นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 59 หาสามีใต้แสงจันทร์
ตอนที่ 59 หาสามีใต้แสงจันทร์
ดวงจันทร์เต็มดวงแรกขึ้น สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดพาความเย็นสบายมา
ฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางมาพร้อมกับซูม่อและชุนซิ่ว เพื่อไปยังสำนักศึกษาป้านชาน
สำนักศึกษาป้านชานตั้งอยู่ทางตะวันตกของหลินเจียง มันไม่ได้ตั้งอยู่ภายในเมืองหลินเจียง แต่ตั้งอยู่ที่ภูเขาชิงหยวนที่ห่างออกจากตัวเมืองไป 5 ลี้
เวลายืนอยู่บนภูเขาชิงหยวนสามารถมองเห็นเมืองหลินเจียงได้ทั่วทั้งเมือง อีกด้านหนึ่งจะมองเห็นระลอกคลื่นแม่น้ำแยงซี สำนักศึกษาป้านชานตั้งอยู่สันภูเขาของอีกด้านหนึ่ง ต้นไม้ให้ร่มเงา ทิวทัศน์สวยงาม สงบและน่ารื่นรมย์
ในยามนี้มีผู้คนมากมายเดินทางออกจากตัวเมือง ตลอดทางไปยังภูเขาชิงหยวนเต็มไปด้วยรถม้า ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิต หรือว่าสตรีที่มีความสามารถ หรือตระกูลพ่อค้ารายใหญ่
ต่อให้มิใช่งานกวีป้านชาน ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ต้องขึ้นมาภูเขาชิงหยวนเพื่อชมดวงจันทร์ เดิมทีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สง่างามของเหล่านักประพันธ์ในหลินเจียงอยู่แล้ว
หยูหยุ๋นชิงยืนอยู่ที่รั้วริมหน้าผาทางด้านนอกของสำนักศึกษาป้านชาน และจ้องมองแม่น้ำที่พร่ามัวในยามค่ำคืนอย่างเงียบ ๆ ด้วยจิตใจที่มิค่อยสงบนิ่ง
เขาเป็นบัณฑิตจากสำนักศึกษาป้านชาน เบื้องหลังของสำนักศึกษาป้านชานคือพ่อค้าธัญพืชจางจี้ หลายวันก่อนหน้านี้จางเพ่ยเอ๋อร์ได้มาหาและให้เขาประพันธ์กวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ให้หนึ่งบท นั่นมิถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด แต่เดิมก็ต้องประพันธ์กวีเทศกาลไหว้พระจันทร์อยู่แล้ว แต่จางเพ่ยเอ๋อร์ได้ให้โจทย์สำหรับกวีนี้ไว้ ว่าต้องใส่กู่ซีและหนิงลู่สองคำนี้ลงไปด้วย แน่นอนว่ามิได้ยากเกินฝีมือของหยูหยุ๋นชิงหนึ่งในสี่ผู้มีพรสวรรค์ของหลินเจียง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันนั้นทำให้เขาลังเลเล็กน้อย
ร้านสุราชีชื่อแห่งนั้นไม่ได้เปิด!
หรือกล่าวได้ว่าสุราสองชนิดนั้นที่ชีชื่อป่าวประกาศอย่างครึกโครมนั้น มิมีอยู่บนโลกใบนี้ !
เยี่ยงนั้นยังจำเป็นจะต้องมีบทนั้นอยู่อีกหรือไม่ แล้วยังจะต้องประพันธ์ขึ้นมาในงานกวีนี้หรือไม่ จางเพ่ยเอ๋อร์ในฐานะคุณหนูของจวนจางซึ่งเป็นเจ้าภาพของงานกวีในครานี้จะต้องมาเป็นแน่ และควรจะมาถึงแต่โดยเร็วแล้ว
แต่จางเพ่ยเอ๋อร์จนถึงยามนี้ก็ยังมิมา แต่ต่อให้มิใช่จางเพ่ยเอ๋อร์ คนของจวนจางจนถึงยามนี้ก็ยังมิมาเช่นกัน
จวนจาง ! หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดกัน ?
นี่มิใช่สิ่งที่หยูหยุ๋นชิงกังวลใจ เขาเป็นเพียงบัณฑิตผู้หนึ่ง และมิมีความสัมพันธ์อื่นใดกับจวนจาง แต่ตอนนี้ยังมีเวลาอีก 2 ชั่วยามก่อนที่งานกวีจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ดูเหมือนว่าจะต้องเตรียมกวีไว้หนึ่งบทเสียแล้ว เวลาค่อนข้างคับขัน ปีนี้ก็มิมีหวังเรื่องผู้นำกวีแล้ว
เขารู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ปีหน้าก็ต้องเข้าร่วมการทดสอบพิธีจบการศึกษาแล้ว เขานึกอยากจะขีดเขียนบางอย่างลงบนศิลาสายลมของสำนักศึกษาป้านชาน
หลิวจิ่งหางและถังซูหยู่เดินมาทางนี้พร้อมสุรา 1 ขวดและแก้ว 3 ใบ ทั้งสามร่ำสุราพลางจ้องมองสายน้ำในแม่น้ำแยงซี
“พวกเจ้าว่า ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมาหรือไม่ ?” หลิวจิ่งหางเอ่ยถาม
ถังซูหยู่กล่าวยิ้ม ๆ “ในเวลานี้ข้ามิหวังให้เขามาแล้ว”
“เหตุใดเล่า ? ”
ถังซูหยู่ถอนหายใจยืดยาวอย่างอดไม่ไหว “อย่างไรพวกเจ้าทั้งสองก็คงเคยอ่านความฝันในหอแดงมาแล้ว ชายผู้นั้นน่าหลงไหลยิ่ง ข้าถามตัวเองหลายครั้งหลายครา แต่หนังสือเล่มนั้นข้ามิสามารถเขียนได้”
ในยามนี้หยูหยุ๋นชิงได้ปัดเรื่องวุ่นวายที่จางเพ่ยเอ๋อร์นำพามาให้ออกไป หัวเราะเจื่อน ๆ แล้วกล่าวว่า “มันเป็นเพียงแค่บทกวีในหนังสือนั้นเท่านั้น ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนกันที่ทำได้ ในยามนี้ เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง โชคดีที่เขามิมีความตั้งใจจะศึกษาตำรา มิฉะนั้นการทดสอบในปีหน้า หากต้องเจอกับเขา ข้าคิดว่าต้องโชคร้ายเป็นแน่แท้”
ทั้งสามคนหัวเราะลั่น ไม่ว่าในใจจะมีความขัดแย้งถึงเพียงไหน แต่ตั้งแต่ที่ความฝันในหอแดงได้มาถึงหลินเจียง บัณฑิตในหลินเจียงต่างเงียบปากกันถ้วนหน้า
ของสิ่งนี้มิมีทางลอกเลียนแบบได้หรอก !
หากเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ประพันธ์หนังสือเล่มนี้ออกมา ย่อมได้ขึ้นเป็นสมบัติล้ำค่า เพื่อส่งเสริมชื่อเสียงของตนให้ดังไปทั่วใต้หล้า เป็นไปมิได้ที่จะให้เด็กหนุ่มผู้หนึ่งรับชื่อเสียงนี้ไป
ดังนั้นทั้งสามคนตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ยามที่ได้กลับมาพบเจอกันอีกคราจะหลีกเลี่ยงชื่อนั้นไปทั้งโดยตั้งใจและมิตั้งใจ
“ได้ยินว่าช่วงนี้เขาอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุนตลอด… พวกเจ้าลองบอกสิว่า เขาที่มีพรสวรรค์ถึงเพียงนั้น แล้วเหตุใดจึงมิเข้าร่วมการทดสอบเพื่อสร้างชื่อเสียงกัน” นี่คือเรื่องที่ไม่ว่าหลิวจิ่งหางจะคิดเยี่ยงไรก็คิดไม่ตก
ลำบากมานานกว่าสิบปี มิใช่เพื่อเข้าร่วมทดสอบเพื่อสร้างชื่อเสียงเพื่อเพิ่มความรุ่งโรจน์หรอกรึ ?
แต่ชายผู้นั้นกลับแปลกประหลาดยิ่ง ได้ยินว่าเขากำลังทำโคลนอยู่ที่ซีซาน ซื้อกากแร่ ทั้งยังเรียกคนไปสร้างกังหันน้ำขนาดใหญ่ เขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ?
“การกระทำของคนผู้นั้นแม้แต่ข้าเองก็ยากที่จะเข้าใจ หากต้องการกล่าวถึงเหตุผลอย่างเลี่ยงมิได้ ก็คงเป็นความทะเยอทะยานของตน เขาเป็นเยี่ยงนี้ก็นับว่าดีอย่างมาก ชื่อเสียงก็มีแล้ว ทั้งยังสามารถควบคุมผู้คนได้อีกด้วย ตระกูลฟู่ร่ำรวยเป็นแถวหน้าของหลินเจียง เขามีเงินใช้มิขาดสาย ดังนั้นเขาจึงไล่ตามสิ่งที่ตนเองชอบโดยมิต้องคำนึงถึงสิ่งใด นี่จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าอุดมคติที่บรรลุผล”
“คงอธิบายได้เพียงเท่านี้”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวน ชุนซิ่วและซูม่อ ได้มาถึงสำนักศึกษาป้านชานแล้ว มองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าสันเขานี้ใหญ่ยิ่งนัก เพราะแสงไฟจากโคมที่จุดตามสองข้างทางนั้นกระจายออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา
แสงไฟ ณ ตรงกลางนั้นรวมกันหนาแน่นจนสว่างที่สุด คิดว่านั่นคืออาคารหลักของสำนักศึกษาป้านชาน
นึกถึงความประทับใจที่อยู่ในหัว ฟู่เสี่ยวกวนจึงพาทั้งสองไปยังลานกว้างของสำนักศึกษา
“นั่นใช่ฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ?” มีเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นจากที่ไกล ๆ
“มองเห็นไม่ชัด มิใช่ว่าเขาอยู่ที่เรือนซีซานหรอกหรือ ?”
“ฮ่าฮ่า เจ้ามิรู้หรือ เขากลับมาเมื่อวาน”
“เห็นสีหน้าของเจ้า กลัวว่าเจ้าจะแย่งดอกท้อของข้าเสียแล้ว”
“เขายังมิได้หมั้นหมายนี่ พวกเจ้าอย่าได้มาแย่งข้านะ ! ”
ผู้ที่กล่าวนั้นคือเหยาเสี่ยวม่าน คุณหนูจากตระกูลเหยาจี้ เหยาจี้คือพ่อค้าธัญพืชแห่งหลินเจียงและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลฟู่ แน่นอนว่าเหยาเสี่ยวม่านได้ไหว้วานให้บิดาแสดงเจตจำนงของตนเองแล้ว แต่หัวหน้าตระกูลฟู่กล่าวว่าเรื่องนี้เขามิอาจรับผิดชอบได้ ทั้งหมดนั้นต้องรอให้บุตรชายของเขาตัดสินใจ
นางเองก็มั่นใจแล้วว่าจนถึงวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิได้ชอบพอกับใคร นี่คือสิ่งที่ฟู่ต้ากวนเอ่ยกับบิดาของนาง ย่อมมิใช่เรื่องเท็จเป็นแน่
“เสี่ยวม่าน เจ้าจะเอาแต่ใจไปแล้ว บุรุษผู้นั้นเป็นที่ช่วงชิง ข้าและหญิงสาวผู้อื่นจะไม่สามารถหาสามีใต้แสงจันทร์ได้รึ? นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ถึงแม้ข้าอาจจะมิเข้าตาคุณชายฟู่ แต่มิว่าเยี่ยงไรก็สามารถลองดูได้ หากข้าแพ้ ก็จะอวยพรให้พวกเจ้าพบเจอกับความสุข หากข้าชนะแล้ว… พวกเจ้าก็ห้ามกระทำอะไรลับหลังเป็นอันขาด”
ชวูหลิงหลงยิ้มหวานละมุนและมองเหยาเสี่ยวม่าน เรื่องของหัวใจทำให้สามารถผิดใจกันได้
ทั้งหมดต่างเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน เมื่อพบเจอคนที่ดีเยี่ยงนี้ จะให้ความร่วมมือแต่โดยดีได้เยี่ยงไร ?
เหยาเสี่ยวม่านเหลือบมองชวูหลิงหลง ปากเล็กก็เบะออก “พี่สาวหลิงหลงรังแกข้า มิใช่ว่าหลิวจิ่งหางผู้นั้นยื่นไมตรีจิตให้ท่านมิใช่หรือ? เหตุใดต้องสอดเท้ามาด้วยกัน”
ในตอนที่ชวูหลิงหลงกำลังจะเอ่ย หญิงสาวด้านข้างก็ยกมือชี้นิ้วขึ้นมา “ว้าย พวกเจ้าดูนั่นสิ นั่นคือฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ ”
หญิงสาวทุกคนต่างหันมองตาม สายตาของเหยาเสี่ยวม่านมองตรงไปยังร่างของฟู่เสี่ยวกวนที่ก้าวเดินอย่างสง่างาม
ฟู่เสี่ยวกวนก้าวย่างตามแสงจันทร์ แบกรับสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง ใบหน้าของเขาถูกแสงจันทร์สาดส่องเป็นประกาย ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นไปอีก ในสายตาของหญิงสาวกลุ่มนี้ ราวกับเทพเซียนท่ามกลางฝุ่นละออง ราวกับดวงดาวที่ส่องประกายสดใส
มีเด็กสาวผู้หนึ่งกู่ร้องออกมาท่ามกลางฝูงชน ทันใดนั้นก็เงียบสงบลง หลังจากนั้นก็ปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ฝูงชนต่างกรูไปทางฟู่เสี่ยวกวน พร้อมกับกรีดร้องและกู่ร้อง ต่างก็เป็นหญิงสาวมากมายที่กำลังบ้าคลั่ง
การสงวนตัวนั้น ตอนนี้พวกนางได้ละทิ้งไปแล้ว
ความอ่อนโยนหามีไม่
การอบรมของสตรี พวกนางได้ลืมไปเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่ได้พบเจอกับฟู่เสี่ยวกวน
ในสายตาของพวกนาง แทบจะมิเคยเจอหน้าฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน ราวกับดารา ราวกับเนื้อคู่ ราวกับสุภาพบุรุษที่อยู่ในความปรารถนาทั้งวันทั้งคืน
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงัน นี่คือสถานการณ์อันใดกัน
“วิ่งเร็ว ! ” ซูม่อตะโกนเสียงดัง ฟู่เสี่ยวกวนจึงดึงมือของชุนซิ่ว หันหลังกลับและวิ่งออกไปทันที
ทันใดนั้นผู้คนเกือบครึ่งในลานสำนักศึกษาป้านชานที่ยิ่งใหญ่ก็ได้หายไป และแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบอย่างหาที่เปรียบมิได้
ที่เหลืออยู่นั้นแทบจะเป็นบุรุษทั้งสิ้น พวกเขาหันมองหน้ากัน หัวเราะเจื่อน และดื่มสุราเพียงลำพังโดยมิเอ่ยอันใดออกมา