุผลใดมารับรองทั้งสิ้น
แต่ทว่าตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ใคร่ถาม ทุกคนต่างมิได้กินมื้อกลางวันกันทั้งสิ้น ฝนก็ยังตกอย่างไม่ยอมลดละ หรือว่าควรจะกลับไปเมืองฝานหนิงเพื่อหาที่กำบังเสียก่อนมิดีกว่ารึ ?