นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 90 เดินทางสู่เมืองหลวง
ตอนที่ 90 เดินทางสู่เมืองหลวง
รัชสมัยเซวียนลี่ที่แปด เดือนเก้า วันที่ยี่สิบสาม เวลาบ่าย
ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงจินหลินแห่งเมืองหลวง
เนื่องจากเขาไม่รู้จักผู้ใดในเมืองนี้และไม่คุ้นเคยกับถนนหนทาง จึงได้พาซูม่อและชุนซิ่วไปเช่ารถม้ามาสองคันและมุ่งหน้าไปยังตรอกหวู่อี้
ต่งชูหลานอาศัยอยู่ในตรอกหวู่อี้ และนางคือคนเดียวที่ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักในเมืองนี้
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเข้าไปในพระราชวังได้ จึงจำเป็นต้องสื่อสารกับหยูเวิ่นหวินผ่านทางต่งชูหลาน เช่นนี้จึงจะมีโอกาสเข้าพบพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย
เขาเข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว หลังจากกินข้าวอิ่มท้องแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนสั่งให้ทั้งสองคนกลับไปยังที่พักก่อน ส่วนเขานั้นนำน้ำหอมกล่องหนึ่งเดินทางไปยังจวนต่ง
ต่งชูหลานแอบหนีออกไปจากเมืองหลวงและเดินทางไปหลินเจียง เรื่องนี้นางทำผิดกฎของตระกูลจึงถูกทำโทษให้กักตัวไว้ในห้อง และมีพี่ชายคนโตของนาง ต่งซิวจิ่นเป็นผู้ดูแล
สองพี่น้องบัดนี้กำลังประลองหมากรุกกันอยู่ ต่งชูหลานเดินหมากชนะพี่ชายของนาง ทำให้สีหน้าของนางดูมีความสุขยิ่งนัก
นางมิได้เสียใจที่ถูกกักบริเวณแม้แต่น้อย เนื่องจากจิตใจของนางมีที่พักพิงแล้ว จึงทำให้นางสบายใจยิ่งนัก
ส่วนเรื่องถูกกักบริเวณนางหาได้ใส่ใจไม่ อย่างไรเสียช่วงนี้ก็ไม่มีเรื่องอันใดต้องออกไปข้างนอก
“น้องสาวข้า หลังกลับมาจากหลินเจียงก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเชียว” ต่งซิวจิ่นเดินหมากพลางพูดออกมา
“ข้าจะเล่าให้ท่านพี่ก็ได้ว่าข้านั้นชอบฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง และหวังว่าเขาเองจะชอบข้าเช่นกัน” ต่งชูหลานเอ่ยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผู้ฟังอย่างต่งซิวจิ่นกลับตกตะลึง ที่เขาตกตะลึงนั้นเนื่องจากต่งชูหลานได้เอ่ยออกมาอย่างไม่เขินอาย
น้ำเสียงของนางนิ่งเรียบ แต่ช่างเด็ดขาดไม่มีแม้แต่ความกังวลใจใด ๆ และช่างตรงไปตรงมา !
นั่นหมายความว่าเรื่องนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของนางได้ !
“ท่านแม่มิชอบ”
“……หากท่านแม่มิชอบ” ต่งชูหลานนึกถึงเรื่องราวของฟู้ต้ากวนและสวี่หยุนชิง นางได้แต่ถอนหายใจยาว ๆ ออกมา หรือนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของนางกัน นางเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “มิชอบก็มิเป็นไร”
……
……
สองพี่น้องประลองหมากรุกกันต่อโดยไม่มีใครเอ่ยอันใดออกมาอีก ฟู่เสี่ยวกวนเคาะประตูจวนจากนั้นก็ยื่นจดหมายให้ฉบับหนึ่ง เขายืนรออยู่ที่ด้านนอกจวน
“อะไรกัน ? ฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ? เขายังมีหน้ามายังจวนต่งของเรางั้นหรือ ? ผู้คุม……เดี๋ยว ช้าก่อน” ฮูหยินต่งวางถ้วยชาลงแล้วครุ่นคิดชั่วครู่ “ให้เขาเข้ามาได้ จงไปรอข้าที่ห้องโถงด้านหน้า”
นางมิได้เดินทางไปด้วยตนเอง แต่หันกลับมากำชับกับบ่าวรับใช้สูงวัยผู้หนึ่งว่า “ข้ามิอยากพบหน้าเขา เจ้าจงออกไปดูแทนข้าหน่อย ให้เขาเข้าใจถึงความหมายของข้า”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นน้อมรับคำสั่งแล้วเดินไปยังห้องโถงด้านหน้า
ฟู่เสี่ยวกวนเข้ามายังห้องโถงด้านหน้าของจวนต่งซึ่งบัดนี้ช่างเงียบสงัด
ท่านเสนาบดีต่งวุ่นอยู่กับเรื่องของราชการแต่เช้ายันค่ำ ฮูหยินต่งเป็นผู้ดูแลจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในจวนแต่เพียงผู้เดียว ภายในจวนมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดยิ่ง แม้แต่บ่าวรับใช้จะย่างกรายแต่ละก้าวก็ยังต้องคอยระมัดระวัง พวกเขามิกล้าทำการใดโดยพลการ แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนเดินผ่าน พวกเขาก็ยังมิกล้าเงยหน้าขึ้นมอง
“คุณหนูของพวกเจ้าอยู่หรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามคนเฝ้าประตู เขาส่ายหัวและตอบกลับมาว่า “ข้าน้อยมีหน้าที่เพียงเฝ้าประตู ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับคุณหนู”
อืม ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าถึงอย่างไรก็ได้เข้ามาแล้ว จะต้องถามเกี่ยวกับต่งชูหลานให้ได้
เขาเดินผ่านสวนดอกไม้แห่งหนึ่งและผ่านไปยังระเบียงทางเดินเข้าไปในประตูวงจันทร์ เมื่อมองเข้าไปก็เห็นศาลาสวยงามแห่งหนึ่ง
ศาลาแห่งนั้นมีบ่าวรับใช้วัยชรายืนอยู่ คนเฝ้าประตูโบกไม้โบกมือให้สัญญาณไปทางนาง จากนั้นจึงขอตัวเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงเข้าไปในศาลานั้น สายตามองไปยังบ่าวรับใช้ผู้นั้นชั่วครู่
ไม่น่าจะเป็นมารดาของต่งชูหลานแน่ ?
อายุมากเพียงนี้ ไม่ใช่อย่างแน่นอน
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาถึงศาลา เขาโค้งให้ความเคารพหญิงชราผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ข้า ฟู่เสี่ยวกวน แห่งเมืองหลินเจียงเดินทางมาขอเข้าพบฮูหยินต่ง ขอให้ท่านช่วยนำทางด้วยเถิด”
หญิงชราสีหน้านิ่งเรียบ นางยื่นมือออกไปแล้วเอ่ยว่า “ขอเชิญคุณชาย”
“ขอบพระคุณท่านมาก”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินขึ้นบันไดไป หญิงรับใช้ผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู เมื่อครั้นเดินผ่านนาง ฟู่เสี่ยวกวนได้หยิบถุงเงินออกมาและส่งให้ “ข้าเดินทางมาจากบ้านนอก ไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมของชาวเมืองเท่าไรนัก น้ำใจเล็กน้อยท่านโปรดรับเอาไว้”
ที่จริงฟู่เสี่ยวกวนไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาเพียงเคยดูในภาพยนตร์จีนที่ยามให้ขันทีช่วยเหลือเรื่องใดในวังหลวง ก็มักจะมอบสินน้ำใจเล็กน้อยเช่นนี้ แม้นางจะไม่ใช่ขันที แต่หลักการนี้น่าจะได้ผลเช่นกัน เขาจึงได้ทำการเช่นนี้ลงไป
หญิงชราผู้นั้นขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “คุณชายคิดว่าจวนต่งขาดแคลนเงินงั้นหรือ ? ”
เอ่อ……
“แน่นอนว่าจวนต่งมิได้ขาดแคลนเงิน ข้าน้อยเพียงคิดว่าเงินนี้ต่อให้มีมากก็มิใช่ปัญหามิใช่หรือ ? อีกอย่างข้าไม่ได้มีความหมายว่าเช่นนั้น เพียงแต่เมื่อเห็นท่านมีท่าทีโอบอ้อมอารี มองไปช่างคล้ายกับท่านย่าของข้านัก เงินนี้ข้าหามาด้วยตนเองเป็นเงินสุจริต เพียงแค่อยากนำไปให้ท่านใช้เพื่อตอบแทนคุณเท่านั้นเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนพูดไปพลางนำเงินยัดใส่มือของนาง เขาจำได้ดีว่าฉากเหล่านี้เคยพบอยู่บ่อย ๆ ในละคร
หญิงชรากำเงินไว้ในมือ นางทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่เก็บเข้ากระเป๋าไป นางมิได้เอ่ยอันใดออกมาและนำพาฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปในศาลา
“ท่านจงนั่งรอก่อนเถิด ฮูหยินพักผ่อนอยู่ หากตื่นแล้วข้าจะเรียนให้ทราบ”
หญิงรับใช้ผู้นั้นจัดเตรียมน้ำชามาให้ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เดินไปยืนอยู่ในมุมหนึ่งโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมา
เมื่อถึงเวลาบ่ายคล้อย คาดว่าฮูหยินคงจะตื่นจากการพักผ่อนแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้นั่งตั้งตารอ เขายกน้ำชาขึ้นมาดื่มบ้างเป็นบางครา และมองออกไปดูลูกนกกระโดดไปมาที่นอกหน้าต่างโดยไม่มีท่าทีกังวลใจ
เขารออยู่พักใหญ่จนกระทั่งเข้าสู่เวลาเย็น น้ำชาถูกดื่มเสียจนหมด แต่ยังไม่มีท่าทีว่าฮูหยินจะออกมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจในความหมายของการกระทำนี้
แต่เขามิได้ใส่ใจ และหลับตาลงนั่งสมาธิเพื่อฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง
จะแข่งการอดทนมิใช่หรือ ?
มาดูกันว่าใครจะอดทนได้ดีกว่ากัน !
เวลาผ่านไปกระทั่งท้องฟ้ามืดลง
หญิงรับใช้ผู้นั้นเดินจากออกไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อตอนที่นางเดินผ่านหน้าฟู่เสี่ยวกวนไป นางได้มองกลับมายังเขา ชายหนุ่มผู้นี้มีลักษณะที่ดีนัก อีกทั้งท่านั่งยังสง่างาม
นางเดินไปยังเรือนด้านหลัง ฮูหยินต่งกำลังปรุงชาโสมอยู่ เมื่อเห็นหญิงรับใช้กลับมาจึงได้เอ่ยถามว่า “กลับไปแล้วงั้นหรือ ? ”
นางส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “ยังคงนั่งอยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินต่งเก็บรอยยิ้มลงและเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ยังไม่ไปงั้นหรือ ? เขาจะอยู่รับประทานอาหารค่ำที่นี่หรืออย่างไร ? ”
หญิงรับใช้ไม่ได้ตอบสิ่งใด ฮูหยินต่งจึงได้กล่าวต่อไปว่า “เขาได้ทำอะไรบ้าง ? ”
“ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าถึงได้โดยง่าย เมื่อข้าน้อยให้เดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า เขาก็ส่งถุงเงินให้แล้วเอ่ยว่า……เขาเป็นคนมาจากบ้านนอกไม่เข้าใจกฎของเมืองใหญ่นี้ เพียงต้องการมอบให้เพื่อตอบแทนคุณ จากนั้นเขาก็ดื่มน้ำชาเสียจนหมด คาดว่าเขาเข้าใจถึงความหมายของท่านดี แต่ก็มิยอมจากไป มองดูแล้วไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายแต่อย่างใด ข้าน้อยยืนเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา เขาไม่แม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ ช่างเป็นชายหนุ่มที่……มีจิตใจมุ่งมั่นเสียจริง”
“มีจิตใจมุ่งมั่นงั้นหรือ ข้าอยากรู้นักว่าจะมีจิตใจที่มุ่งมั่นถึงเพียงใด”
หญิงรับใช้นิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากพบเขา แต่เหตุใดไม่เอ่ยออกไปตามตรงเจ้าคะ ? เขาจะได้ถอดใจไปเสีย เช่นนี้จะไม่ดีกว่าหรือ ? ”
“นี่เจ้ากำลังตำหนิข้างั้นหรือ ? ”
หญิงรับใช้ผู้นั้นรีบโค้งตัวขอโทษ “ข้าน้อยมิบังอาจ”
“ข้าไม่เพียงแต่จะให้ฟู่เสี่ยวกวนถอดใจ แต่จะทำให้ชูหลานถอดใจด้วย ข้าไม่เข้าใจเสียจริงว่าเยี่ยนซีเหวินไม่ดีตรงไหน ? ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้าหนุ่มบ้านนอกนั่นมีอะไรดีกัน ! ข้าอยากจะรอดูวันที่เขาถอดใจ และวันที่ชูหลานตัดใจ”
“เจ้าจงไปเฝ้าดูเขา จนกระทั่งเขากลับไป”