นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 86 ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยา ( II )
ตอนที่ 86 ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยา ( II )
ฟู่เสี่ยวกวนถูกซูม่อใช้วิชาตัวเบานำพาเขาเหาะกลับมายังเรือน
บัดนี้เขานั่งอยู่ที่สวนหลังเรือน กำลังครุ่นคิดว่าเขาควรจะใส่ผ้าปิดปากและสวมหมวกด้วยหรือไม่ นี่เขาได้กลายเป็นดาราไปแล้วหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกแคลงใจยิ่งนัก ถึงแม้เขาจะรู้ว่าหนังสือความฝันในหอแดงที่ตนเขียนได้รับความนิยมสูง มิเช่นนั้นต่งชูหลานคงไม่สามารถซื้อจวนอาศัยในราคาสามหมื่นตำลึงได้โดยง่ายดาย และเขาก็รู้ดีว่าบทกลอนทำนองเพลงแห่งสายน้ำที่ตนเขียนนั้นมีชื่อเสียง แต่เขากลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มีอะไรให้น่าชื่นชมกัน
บรรดาสตรีเหล่านั้นต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ !
ข้าเพียงต้องการเดินเล่นพักผ่อนให้สบายใจเพียงเท่านั้น นี่ต้องทำเช่นนี้เชียวหรือ ?
สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจอยู่ในจวนมิออกไปไหนตามเคย เขาใช้เวลาในการฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง และสิบสามกระบี่ฉวนเจิน เป็นเช่นนี้กระทั่งถึงวันที่สิบแปดเดือนเก้า
ช่วงสายของวันที่สิบแปดเดือนเก้า ประตูใหญ่ด้านข้างของจวนฟู่ได้เปิดออก ฟู่ต้ากวนยืนอยู่หน้าประตูในชุดคลุมยาวสีแดง บนหัวประดับด้วยหมวกสีแดงเช่นกัน ทั้งด้านซ้ายขวามีผู้รับผิดชอบดำเนินงานกว่าสิบคน มีผู้ต้อนรับแขกถึง 50 คน และคนตีฆ้องตีกลองโบกธงอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
เนื่องจากพิธีรับอนุภรรยา 5 คนในครั้งนี้ แต่ละคนมีฤกษ์งามยามดีที่แตกต่างกัน ฟู่ต้ากวนจึงได้คำนวณดูแล้วคาดว่าเวลานี้คือเวลาที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากต้องคอยต้อนรับแขกผู้มาร่วมงาน หากมัวแต่ชักช้าจะทำให้ดูแลมิทั่วถึง ดังนั้นจึงได้จัดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดห้าคน…จะให้ทำเยี่ยงไรเล่า ? เขามิได้มีวิชาแยกร่างนี่
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็สวมใส่ชุดที่ดูเหมาะสมเข้ากับพิธีในวันนี้และยืนอยู่ด้านหลังของบิดา เขารอคอยดูเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก และได้หยิบประทัดขึ้นมาและจุดมันขึ้น
“ปุ้ง……!”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้บิดาของเขาตกอกตกใจ แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะอย่างมีความสุข เขาได้สั่งให้หลี่อี้ทำประทัดออกมาจำนวนมาก เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนหากนำมาจุดคงจะสนุกสนานยิ่งนัก มันสามารถสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงได้เป็นอย่างดี
พิธีกรคนหนึ่งยืนขึ้นและตะโกนว่า “ได้เวลา……ต้อนรับเจ้าสาวเข้าบ้าน ! ”
เนื่องจากนี่คือการรับอนุภรรยาเข้าบ้าน ตามกฎแล้วจะต้องเข้ามาจากประตูด้านข้างเท่านั้น
ขบวนเกี้ยวที่จอดอยู่ด้านนอกทั้งห้าคันถูกยกขึ้น ขบวนขันหมากต่อยาวไปจนถึงด้านนอกของถนนซีชุ่ย
มีผู้คนออกมาดูความสนุกสนานมากมายก่ายกอง หนึ่งในนั้นก็มีเหยาเสี่ยวม่าน
เสียงฆ้องกลองและแตรดังขึ้น อีกทั้งเสียงประทัดตามมาเป็นระยะ ๆ ขบวนขันหมากเดินไปตามถนนซีซุ่ยอย่างช้า ๆ จากนั้นก็เข้าไปในจวนจากประตูด้านข้าง ใช้เวลาถึงครึ่งก้านธูปเลยทีเดียว กว่าที่ขบวนเหล่านี้จะเข้าไปจนครบ
เหยาเสี่ยวม่านเขย่งเท้าขึ้นและพยายามยืดคอมอง เมื่อพบว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเข้าไปในจวน นางก็ได้โยนเครื่องรางทรงกลมข้ามไป เอ๋ เหมือนจะปาถูกเสียด้วย !
แสงอาทิตย์ปะทะกับบางสิ่งส่งแสงแสบตา จากนั้นจึงได้หล่นลงสู่พื้นแยกออกเป็นสองส่วน
ซูม่อหยิบดาบขึ้นฟัน ทำให้หัวใจของเหยาเสี่ยวม่านแตกออกเป็นสองส่วนเช่นกัน
“ฟู่เสี่ยวกวน ! ฟู่เสี่ยวกวน ! ฟู่เสี่ยวกวน……!”
ถนนซีซุ่ยเริ่มครึกครื้นขึ้น สตรีจำนวนมากเบียดกันเข้ามาและขานชื่อฟู่เสี่ยวกวน เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาใกล้ เครื่องรางเหล่านั้นก็จะถูกโยนมามากมาย ซูม่อกระโดดขึ้นฟันสิ่งของเหล่านั้นให้ตกลงสู่พื้นดิน
หืม ? วันนี้เป็นวันที่ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยาเข้าบ้านมิใช่หรือ เหตุใดสตรีเหล่านี้จึงได้ร้องเรียกชื่อของฟู่เสี่ยวกวนกัน ?
เขางุนงงยิ่งนักและมองไปยังกลุ่มสตรีที่พยายามเข้าใกล้ฟู่เสี่ยวกวน พวกนางเบียดกันเข้ามาอย่างมิคิดชีวิต นี่มัน……ชายหนุ่มผู้นี้น่าหลงไหลมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ ?
สามยอดผู้มีพรสวรรค์เองก็อยู่ที่นี่ พวกเขาจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง และรู้สึกว่าชีวิตช่างมิมีอะไรน่าตื่นเต้นเสียจริง
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้กลายเป็นฝันร้ายของพวกเขา ไม่ว่าโอกาสใดก็ตาม ตราบใดที่ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมิมีอะไรโดดเด่นเสียเลย หยูหยุ๋นชิงส่ายหัวและถอนหายใจก่อนจะจากไป ถังซูหยู่เองก็เช่นกัน แต่หลิวจิ่งหางมิได้เดินจากไปแต่อย่างใด เขาเดินไปทางเหยาเสี่ยวม่าน
หากแต่เหยาเสี่ยวม่านมิได้เห็นเขาในสายตาแม้แต่น้อย เขาจึงทำได้เพียงเดินก้มหน้าก้มตาจากออกไป
เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงรีบวิ่งเข้าจวนไปแล้วปิดประตู ด้านนอกมีผู้ตรวจการความสงบอยู่อีกหลายคน
……
……
ณ จวนฟู่ พื้นที่ทางทิศใต้ มีเรือนสามหลังลักษณะหันหน้าเข้าหากัน เนื่องจากผู้ดูแลสวนมิใด้ใส่ใจ เรือนทั้งสามนี้จึงยังโล่งว่าง
บัดนี้ได้ถูกทำความสะอาดและเตรียมพร้อมเป็นสถานที่ต้อนรับอนุภรรยาทั้งห้าคน
เกี้ยวเหล่านั้นจอดลงที่หน้าเรือนนี้ เจ้าสาวทั้งห้าคนถูกส่งตัวไปยังห้องของตนเอง
ฟู่ต้ากวนเดินเข้ามาทักทายทีละคน จากนั้นเขาได้กลับเข้าไปยังห้องโถงใหญ่
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปอย่างงุนงง เขามิรู้ว่ามีคนมาร่วมงานจำนวนเท่าไหร่ แต่ของขวัญต่าง ๆ ที่ส่งมานั้นกลับมีมากมายเสียจนต้องใช้ห้องจัดเก็บหลายห้อง ผู้คนมากมายเดินทางมามอบของขวัญอย่างมิขาดสายตั้งแต่เช้าจนกระทั่งค่ำมืด
นายอำเภอเหยาหยู๋เหลียนและจือโจวหลิวปิ่งจงเดินทางมาในเวลากลางคืน และพวกเขาก็อยู่เป็นคนสุดท้าย
ฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งมองดูโดยมิต้องทำการใดยังรู้สึกเหนื่อยล้า เขาช่างเห็นใจบิดายิ่ง เนื่องจากฟู่ต้ากวนมิได้หยุดพักผ่อนแม้แต่น้อย ตั้งแต่เช้ายันค่ำมืด มองดูแล้วก่อนหน้านี้ฟู่เสี่ยวกวนคงมัวแต่กังวลเรื่องสุขภาพร่างกายของบิดาเสียเกินไป ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจเดินกลับไปยังห้องของตน ที่นี่ช่างเงียบสงบดีเสียจริง
ขณะนี้หลิวปิ่งจงและฟู่ต้ากวนกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน โดยมีหยู๋เหลียนและหลิ่วซานเย่ร่วมวงสนทนาด้วย
“เรื่องที่องค์ฮ่องเต้ให้ข้าจับตามองดูเจ้า คาดว่าคงเริ่มต้นไปได้ด้วยดี ฤกษ์งามยามดีเช่นนี้ข้าคงไม่รบกวนท่านต่อแล้ว……ฟู่เสี่ยวกวนเล่า ? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเขาเลย ? ”
ฟู่ต้ากวนหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า “บุตรชายข้าผู้นั้นไม่ชอบงานที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้นัก วันพรุ่งนี้ข้าจะให้เขาเดินทางไปพบท่านที่จวนเป็นอย่างไร ? ”
“ตกลงตามนั้น พรุ่งนี้เช้าข้าจะรอเขาที่จวน”
……
……
ฟู่ต้ากวนมิได้เดินไปยังเรือนทิศใต้ แต่กลับมายังท้ายจวน สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจแก่ฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง
ฟู่ต้ากวนนั่งลงบนเก้าอี้ วินาทีนี้บนใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ซิ่วเอ๋อร์ ไปนำซุปโสมมา”
“เห้อ……เหนื่อยเสียจริง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้น ภายในใจแอบคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องเหนื่อยกว่านี้เป็นแน่
“สิ่งนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ท่านควรจะผ่านมันไปด้วยรอยยิ้มมิใช่หรือ ความสุขเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น ท่านพ่อควรดื่มซุปบำรุงร่างกายเสียหน่อยเถิด”
ฟู่ต้ากวนดื่มซุปโสมที่ชุนซิ่วยกมา และนึกถึงคำพูดของหลิวปิ่งจงจึงได้เอ่ยไปว่า “ท่านหลิวต้องการพบเจ้าในวันพรุ่งนี้ช่วงเช้าที่จวนของเขา”
“เรื่องอันใดงั้นหรือ ?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ? เจ้าไปพบเขาในวันพรุ่งนี้ก็รู้เอง……อย่าได้ไปมือเปล่า เขาเป็นถึงขุนนางระดับสูงจือโจว”
“ท่านพ่อจะไม่แนะนำให้ข้ารู้จักกับชื่อของแม่ ๆ ทั้งหลายเหล่านี้หรือ ? ”
“อ้อ ที่จริงตัวข้าเองก็จำได้มิชัดเจนนัก รุ่งเช้าจงมาร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันแล้วค่อยทำความรู้จักทีละคน”
“……”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกได้ว่าบิดาของเขามิได้ให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้สักเท่าใด จึงได้เอ่ยเตือนสติว่า “ท่านพ่อ นี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาทเชียว ท่านอย่าลืมเสียว่าในปีหน้าก่อนวันที่สิบห้าเดือนแปด ข้าจะต้องมีน้อง ๆ ครบ 5 คน มิเช่นนั้นคาดว่าฝ่าบาทเอาเรื่องว่าเป็นการขัดพระราชโองการของฝ่าบาท จะโทษถึงประหารชีวิตเชียว!”
ฟู่ต้ากวนดื่มซุปจนเกลี้ยงและนั่งพิงไปยังเก้าอี้ สายตาของเขามองไปยังท้องฟ้ายามราตรี ดวงตาเล็กบนใบหน้ากลม ๆ คู่นั้นคล้ายกำลังเหม่อลอย
“ในคืนนี้เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน เมืองจินหลิงถูกพายุฝนกระหน่ำ เม็ดฝนไม่ใหญ่แต่ละเอียด แม่น้ำฉินหวายมีหมอกลอยขึ้น ข้าและแม่ของเจ้าได้กางร่มเข้าไปในวัดฟูจื่อ ภายในนั้นมีต้นพุทราอยู่ ลำต้นสูงใหญ่ให้ผลหวานกรอบนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนรอฟังฟู่ต้ากวนเอ่ยต่อ แต่ผ่านไปเนิ่นนานเขากลับไม่เอ่ยอันใดออกมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงถามไปว่า “แล้วต่อจากนั้นเป็นเช่นไร ? ”
ฟู่ต้ากวนลุกขึ้นเขานำมือไขว้หลังแล้วเดินออกไปด้านนอก “ข้าอยากลิ้มรสมันอีกสักครั้ง”