นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) - ตอนที่ 98 ค่ำคืน ณ วัดฟูจื่อ
ตอนที่ 98 ค่ำคืน ณ วัดฟูจื่อ
ทุกสิ่งเงียบสงัด
ฟู่เสี่ยวกวนมีอาการมึนเมาเล็กน้อย สายตาเขายังคงมองไปยังทะเลสาบเว่ยยาง
เยี่ยนเสี่ยวโหลววางพู่กันลง และหันไปมองเขาที่ยืนอยู่ มองไปแล้วช่างโดดเดี่ยว เข้มแข็ง แต่ก็แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า
นางมิเข้าใจว่าเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนี้ เขาเป็นเพียงชายหนุ่มอายุได้เพียงแค่ 16 ปี
อาจเป็นเพราะประโยคที่ว่า ‘เสียดายผกาปีหน้าที่ดียิ่งกว่า รู้ไหมว่าครุ่นคิดไว้เหมือนใคร’ ประโยคนั้นก็เป็นได้
นางอยากเข้าไปกอดเขาไว้และกล่าวว่า ปีหน้าดอกไม้จะบานสะพรั่ง และนางจะร่วมชื่นชมกับเขา
แต่นางก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากยังไม่ถึงวัยอันควร อีกทั้งเพราะรู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนชอบพอแม่นางต่งชูหลาน
เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ต่างสบตากันไปมา แสดงออกถึงความตกตะลึง
หนึ่งนั้นเพราะฟู่เสี่ยวกวนสามารถเดินไปไม่กี่ก้าวก็เอ่ยกวีที่งดงามบทนี้ออกมาได้ สองนั้นเพราะความหมายของกวีที่ต้องการสื่อ
หวนนึกถึงกวีคลื่นลมทรายบทนี้ เมื่อคิดได้ว่าคนเรามีพบย่อมมีจาก ก็รู้สึกหดหู่ใจยิ่ง
หรือเขาจะให้ความสำคัญกับมิตรภาพในครั้งนี้จริง ๆ ? แต่พวกเขาได้รู้จักกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น จะเกิดมิตรภาพขึ้นได้อย่างไร ? กวีบทนี้ฟังแล้วช่างสะเทือนใจยิ่งนัก และทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจ
พวกข้า…ปฏิบัติเยี่ยงคนผู้น้อยต่อหน้ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร !
ดังนั้นเยี่ยนซีเหวินจึงได้เอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนว่า “มิตรภาพของท่านนั้น ข้าเข้าใจดีแล้ว ! ข้าขอดื่มให้ท่าน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังเดินกลับไปยังที่นั่งแล้วยกแก้วขึ้นมา “มาเถอะ เอาเพลงแกล้มสุรา ชีวายาวฤๅสั้น สิ่งผ่องโศกา มีเพียงแค่สุราเทียนฉุน ! หมดแก้ว ! ”
เอาเพลงแกล้มสุรา ชีวายาวฤๅสั้น !
เยี่ยนซีโหลวหยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งและเขียนประโยคนี้ลงไป นางเข้าใจถึงอักษรทุกตัว เพียงแต่ไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง รู้เพียงว่าประโยคนี้ช่างไพเราะนักจึงได้จดเอาไว้
ส่วนด้านฟางเหวินซิงและอีกหลาย ๆ คนก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน จึงยกแก้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ฟู่ ประโยคนั้นของท่านที่ว่าเอาเพลงแกล้มสุรา ชีวายาวฤๅสั้น ช่างไพเราะมากนัก และบ่งบอกถึงอิสระที่แท้จริง ! พวกข้านั้นมิอาจเทียบได้กับท่านพี่เลย เชิญเถิด ข้า ฟางเหวินซิงและสหาย จะร่วมดื่มแก่ท่าน ! ”
บัดนี้บรรยากาศช่างครึกครื้นยิ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ หลานถิงจี๋ก็ถูกฟู่เสี่ยวกวนคลี่คลายให้ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เมื่อถึงยามบ่าย สุราได้ถูกดื่มเสียจนหมดสิ้น พวกเขามีอาการเมามายและพากันเดินทางกลับ
……
…….
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนตื่นขึ้นมาก็พบว่าท้องฟ้ามืดแล้ว จึงรีบจัดการอาบน้ำแต่งตัวและเดินทางไปยังประตูด้านหลังของจวนต่งกับซูม่อ
ต่งชูหลานนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และนึกถึงท่าทางของพี่รองที่กลับมาอย่างมีความสุข อีกทั้งนึกถึงคำพูดที่พี่รองเล่าให้นางฟัง ใบหน้านางก็แดงระเรื่อ แก้มทั้งสองข้างของนางมีสีแดงอ่อน ๆ แทรกขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่น่ามองเสียจริง
เขาผู้นี้ เอ่ยกับผู้คนในที่สาธารณชนว่านางคือคู่หมั้นของเขา หากเรื่องนี้แพร่ออกไปถึงหูของบิดามารดา ไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ?
แต่ต่งชูหลานก็มิได้คิดตำหนิฟู่เสี่ยวกวนแม้แต่น้อย นางกลับรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำไป รู้สึกว่านางได้นำหน้าหยูเวิ่นหวินไปแล้ว ส่วนเรื่องที่บิดามารดาจะคิดอย่างไร หญิงสาวที่ตกอยู่ในความรักอย่างนางไม่ทันได้ไตร่ตรอง
บัดนี้พวกเขาใช้วิธีให้ซูม่อทุบท้ายทอยของเสี่ยวฉีและผู้เฝ้าประตูจนสลบไป จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็จูงมือชูหลานวิ่งหนี เหลือเพียงซูม่อที่คอยเฝ้าการณ์ในค่ำคืนอันเงียบสงัดนี้
ทั้งสองนั่งรถม้ามายังแม่น้ำฉินหวาย คาดมิถึงว่าจะมีฝนเม็ดเล็กโปรยลงมา
ทั้งสองเดินเล่นท่ามกลางสายฝนพรำ ต่งชูหลานเอ่ยถามถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวันอีกครั้งหนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวนก็เล่าให้ฟังตามจริงทุกประการ
“เจ้าไม่กลัวว่าเยี่ยนซีเหวินจะแก้แค้นงั้นหรือ ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย ขนตาของนางเปียกปอนไปด้วยสายฝน
“ตอนนั้นข้าเองไม่ทันคิด รู้เพียงว่าเขาจะแย่งภรรยาของข้าไป จะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ต่อให้ตระกูลเขาเป็นเสนาบดีถึงสามสมัยแล้วอย่างไร ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ส่วนต่งชูหลานนั้นหน้าแดงราวกับลูกท้อ
นางกัดปากตนเองและหันหน้าไปทางอื่นเพราะมิกล้าสบตาฟู่เสี่ยวกวน “ใครตกลงว่าจะเป็นภรรยาเจ้ากัน ? ”
เสียงของนางนุ่มนวลราวกับละอองฝน ใบหน้าที่เขินอายนั้นราวกับดอกท้อที่เบ่งบานท่ามกลางสายหมอกภายใต้แสงสลัว ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกหลงใหลขึ้นมาทันที เขาดึงต่งชูหลานมาไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง ต่งชูหลานหัวใจเต้นแรงยิ่งกว่ากวางน้อยถูกไล่ต้อน คำพูดทุกคำติดอยู่ในลำคอ ฟู่เสี่ยวกวนวางมือข้างหนึ่งไว้ที่เอวของนาง และอีกข้างหนึ่งสัมผัสลงที่ใบหน้า ดวงตาของต่งชูหลานเบิกกว้างเมื่อฟู่เสี่ยวกวนจุมพิตลงไปที่ปากสีแดงราวกับเชอร์รี่ของเธอ
“อือ อือ……”
ต่งชูหลานตกใจและร้อนรน สำหรับหญิงสาวอายุสิบหกเช่นนาง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องการถวิลหา แต่สิ่งนี้นอกเหนือจากที่นางจะจินตนาการได้
ฟู่เสี่ยวกวนกอดต่งชูหลานไว้แน่น ทั้งสองใกล้ชิดกันได้ยินแม้กระทั่งเสียงของหัวใจ
ริมฝีปากของเขาร้อนราวกับไฟ ต่งชูหลานพยายามขัดขืน แต่หลังจากพยายามอยู่หลายครั้งสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ตัวเอง
นางต้องการไฟอันร้อนแรงนั้น นางหวังจะหลอมละลายไปในเปลวไฟ
ดังนั้นนางจึงได้นำมือทั้งสองโอบไปที่คอของฟู่เสี่ยวกวน ปากเรียวบางของนางเผยอออก ลิ้นของทั้งสองสัมผัสกันอย่างเร่าร้อน…!
ไม่อาจหาคำไหนมาอธิบายในวินาทีนี้ได้ !
ท่ามกลางละอองฝน ผมของนางเปียกปอน
ต่งชูหลานยังคงโอบรอบคอของฟู่เสี่ยวกวนไว้ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ยังคงกอดรัดที่เอวบางของนางอยู่ สายตาทั้งสองคู่สบประสานกัน พวกเขาเข้าใจกันแม้มิได้เอ่ยคำใดออกมา
“ข้าเป็นคนของเจ้าแล้ว อย่าได้รังแกข้าเชียว”
“เมื่อใดที่ภูเขาไร้เนิน แม่น้ำแห้งเหือด ฟ้าผ่าในฤดูหนาว หิมะตกในฤดูร้อน ฟ้าดินเชื่อมต่อเป็นผืนเดียว เมื่อนั้นข้าและเจ้าจึงจะแยกจากกัน ! ”
ต่งชูหลานมิได้เอ่ยคำใดออกมาอีก นางซบลงที่หน้าอกของฟู่เสี่ยวกวน นึกทบทวนคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนในใจว่า เมื่อใดที่ภูเขาไร้เนิน แม่น้ำแห้งเหือด ฟ้าผ่าในฤดูหนาว หิมะตกในฤดูร้อน ฟ้าดินเชื่อมต่อเป็นผืนเดียว เมื่อนั้นข้าและเจ้าจึงจะแยกจากกัน !
บัดนี้ ดวงใจของทั้งสองได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง ในอนาคตที่แสนยาวไกลนี้พวกเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้าไปด้วยกันในทุก ๆ เรื่อง !
“ไปวัดฟูจื่อกันดีหรือไม่ ? ”
“ตกลง ! ”
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังวัดฟูจื่อ ระหว่างทางได้ซื้อโคมไฟติดมือไปด้วย
บันไดหินนั้นเริ่มมีตะไคร่ขึ้นปกคลุม ฟู่เสี่ยวกวนถือโคมไฟไว้มือหนึ่งและจูงมือต่งชูหลานไว้อีกข้างหนึ่ง ทั้งสองเดินขึ้นไปไม่ไกลก็พบกับประตูทางเข้าอันเก่าแก่
ประตูวัดมิได้ปิดเอาไว้ ประตูทั้งสองบานพัดไปมาตามแรงลม
ท่ามกลางลานกว้างอันรกร้าง ต้นพุทรานั้นคล้ายกับร่มกำบังขนาดใหญ่ที่ปกคลุมที่แห่งนี้
ฟู่เสี่ยวกวนเดินถือโคมไฟเข้าไปใกล้ ๆ บนต้นมีลูกพุทรามากมายตามคำร่ำลือ เขาส่งโคมไฟให้ชูหลาน จากนั้นจึงปีนขึ้นไปบนต้นพุทราด้วยท่าทางคล่องแคล่วอย่างกับลิง เมื่อเขาลงมาได้นำลูกพุทรามากมายลงมาด้วย
“ชิมดูสิ” ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพุทราขึ้นมาลูกหนึ่งใช้เสื้อเช็ดแล้วส่งให้ต่งชูหลาน นางกัดไปคำหนึ่ง “เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
“อืม หวานมาก เจ้าก็ลองดูสิ”
ต่งชูหลานส่งพุทราลูกที่กัดแล้วไปให้ฟู่เสี่ยวกวน “อืม หวานจริง ๆ ”
ทั้งสองกินไปพลางเดินไป ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปสำรวจรอบ ๆ วัด แต่เมื่อเขาเดินไปถึงประตูที่สองก็ได้หยุดฝีเท้าลง
เนื่องจากภายในนั้นมีโคมไฟแขวนอยู่สองโคม อีกทั้งคนสองคนยืนถือดาบอยู่
สองคนนั้นขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เนื่องจากท่ามกลางสายฝนเช่นนี้เหตุใดยังมีคนเดินขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงยกดาบขึ้น หนึ่งในนั้นเอ่ยออกมาว่า “ที่นี่คือสถานที่หวงห้าม เชิญท่านทั้งสองกลับไปเถิด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ที่แห่งนี้หรือคือสถานที่หวงห้าม ?
เขามองไปยังต่งชูหลาน ต่งชูหลานส่ายหน้าเนื่องจากนางเองก็ไม่รู้
ฟู่เสี่ยวกวนจูงมือต่งชูหลานลงมา เขารู้สึกสงสัยในที่แห่งนั้นนัก เขาประหลาดใจมากจริง ๆ ในใจนึกคิดว่าวันหลังจะเรียกซูม่อให้มาดูด้วยกันอีกให้ได้
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงตรอกหวู่อี้ ถนนหลังจวนต่ง ก็ได้ร่ำลากันด้วยความอาลัยอาวรณ์ ฟู่เสี่ยวกวนหยิบลูกพุทรากำใหญ่ให้ต่งชูหลาน
“กินพุทราเยอะ ๆ เขาว่าจะได้ลูกชาย ! ”
“เจ้า… ! ”
ต่งชูหลานหยิบมาเพิ่มอีกเล็กน้อยแล้ววิ่งหันหลังเข้าจวนไป