[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 24 กาล อวกาศ และชายวัยกลางคน
พวกเรายืนอยู่กลางทุ่งในโลกเบื้องหลัง
ตอนนี้ ที่โลกเบื้องหน้าที่เราจากมาก็ใกล้จะสิ้นเดือนมิถุนาแล้ว ฤดูกาลที่เปลี่ยนไปจะส่งผลกับที่นี่ด้วยหรือเปล่านะ? จากตอนที่พวกเราถูกดึงเข้ามาที่โลกเบื้องหลังนี่ ความชื้นในอากาศก็ทำให้ฉันตกใจเลย อากาศมันหนักขึ้นกว่าก่อนหน้านี้
แต่ว่า ความหนักอึ้งในบรรยากาศนี่ อาจจะไม่ได้มาจากแค่ความชื้นอย่างเดียวก็ได้นะ… มันมีความอึดอัดลอยฟุ้งอยู่ในอากาศด้วยเนี่ยสิ สถานการณ์แบบนี้ คน 2 คนที่ไม่ได้รู้จักกันเท่าไหร่ ถูกมัดมือชกให้มาทำงานร่วมกันเนี่ย ก็คงเลี่ยงไม่ได้ล่ะนะ
ก็ รอบนี้ คนที่อยู่ข้างๆ ฉันไม่ใช่โทริโกะล่ะนะ
เป็นคุณโคซากุระต่างหาก
ผู้หญิงร่างเล็กที่เรียกตัวเองว่านักวิจัยโลกเบื้องหลังก็จ้องเขม็งไปในโลกแห่งความไม่รู้ที่ยืดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา ด้วยสีหน้าที่ไม่มีการปิดบังความอารมณ์เสียของเธอเลยซักนิดเดียว
“อ- เออ”
ฉันเปิดปากพูดแบบอ้ำๆ อึ้งๆ
“เราจะเริ่มมองจากตรงไหนดีคะ?”
“…”
ไม่มีการตอบรับจากบุคคลที่ท่านเรียก
“คุณโคซากุระคะ?”
“…เธอน่าจะเป็นคนที่รู้ว่าที่ที่ยัยนั่นน่าจะไปหรือเปล่า โซราโอะจัง?”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ”
“หา? แล้วจะเอายังไงล่ะ ทีนี้?”
“ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่า… ก็คงต้องสุ่มหาดู…”
ฉันพึมพำออกมา คุณโคซากุระก็ส่ายหน้าอย่างหัวเสียเลย
“ให้ตายเถอะ! ยัยบ้านั่น!”
คุณโคซากุระสบถออกมาอย่างเดือดดาล
“แล้วนี่ยังจะลากฉันมาเอี่ยวกับเรื่องบ้าบอนี่ด้วย! เธอโดนดีแน่!”
“ …เห็นด้วยเลยค่ะ”
ฉันงึมงำตอบกลับไป
เพราะฉันก็รู้สึกแบบคุณโคซากุระตอนนี้เลย
เธอโดนแน่ งานนี้จบไม่สวยแน่ เจอเธออีกทีเมื่อไหร่ จะเอาให้รู้ซึ้งเลย กล้าดียังไง จู่ๆ ก็มาหายตัวไปไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้น่ะ
คร่าวๆ ก็ 3 สัปดาห์หลังจากที่พวกเรากลับมาจากสถานีคิซารากิได้ ในวันที่ 24 พฤษภาคม โทริโกะก็หายตัวไป
เมื่อไม่กี่วันก่อน พวกเราทะเลาะกัน
พวกเราอยู่ที่คาเฟ่หลังร้านหนังสือย่านจิมโบโจในอิเคบุคุโระ ที่ๆ พวกเราไปหลังจากมาเจอกัน โทริโกะพยายามปรึกษาแผนการเดินทางครั้งต่อไปของพวกเราอย่างกระตือรือร้น ฉันก็พูดขึ้นมา
“นี่ โทริโกะ ลองคิดดูใหม่ดีมั้ย? วิธีนี้มันไม่ดีเลยนะ แบบนี้ พวกเราอาจจะตายเข้าซักวันก็ได้นะ พวกเราทั้งคู่เลย”
สำหรับโทริโกะที่ตามหา ‘เพื่อน’ ของเธออย่างคุณซัทสึกิเนี่ย เธอก็อยากจะตัดสินใจเลือกวันที่จะออกเดินทางสำรวจครั้งต่อไปทันทีเลย แต่เอาจริงๆ คือ ฉันหมดไฟแล้ว พวกเราต้องผ่านการเผชิญหน้ากับเรื่องพิศดารเยอะแยะติดๆ กันเลย ทั้งคุเนะคุเนะ ทั้งท่านฮัชชาคุ ทั้งสถานีคิซารากิ แถมทั้งหมดนั่น มันก็น่ากลัวมาก แถมเฉียดตายสุดๆ เลย
ฉันว่าฉันก็มีสิทธิจะพูดว่า นี่ ขอพักหน่อยเถอะ นะ
“แล้ว เธอมีวิธีที่ดีกว่าหรือเปล่าล่ะ?”
แดดในตอนบ่ายสาดเข้ามาทางหน้าต่างทำให้ผมสีทองของเธอยิ่งส่องประกายออกมา โทริโกะหรี่ตามองตรงมาที่ฉัน สวยเหมือนกับภูติที่ล่อลวงและลักพาผู้คนไปเลย
“โซราโอะ?”
“อ-… อือ”
ฉันส่ายหน้า ฉันเจอเธอมา 2-3 ครั้งแล้วตอนนี้ นี่ก็คงได้เวลาที่ฉันต้องชินได้แล้วนะ ฉันยื่นมือไปหาแก้วน้ำของตัวเอง พยายามคุมสติตัวกลับมากับร่องกับรอย
การนัดเจอกันวันนั้นควรจะเป็นงานเลี้ยงฉลองด้วยเหมือนกัน บนโต๊ะก็เลยมีอาหารที่โทริโกะสั่งมาแบบไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น อีกแล้ว
มีทาโกไรซ์ เค้กช็อกโกแลตแต่งหน้าด้วยเชอร์รีเปรี้ยว มัทฉะเทอร์รีน แล้วก็ “ทาร์ตญี่ปุ่น” ที่ตกแต่งหน้าด้วยราสเบอร์รีเยอะเลย ส่วนเครื่องดื่มเนี่ย โทริโกะสั่งกาแฟลาเต้มา ส่วนของฉันเป็นชาองุ่น
ฉันคิดว่า ตรงจุดนี้ ฉันบอกเลยนะว่าโทริโกะสั่งลำดับไปผิดแปลกมาก อย่างน้อยก็น่าจะจัดการทาโกไรซ์ให้เรียบร้อยก่อนค่อยสั่งพวกเค้กนะ
TN: ทาโกไรซ์ (タコライス : Taco rice) มีลักษณะแบบทาโก้ มีส่วนประกอบหลักได้แก่ชีส, เนื้อ, ผักกาดหอม และมะเขือเทศ (ด้วยการหั่นฝอยทั้งหมด) ราดด้วยซอสซัลซา โดยมีข้าวอยู่ใต้สุดของจาน
เทอร์รีน (Terrine) เป็นขนมสัญชาติฝรั่งเศสที่มีส่วนผสมระหว่างช็อกโกแลตกับไข่ไก่และชาเขียวเข้มข้นโดยไม่มีส่วนผสมของแป้ง ทำให้ได้เนื้อขนมที่เหมือนคัสตาร์ด นุ่มละลายในปาก
“ถ้าเธอมีวิธีที่ดีกว่า ฉันก็พร้อมรับฟังเลยนะ แต่ มันก็ไม่มีใช่มั้ยล่ะ พวกเราก็มีแต่ต้องค่อยๆ พยายามต่อไปอย่างช้าแต่ชัวร์ล่ะนะ”
“ไม่เคยคิดเลยนะเนี่ยว่าจะได้ยินคำว่า ‘ช้าแต่ชัวร์’ จากปากเธอน่ะ โทริโกะ”
“เอ๋? ฉันว่าก็จัดการมันแบบช้าแต่ชัวร์มาตลอดเลยนะ”
โทริโกะพูดสวนมาเหมือนไปจี้ใจดำเธอเข้า ทั้งที่ตัวเองพุ่งพรวดเข้าไปแบบไม่คิดน่ะเหรอ?
“ก็ เอาเถอะ ถ้าเธอว่างั้นล่ะนะ โทริโกะ แต่ถึงยังงั้น ต่อให้พวกเราออกตามหาคุณซัทสึกิต่อ เราก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลยไม่ใช่เหรอ? ไม่คิดเหรอว่านี่มันก็แค่การเอาตัวไปเสี่ยงตามยถากรรมหมดเลยน่ะ?”
พอฉันพูดไปแบบนั้น โทริโกะก็หลบสายตา
“แต่ว่า…”
“อย่าแต่ว่าสิ ฉันเข้าใจนะว่าเธออยากจะหาตัวคุณซัทสึกิให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ไม่คิดเหรอว่าถ้าเราจะทำยังงั้น เราก็ควรจะหาอย่างรอบคอบกว่านี้ไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันก็คิดนะ ที่เธอพูดน่ะมันก็ถูก แต่เวลาไม่มีแล้วนะ แม้แต่ตอนที่เราคุยกันอยู่นี่ ซัทสึกิก็อาจจะอยู่ในอันตรายก็ได้”
“แม้แต่ตอนที่เราคุยกันอยู่นี่ งั้นเหรอ…”
ฉันมองไปรอบคาเฟ่ ตอนนี้เป็นตอนบ่าย ลูกค้าหลายคนก็เป็นนักศึกษาจากมหาลัยแถวนี้ พวกเขากำลังเรียนกัน คุยกัน ไม่ก็หาความสนุกในวิธีของตัวเอง กับคนที่มองผ่านไปผ่านมา พวกเขาก็อาจจะคิดว่าพวกเราเองก็เป็นแบบนั้นนั่นแหละ พอเขาเห็นเค้กกับชากาแฟกองเต็มโต๊ะแบบนี้ จะแก้ตัวมากแค่ไหน พวกเขาก็ไม่เชื่อหรอก ว่าพวกเรา ไปที่ที่อันตรายสุดๆ เพื่อตามหาเพื่อนคนนึงที่ร่อนเร่อยู่ที่นั่นน่ะเหรอ? เชื่อก็บ้าแล้ว
โทริโกะนี่ก็ย้อนแย้งในตัวได้สุดๆ ไปเลยนะ ทั้งๆ ที่ก็รีบตามหาตัวของคุณซัทสึกิแท้ๆ แต่ก็ยังอยากจัดงานเลี้ยงฉลองด้วยเหมือนกัน จะเรื่อยเฉื่อยเกินไปแล้ว แต่พอคิดว่าเธออาจจะไม่ได้จริงจัง เธอก็พลิกมาโชว์ความกล้าออกมาให้เห็นจนน่าเหลือเชื่อ หลังจากที่เราเดินทางสำรวจในโลกเบื้องหลังด้วยกันเป็นครั้งที่ 3 เนี่ย ฉันก็นึกว่าตัวเองจะเริ่มเข้าใจตัวโทริโกะบ้างแล้ว แต่คิดดูแล้วก็ ไม่ ฉันไม่ได้เข้าใจเธอเลยซักนิด
แล้ว โทริโกะก็พูดต่อ
“อีกอย่าง จะปล่อยพวกเขาไว้ที่นั่นก็ไม่ได้ด้วย”
“หา…?”
แวบนึง ฉันสารภาพเลยนะว่าตัวเองไม่เข้าใจเลยว่าโทริโกะกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่กันแน่น่ะ
“พวกเขาที่ติดอยู่ที่สถานีคิซารากิไง ถ้าไม่มีใครไปช่วยล่ะก็ พวกเขาได้ตายกันหมดแน่”
“…อ้อ! พวกทหารน่ะเอง! อืม นั่นสินะ ใช่ ฉันก็ ว่างั้นเหมือนกัน”
ลืมพวกทหารสหรัฐที่สถานีคิซารากิไปซะสนิทเลยนะเนี่ย ก็จริงนั่นแหละ พวกเขารั้งเอาไว้ได้อีกไม่นานหรอก ฉันรู้นะว่าในหัวตัวเองก็มีปัญหาส่วนตัวอยู่เยอะแยะเต็มไปหมดอยู่แล้ว แต่ถึงยังงั้นก็เถอะ การจะทิ้งคนที่ได้คุยกันไว้ข้างหลัง ให้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น แล้วก็ไม่สนใจเนี่ย ก็ทำซะฉันดูเลวไปเลย
แต่ รู้อะไรมั้ย… อย่าอ้างนู่นอ้างนี่เลยนะ แต่พวกเขาทำกับพวกเรายังกับว่าพวกเราเป็นสัตว์ประหลาดยังงั้นแหละ คนไม่กี่คนที่เราพอจะได้คุยกัน ก็มีแค่ร้อยโทหัวยุ่ง กับจ่าสิบเอกเท่านั้นเองนี่ ใช่มั้ยล่ะ?
“เธอเป็นห่วงพวกเขางั้นสินะ โทริโกะ? แปลกใจเลยนะ”
“ไหงงั้นล่ะ?”
“ก็เธอทำตัวดูไม่เป็นมิตรกับพวกเขามากกว่าปกตินี่นา ฉันนึกว่าเธอระแวงพวกเขาซะอีก”
“ก็ พวกเขาหงุดหงิดหวาดระแวงกันนี่ แถมเราก็ไม่รู้เลย พวกเขาอาจจะเปิดฉากยิงกันตอนไหนก็ได้”
“แล้วเธอก็ยังอยากจะช่วยคนที่เกือบจะยิงพวกเราตายกันอยู่แล้วเนี่ยนะ?”
“อยู่ในที่แบบนั้น เป็นใครก็เป็นบ้าได้ทั้งนั้นนั่นแหละ ส่วนตัวแล้ว ถ้าช่วยได้ ฉันก็อยากหาทางทำอะไรซักอย่างนะ ไม่เห็นด้วยงั้นเหรอ?”
คำพูดที่จริงใจของโทริโกะฟาดใส่หน้าฉันจังๆ ทำเอาซะหายใจไม่ออกเลย มันยังกับว่าฉันพยายามมองหาข้ออ้างเพื่อจะปล่อยให้พวกเขาตายยังไงยังงั้นแหละ?
ก็นะ จะบอกฉันว่าฉันโหดร้ายหรือไร้ความเป็นคนก็ได้ตามใจเถอะ แต่ฉันไม่อยากเอาตัวไปเสี่ยงกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แค่เพราะตัวเองรู้สึกสะเทือนใจเท่านั้นนี่นา มันเป็นชีวิตของเราเอง เป็นสติของเราเองนะ ที่เราเอาไปเสี่ยงน่ะ
“…โทริโกะ เมื่อกี้ เธอบอกเองนะว่าที่นั่นมันทำให้ใครก็เป็นบ้าได้ แต่ที่จริง มันก็ทำให้พวกเราบ้าไปแล้วเหมือนกันนั่นแหละ เธอจำตอนที่เราโทรคุยกับคุณโคซากุระได้หรือเปล่า?”
พอนึกย้อนกลับไปแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจเลย ตอนที่พวกเราฟังบันทึกการโทรที่อัดเอาไว้ ตอนพวกเราโทรมาหาคุณโคซากุระที่โลกเบื้องหน้าจากสถานีคิซารากิ มันมีแต่คำพูดไร้สาระพ่นออกมาทั้งนั้น หมายความว่า ทั้งฉัน ทั้งโทริโกะ พูดคำประหลาดๆ พวกนั้นออกมาทางมือถือโดยที่ไม่รู้ตัวเลยซักนิดอยู่ตั้งนานเลยงั้นสิ
ฉันเคยได้ยินว่าคนเสียสติน่ะไม่รู้ตัวหรอกว่าคำพูดหรือการกระทำของตัวเองมันผิดปกติยังไง มันมีอาการวิกลจริตอยู่ทุกรูปแบบนั้นแหละ จะสรุปทั้งหมดนั่นออกมาด้วยคำๆ เดียวไม่ได้หรอก แต่ฉันก็พอจะรู้สึกได้พอควรเลยนะ พวกเราไม่ใช่แค่ ‘เริ่มจะเพี้ยนไปแล้ว’ หรอก―พวกเราอาจจะอาการหนักสาหัสมากแล้วก็ได้ตอนนี้
“ก็จริง แต่มันก็แค่ครั้งเดียวเองนะ ตอนนี้ พวกเราก็ไม่เป็นไรนี่ เพราะงั้น―”
คำโต้แย้งของโทริโกะเหมือนจะเสียความมั่นใจไปเลย ไม่มีใครหรอกที่จะยังใจเย็นอยู่ได้หลังจากที่เห็นว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมการกระทำของตัวเองได้น่ะ
ฉันเล่นแง่ตรงนี้ แล้วก็ตัดสินใจบิดมีดให้ยิ่งสะเทือนเข้าไปอีก
“ไม่ใช่แค่เธอนะ โทริโกะ ระหว่างที่โทรคุยกันเนี่ย คุณโคซากุระก็แปลกไปเหมือนกัน”
ตอนที่คุณโคซากุระเริ่มพูดอะไรแปลกๆ ออกมาทางปลายสายน่ะ ทั้งโทริโกะทั้งฉันก็เสียขวัญกันมากเลยนะ
“พวกเราแค่หูแว่วไปเองมั้ง ในบันทึกการโทรก็ไม่มีเสียงของโคซากุระด้วย แสดงว่า―”
“ก็จริงอยู่ที่ว่าพวกเราได้ยินแต่เสียงของพวกเราในบันทึก แต่ว่านะ โทริโกะ เธอไม่คิดว่ามันแปลกๆ เหรอ? ถ้าพวกเราเอาแต่พูดอะไรแปลกๆ กับคุณโคซากุระไม่หยุด ทำไมเธอถึงเงียบแล้วก็คอยฟังอยู่ตลอดเลยล่ะ?”
“อะ…”
โทริโกะเบิกตาโพลงเลย ฉันก็พูดต่อ
“พวกเราไม่รู้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อโลกเบื้องหลังกับโลกเบื้องหน้าเชื่อมต่อกันผ่านทางการโทรศัพท์ ก็จริงอยู่ว่าที่โลกเบื้องหน้า สมาร์ทโฟนของคุณโคซากุระอัดไว้ได้แค่คำพูดแปลกประหลาดที่พวกเราพูดออกมา แต่ก็เป็นไปได้เหมือนกันนะว่า ถ้าพวกเราอัดเอาไว้ที่โลกเบื้องหลังด้วย มันก็อาจจะมีแต่คำพูดแปลกประหลาดที่คุณโคซากุระพูดก็ได้”
“นั่น… ก็เป็นแค่การคิดขึ้นมาเฉยๆ นี่ ใช่มั้ย? ไม่มีหลักฐานซักหน่อย…”
“ที่ฉันพยายามจะพูดก็คือ โลกเบื้องหลังจะสร้างอิทธิพลทางลบกับผู้คน กับพวกเรา แล้วก็กับคุณโคซากุระด้วย”
“แต่การศึกษาวิจัยโลกเบื้องหลังเป็นงานของโคซากุระนะ”
“งั้น ถ้ามันเป็นงานของเธอ จะทำให้เธอต้องเสียสติก็ไม่เป็นไรงั้นเหรอ?”
“พูดแบบนั้นมันไม่ยุติธรรมเลยนะ”
โทริโกะจ้องมาหาฉัน
“เธอก็ดีใจใช่มั้ยล่ะ โซราโอะ? เธออยากได้เงินไม่ใช่เหรอ?”
“อืม ใช่ แน่นอน อยากสิ แต่ถ้าเกิดต้องตาย มันก็ไม่คุ้มหรอก…”
ฉันลังเลอยู่ซักพัก ก่อนจะพูดต่อไป
“เธอต้องคิดได้เหมือนกันใช่มั้ย โทริโกะ?”
“คิดได้เรื่องอะไร?”
“เรื่องคุณซัทสึกิน่ะ ตั้งแต่ที่เธอบอกว่าเธอหายตัวไป มันผ่านมากี่เดือนแล้วล่ะ? 3? หรือนานกว่านั้น?”
โทริโกะไม่ตอบ เป็นความเงียบที่น่าอึดอัดมาก ฉันก็เลยไปต่อ
“เธออยู่ในโลกบ้าๆ นั่นมา 3 เดือนแล้ว แถมติดต่ออะไรก็ไม่ได้ด้วยนี่? ไม่มีทางที่เธอจะตามไม่ทันหรอกว่าฉันหมายถึงอะไร โทริโกะ พวกเราเห็นมาด้วยกันแล้วนะ ศพที่ถูกคุเนะคุเนะฆ่า การหายสาบสูญไปของคุณอาบาระโตะ ทหารสหรัฐที่ตายไปเรื่อยๆ มันยากนะที่จะพูดแบบนี้ แต่ว่า…”
ฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังเข้าไปเหยียบสิ่งที่ไม่ควรแล้วตอนนี้ แต่พอฉันอ้าปากออก ฉันก็หยุดปากตัวเองไม่ได้แล้ว
“…คุณซัทสึกิน่ะ ไม่อยู่แล้วล่ะ”
เงียบกริบเลย ริมฝีปากได้รูปของโทริโกะก็เม้มเป็นเส้นตรง ตาของเธอลดลงก้มต่ำ
พูดออกไปจนได้
ฉันคิดยังงี้มาตลอดเลย แล้วก็รู้ตัวดีเลยว่าคงจะพูดออกไปจนได้ซักวัน แต่ พอเห็นโทริโกะนั่งอึ้งอยู่ตรงหน้าฉันแบบนี้ ก็หยุดความรู้สึกผิดในใจนี่ไม่ได้เลย
“ฉ- ฉันอาจจะพูดมากเกินไปนะ แต่…”
“ยังอยู่สิ”
โทริโกะพูดออกมาอย่างหนักแน่น ขัดคำพูดของฉันที่เหมือนกำลังจะเริ่มแก้ตัว พอถูกพูดสวนแบบไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ฉันก็กระพริบตาปริบๆ
“ซัทสึกิยังอยู่แน่ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย”
“หา? ทำไมเธอถึง―”
“เพราะเธอไม่มีทางไปตายในที่แบบนั้นได้น่ะสิ”
เธอยังคงมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ทำเอาฉันพูดอะไรไม่ออกเลย คุณซัทสึกินั่นน่ะเป็นใครกันแน่นะที่ถึงทำให้เธอมั่นใจได้ขนาดนั้นน่ะ? อย่างน้อยที่สุด ฉันก็มั่นใจเลยล่ะว่าเธอต้องไม่มีอะไรเหมือนกับฉันแน่ๆ
“ซัทสึกิน่ะเป็นคนที่พิเศษสำหรับฉัน ขอร้องล่ะ ช่วยฉันทีนะ โซราโอะ ฉันยกส่วนแบ่งของฉันให้เธอด้วยก็ได้นะถ้าเธออยากได้”
“หา!?”
อึ้งไปเลยนะแบบนี้ แต่แป๊บเดียว ฉันก็เลือดขึ้นหน้าเลย
พูดอะไรแบบนั้นน่ะ โทริโกะ
นี่เธอคิดว่า ฉันลังเลเพราะเงินส่วนแบ่งของฉันมันไม่มากพอหรือไง?
“เธอไม่ต้องการเงินเหรอ?”
“มันไม่ใช่แบบนั้น!”
ฉันโมโหจนขึ้นเสียงตะโกน
“ฉันเข้าใจว่าคุณซัทสึกิน่ะสำคัญมากกับเธอ แต่ไม่ใช่กับฉันไง ฉันไม่เคยคุยกับเธอซักคำด้วยซ้ำ ขนาดเจอกันก็ยังไม่เคยเลย แล้วเธอจะขอให้ฉันเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงเพื่อช่วยคนแบบนั้นน่ะเหรอ?”
โทริโกะตาเบิกกว้างแบบที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แล้วเธอก็จ้องมาที่ฉัน เราจ้องกันอยู่แบบนั้นผ่านไอจากกาแฟลาเต้ของเธอ
“อา… อือ เข้าใจแล้ว”
โทริกะกระซิบออกมา แล้วก็หันไปทางอื่น
เธอลุกขึ้นยืน หยิบกระเป๋ามาจากถังใต้โต๊ะขึ้นมาถือ
“ขอโทษนะ ฉันเข้าใจผิดเอง”
“เดี๋ยวสิ โทริโกะ”
“เดี๋ยวฉันลองหาทางจัดการเองดู… ขอบใจนะ”
“โทริโกะ!”
โทริโกะเดินออกจากคาเฟ่ ไม่สนใจเสียงทักท้วงของฉันเลย
“…เฮ้อ”
ฉันเอนหลังทิ้งตัวกับเก้าอี้ ถอนหายใจเฮือกใหญ่
นอกจากฉันจะขี้โกงแล้ว ยังจะเป็นพวกขี้ขลาด ไม่มีความกล้าเลยอีก
ที่ฉันอยากจะพูดจริงๆ น่ะ
ฉันกลัว ไม่อยากให้ตัวเองเพี้ยนไปมากกว่านี้แล้ว พอเถอะ…
แต่ ฉันพูดไม่ได้ เพราะถ้าทำแบบนั้น มั่นใจเลยว่าเธอต้องผิดหวังแน่ๆ ที่โทริโกะอยากได้น่ะคือคู่หูที่พร้อมจะตะลุยในโลกเบื้องหลังไปกับเธอ ไม่ใช่สัมภาระขี้กลัวที่ไหนที่มีแต่จะไปถ่วงแข้งถ่วงขาเธอ
เพราะงั้น ฉันเลยพูดแบบอ้อมๆ ไปแทน แล้วสุดท้าย ฉันก็ยังทำให้เธอผิดหวังอยู่ดี
ฉันนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น มองดูจานเค้กที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าเต็มไปหมดแบบไม่รู้จะทำยังไงดี
“รู้มั้ย? ฉันว่ามันเยอะไปหน่อยนะที่จะกินคนเดียวไหวน่ะ”
ฉันพึมพำ พลางมองดูเก้าอี้เปล่าๆ ที่อยู่อีกฝั่ง
TN: อย่าตีกัน~