[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 29 กาล อวกาศ และชายวัยกลางคน
พวกเราเริ่มจากการเดินไปหาจุดที่ที่มองเห็นได้ดีกว่านี้เพื่อสังเกตสถานการณ์โดยรอบ ทุ่งหญ้าในโลกเบื้องหลังนี่เป็นเนินขึ้นๆ ลงๆ ที่ไม่ได้ชันอะไร แล้วก็มีหลายๆ จุดที่สูงพอจะเรียกว่าเนินได้อยู่เหมือนกัน
ตรงที่เรามาถึงเนี่ยมันไม่มีอะไรเลย เราก็เลยตัดสินใจว่าฉันจะเดินนำหน้า คอยแหวกทางให้ ไม่งั้น หญ้าสูงๆ พวกนี้มันจะบาดขาเปล่าๆ ของคุณโคซากุระน่ะสิ
ก่อนที่พวกเราจะเริ่มเดินกัน ฉันก็นึกได้ว่าต้องถอดคอนแทคเลนส์สีออกซะก่อน ถึงพวกกลิตช์มันจะมองเห็นยากใต้แสงแดดแบบนี้ก็เถอะ แต่ถ้าถอดคอนแทคออกก็ยังพอจะเห็นประกายแสงของมันได้อยู่ โชคดีจังเลยที่แถวๆ นี้ไม่ได้มีกลิตช์เท่าไหร่ แสดงว่าแม้แต่ในโลกเบื้องหลัง กลิตช์ก็ไม่ได้กระจายตัวกันแบบสม่ำเสมอสินะ
“ขาไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ คุณโคซากุระ?”
ฉันย่ำไปบนหญ้า ก่อนจะร้องถามไปข้างหลัง
“เออ ถ้าเกิดฉันเดินเร็วไป ก็บอกได้เลยนะคะ ฉันจะเดินให้เร็วเท่ากับที่คุณเดินไหว”
“…อือ”
บางทีเธออาจจะหายโกรธลงจากตอนแรกแล้วก็ได้มั้ง เธอเลยเงียบจนน่าอึดอัดเลยตอนนี้
พอฉันหันกลับไปมอง ก็เห็นคุณโคซากุระกำลังก้มหน้าอยู่เหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนักเลย
“ฟังนะ โซราโอะจัง”
“ค- คะ?”
แล้วคุณโคซากุระก็เริ่มพูดด้วยบรรยากาศที่จริงจัง
“จะยกตัวอย่างให้เธอฟังนะ; เวลาเธอเข้าไปเล่นในบ้านผีสิง จะมีบางคนที่สบายๆ ไม่มีปัญหา แล้วก็มียางคนที่กลัวเกินจะก้าวขาไม่ไหวใช่มั้ย?”
“ฉันไม่เคยเข้าบ้านผีสิงเลยค่ะ…”
“ฉันก็ไม่เคย”
แล้วจะเอามาใช้เป็นตัวอย่างทำไมล่ะคะ?
“ก็ จะเป็นหนังผี หรือที่จริงจะอะไรก็ได้นั่นแหละ ยังไงก็เถอะ ความสามารถในการทนทานต่อความกลัวจะต่างกันไปในแต่ละคน เป็นเรื่องปัญหาของสรีรศาสตร์ขนานแท้เลย ประเมินได้จากระดับที่สัญญาณของความกลัวถูกส่งมาจากสมองส่วนลึก อะมิกดะลา เข้าไปมีผลควบคุมการทำงานของสมองส่วนหน้ามากแค่ไหน คนคนหนึ่งจะกลัวง่ายหรือยากก็จะขึ้นอยู่กับพันธุกรรม ยิ่งลำดับเบสสั่งการของยีนขนส่งเซโรโทนินยาวล่ะก็ เซลล์ประสาทก็จะสามารถสร้างเซโรโทนินได้มากยิ่งขึ้น ลักษณะนิสัยที่โน้มไปทางความตื่นตระหนกก็จะน้อยลง กล่าวคือ จะกลัวได้น้อยลงนั่นเอง”
“ค่ะ…”
ในตอนที่ฉันกำลังงงๆ ว่าเธอกำลังจะหมายความถึงเรื่องอะไรกันแน่ คุณโคซากุระก็เหลือบสายตาหงุดหงิดมาหาฉัน
“พูดง่ายๆ ยีนขนส่งเซโรโทนินของฉันมันสั้นมากๆ…”
“อ๋อ! แปลว่าขี้กลัวมากๆ งั้นสินะคะ?”
“ก็ใช่ไง!!”
คุณโคซากุระฉุนขาดเลย
“ทำไมต้องโมโหด้วยล่ะคะ?”
“ฉันไม่ได้โมโห! บ้าจริง ฉันทนที่นี่ไม่ไหวจริงๆ”
“ไม่ไหว?”
“ฉันกลัว กลัวแทบตายเลยล่ะ ไม่เคยอยากจะมาที่นี่อีกแม้แต่ครั้งเดียวเลยด้วยซ้ำ”
เป็นการสารภาพที่คาดไม่ถึง จนทำให้ตกใจเลยแฮะ
“หาาา? แต่ไม่ใช่ว่าคุณเคยบอกงั้นเหรอคะ? ว่าก่อนหน้านี้ คุณทำงานวิจัยร่วมกับคุณซัทสึกิในเรื่องของโลกเบื้องหลังน่ะ”
“ถูก ตอนที่ซัทสึกิยังอยู่น่ะยังพอว่า แต่ขนาดตอนนั้น ฉันยังเข้ามาที่โลกเบื้องหลังนี่ได้แค่ 3 ครั้งเอง แล้วพอตอนที่ฉันปฏิเสธเรื่องจะทำงานภาคสนาม ฉันก็เริ่มผิดใจกับซัทสึกิเลยตั้งแต่นั้นมา แล้ววันนึง เธอก็เอาลูกศิษย์ที่เธอช่วยติวให้เข้ามาร่วมด้วย บอกว่าเป็นคู่หูใหม่ของเธอล่ะนะ”
เธอกำลังหมายถึงโทริโกะอยู่นี่นา
“โทริโกะน่ะตรงข้ามกับฉันเลย มีความต้านทานต่อความกลัวอย่างดีเลย เป็นตัวเลือกที่ดีกับการเป็นคู่หูของซัทสึกิ ไม่กลัว ใช้ปืนเป็น แล้วก็เชื่อฟังซัทสึกิด้วย เป็นเหมือนผู้หญิงที่เกิดมาพร้อมเพื่อที่จะมาที่นี่เลย”
รู้สึกเหมือนในประโยคที่เธอพูดจะมีหลายๆ จุดที่ต้องไปตีความเลยแฮะ ดูจากวิธีการพูดของเธอแบบนั้นน่ะ
“แล้วโทริโกะคิดยังไงกับเรื่องนั้นเหรอคะ?”
“แหงสิ หลงหัวปักหัวปำเลยล่ะ ถึงจะพอมีไหวพริบ แต่ก็เป็นแค่เด็กมอปลาย ยังไม่ทันคน ซัทสึกิใช้เวลาไม่นานเลยที่จะหลอกเธอมาได้ ที่จริง ซัทสึกิก็ยังงี้มาตลอดนั่นแหละ ทำให้ผู้คนรอบข้างหลงเสน่ห์เธอ ก่อนจะหลอกใช้งานพวกเขาตามใจตัวเอง เป็นแอลฟ่าฟีเมลโดยกำเนิดเลย”
ระหว่างที่เธอพูด น้ำเสียงก็ปนความโกรธที่อธิบายไม่ถูกอยู่ในนั้นด้วย ระหว่างที่ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบเธอกลับไปยังไงดี คุณโคซากุระก็เหมือนจะดึงสติกลับมา แล้วก็กลับมาที่หัวข้อที่เร่งด่วนกว่า
“ที่ฉันพยายามจะพูดคือ ถ้าเกิดว่ามันมีอะไรพุ่งใส่พวกเราที่นี่ล่ะก็ ฉันไม่คิดว่าฉันจะช่วยอะไรเธอได้ เพราะงั้น เธอก็ต้องระวังตัวเองเอานะ”
“ไม่หรอกมั้งค่ะ คือ คุณก็มีลูกซองอยู่ด้วย ไม่มีปัญหาหรอกค่ะ”
“อ่า… ลูกซองเหรอ ซัทสึกิให้ฉันไว้น่ะ บอกว่าต่อให้หลับตาก็ยิงโดน นี่ไง ดูสิ”
พอฉันดูที่ปากกระบอกปืนใกล้ๆ ก็เห็นส่วนที่มีรอยบากลึก รูปร่างคล้ายๆ กับปากของจระเข้เลย
“ปากกระบอกปืนลูกซอง GATOR พอติดเสริมเข้าไป จะช่วยกระจายลูกกระสุนลูกปรายออกไปในแนวราบ ยิงไปเป็นพื้นที่กว้างเหมือนกับพัด เปลี่ยนทั้งหมดเป็นพื้นที่สังหารทันที เพราะงั้น ฟังนะ ถ้าเกิดอะไรฉุกเฉินขึ้นมา อย่ายืนขวางหน้าฉัน ไม่ว่ายังไงก็ตาม เพราะฉันลั่นไกแน่นอนไม่ว่าเธอจะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ก็ตาม”
นี่ฉันยืนนำหน้าคนที่กำลังถือของอันตรายขนาดนี้อยู่งั้นเหรอเนี่ย?
“ถ้างั้น คุณมานำหน้าดีมั้ยคะ? เดี๋ยวฉันตามหลังเอง”
คุณโคซากุระส่ายหน้าไปมาอย่างแรงเลย
“ฉันพอทนไหวนะ ถ้าเกิดเจอกับผู้ติดต่อประเภทที่ 1 ในโลกเบื้องหน้าน่ะ แต่ในโลกเบื้องหลังเนี่ย ฉันกลัวจนคุมตัวเองไม่อยู่เลยด้วยซ้ำ แค่หยุดตัวเองไม่ให้กรี๊ดนี่ก็สุดแรงของฉันแล้วล่ะ”
คุณโคซากุระลังเลไปซักพัก ก่อนจะพูดต่อ
“มีหลายครั้งเลยนะที่ฉันคิดว่า ปรากฏการณ์ของโลกเบื้องหลังนี่อาจเป็นการจงใจพยายามทำให้มนุษย์หวาดกลัวก็ได้”
จุดนี้ ฉันเห็นด้วยกับเธอนะ อย่างคราวนี้ไง แต่ก็มีบางอย่างที่ก็แปลกๆ กับคุเนะคุเนะหรือท่านฮัชชาคุเหมือนกัน ยังกับว่าพวกมันพยายามทำให้ผู้คนเห็นร่างที่สามารถทำให้รู้สึกหวาดกลัวได้ขึ้นมา เมื่อตอนที่พวกเราอยู่ที่สถานีคิซารากิ เรื่องเจตนาที่จะทำให้มนุษย์หวาดกลัวและบีบเค้นให้พวกเขาบ้าคลั่งก็ยิ่งรู้สึกได้ชัดเจนขึ้นไปอีก
“…เข้าใจแล้วค่ะ งั้นมาหาตัวโทริโกะให้เร็ว แล้วรีบกลับกันเถอะค่ะ”
“ถ้าได้ยังงั้นจะดีใจมากเลยล่ะ”
คุณโคซากุระพูดพร้อมกับสีหน้าที่จริงจัง
ฉันยืนอยู่บนยอดเนินเขา พลางมองไปรอบๆ บริเวณ ฉันยังไม่เข้าใจภูมิศาสตร์ของโลกเบื้องหลังนี่เท่าไหร่ ฉันคิดว่าจะใช้แลนมาร์คเป็นจุดๆ รอบทุ่งโล่งเพื่อทำแผนที่อยู่นะ แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มทำตามความคิดนั้นเลย คราวก่อนพอเป็นตอนกลางคืน พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไรกันแน่ ส่วนครั้งก่อนหน้านั้น เราก็ไปแค่พื้นที่จำกัดเท่านั้นเอง
“เห็น-… เห็นอะไร-… บ้างหรือเปล่า?”
คุณโคซากุระที่หายใจหอบเลยตามมาทัน แล้วก็ร้องถามมาจากข้างหลัง
“เออ… ทิศเหนือน่าจะเป็นทางนั้น ถ้างั้น…”
ด้วยเข็มทิศที่โยกไปมาในมือ ฉันก็หรี่ตามองหาซักที่นึงที่คุ้นตา ทุ่งหญ้าใต้เนินนี่มีแสงระยิบระยับออกมา ; แสดงว่ามีอะไรซักอย่างที่สะท้อนแสงได้อยู่ตรงนั้นสินะ พอมองเลยจากตรงนั้นไป ก็เห็นเค้าโครงคล้ายๆ กับถังสีเทาอยู่ตรงนั้น
“เจอแล้วค่ะ!”
ฉันหลุดตะโกนออกมาเลย นั่นทางเข้าปกติที่โทริโกะใช้นี่นา โครงตึกที่เชื่อมต่อกับที่จิมโบโจ โชคดีเหมือนกันนะเนี่ย
ตอนนี้ พวกเราอยู่บนเนินเขาทางตะวันตกของตึกนั้น ถ้าจะไปถึงตึกนั่น เราก็ต้องตัดผ่านหนองน้ำนี่ไป ตอนที่ฉันเจอกับโทริโกะครั้งแรก ฉันก็เกือบจะตายอยู่ตรงนั้นไปแล้ว แสงระยิบระยับที่เห็นตรงตีนเขานี่ก็มาจากแอ่งน้ำรอบรากหญ้างั้นสินะ
แสดงว่า ทุ่งที่เจอกับคุณอาบาระโตะ แล้วก็มีกลิตช์เยอะๆ เนี่ยจะอยู่ทางขวา ส่วนตึกขาวๆ เหมือนปะการังที่พาเราไปเจอกับท่านฮัชชาคุก็คงซ่อนอยู่หลังเงาไม้แถวๆ นั้นนั่นแหละ เพราะฉันมองไม่เห็นเลย รางรถไฟที่พาไปหาสถานีคิซารากิเนี่ยไม่เห็นเลยแฮะ ถึงฉันจะจำได้รางๆ ว่าเคยเห็นอะไรคล้ายๆ แบบนั้นตอนที่อยู่ยอดตึกก็เถอะ…
“ไปกันเถอะค่ะ”
พอฉันหันกลับไปจะเร่งให้คุณโคซากุระเดินตามมา ฉันก็เห็นว่าเธอนั่งย่อตัวลงไปคล้ายๆ พวกนักเลง ก้มหน้า หายใจถี่รัวเลย นี่ถ้าการขึ้นเนินเตี้ยๆ แค่นี้ทำให้เธอหอบหายใจไม่ทันขนาดนี้ แสดงว่าเธอก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่แบบที่เห็นจริงๆ นั่นแหละ
“ม- ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ?”
“ให้ตายเถอะ นี่ฉันใส่รองเท้าแตะอยู่นะ”
คุณโคซากุระบ่นอุบ พลางใช้ลูกซองในมือเป็นไม้ค้ำยัน
ฉันค่อยๆ เดินลงเนินช้าๆ ไม่ให้พวกเราออกห่างจากกันมากเกินไป
“โซราโอะจังเนี่ย เดินเก่งอย่างไม่น่าเชื่อเลยนะ”
“เอ๊ะ? ฉันเหรอคะ?”
เทียบกับคุณโคซากุระแล้ว ทุกคนก็น่าจะเดินเก่งกันหมดเลยนั่นแหละนะ
“ตามโทริโกะไปเย้วๆ กันได้ ก็ต้องใช่แล้วล่ะ ยัยนั่นพลังล้นเหลือจะตาย เธอเล่นกีฬาด้วยเหรอ?”
“อาจจะเพราะ… สมัยเตรียมสอบเข้ามหาลัย ฉันชอบออกไปเดินเล่นตอนกลางคืนมั้งคะ อะ แล้วก็ฉันชอบสำรวจตามตึกร้างคนเดียวเป็นงานอดิเรกด้วย ก็เลยค่อนข้างชินกับการเดินตามพื้นที่ไม่ดี”
“งานอดิเรกอันตรายจังเลยนะ สำรวจตึกร้าง คนเดียวงั้นเหรอ แถมเป็นผู้หญิงด้วย? บ้าชัดๆ เลย”
“ก็ ใช่นั่นแหละค่ะ ฉันก็กลัวๆ อยู่เหมือนกัน…”
ตึกร้างเป็นสถานที่ค่อนข้างอันตรายเลย นักเลงชอบไปมั่วสุมกันแถวนั้น คนสติไม่ดีเองบางทีก็ใช้เป็นที่ซ่อนตัวด้วย… อีกอย่าง ถึงฉันจะใช้คำว่าสำรวจให้มันดูดี แต่ที่จริงมันก็คือการบุกรุกนั่นแหละ ฉันอาจจะร่วงลงไปตามพื้นที่ผุพังก็ได้ ไม่ก็ติดบาดทะยักจากตะปูที่ยื่นออกมา มีอันตรายที่ทำร้ายร่างกายเราได้อยู่เต็มไปหมด ถ้าลองคิดดูอย่างใจเย็นแล้วเนี่ย นี่มันบ้าบอที่สุดเลยนะกับการที่เด็กหญิงมัธยมแอบลักลอบเข้าไปในสถานที่แบบนั้นตัวคนเดียวน่ะ
“…ตอนนั้น ฉันมีเรื่องหนักใจอยู่น่ะค่ะ อาจจะเป็นซึมเศร้านิดหน่อยก็ได้”
“โอ๊ะ ทำไมล่ะ?”
“เรื่องที่บ้านค่ะ เกี่ยวกับพวกลัทธิ”
“หืม”
“อ๊ะ ไม่หรอกค่ะ จริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร”
ฉันแก้ตัวออกมาแบบไม่ทันตั้งใจ
“แม่ฉันเสียไปตั้งแต่ฉันยังเด็กเลย จากนั้น พ่อกับย่าก็ไปเข้าร่วมกับลัทธิ แล้วทุกอย่างมันก็แปลกไป พวกเขาโยนแท่นบูชาคามิดานะกับหิ้งพระพุทธรูปออกไป แล้วพวกเขาก็ไปที่นั่นหลายครั้งเลยค่ะ สันเขาทาชิโระ (田代岳) ในเทือกเขาโออุ (奥羽山脈)… บ้านของเราก็กลายเป็นที่รวมตัวกันของพวกคลั่งลัทธิ แล้วเรื่องนี้ก็ลือไปจนถึงหูของคนที่โรงเรียน พวกเขาพยายามตื๊อให้ฉันเข้าร่วมด้วย แต่ฉันน่ะไม่อยากจะเข้าสุดๆ ก็เลยพยายามจะอยู่ให้ห่างจากบ้านให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
TN: พวกเราน่าจะคุ้นกับหิ้งพระอยู่แล้ว แต่อาจจะไม่คุ้นกับ [คามิดานะ (神棚)] ใช่มั้ยครับ? แปลตามตัวอักษร คามิดานะจะแปลว่า “หิ้งของเทพเจ้า” เป็นแท่นบูชาของใช้ในครัวเรือนขนาดเล็กให้เป็นที่ประดิษฐานของพระเจ้าในลัทธิชินโต ใช้เป็นสถานที่สักการะนั่นเอง
ระหว่างที่เดินลงตามเนินเขา ฉันก็ยังพูดอยู่ไม่หยุด เหมือนกับว่าพยายามจะอุดความอึดอัดที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับคุณโคซากุระเท่านั้นเอง
“ครั้งนึง ฉันเกือบจะโดนพวกลัทธิอีกกลุ่มลักพาตัวไประหว่างทางที่เดินกลับมาบ้านจากที่โรงเรียน แล้วก็มีบางคนไปเผามังงะคาเฟ่ที่ฉันไปค้างอยู่ด้วย ฉันก็เลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปค้างคืนที่ตึกร้าง จากนั้น คืนนึงที่โรงแรมม่านรูดที่เจ๊งไปแล้ว ฉันก็ฝันว่ามีคนสีแดงตัวนุ่มนิ่มกำลังกอดฉันอยู่ ฉันก็แบบว่า อ่า นั่นแม่เหรอ? แต่ก็แน่ล่ะค่ะ จะใช่ได้ยังไงล่ะคะว่ามั้ย แม่น่ะตายไปแล้ว แต่ตอนนั้น คนคนนั้นถามฉันว่า เธอไม่ต้องการคนพวกนั้นแล้วเหรอ? ฉันก็ตอบไปว่าไม่ พอตื่น ฉันก็ไม่มีทั้งอาหารทั้งเงินเลย ฉันก็เลยต้องกลับบ้าน พลางคิดด้วยว่าไม่อยากกลับไปที่นั่นขนาดไหน ฉันก็เลยเตรียมน้ำมันก๊าดพร้อมเอาไว้ แล้วจากนั้นก็รอ”
“…น้ำมันก๊าด?”
“แต่ฉันรอมาหลายวันแล้ว สุดท้ายก็ไม่มีใครมาเลย จนตอนที่ฉันคิดว่า ‘จบกันซักที’ ก็ เออ มีตำรวจโทรมาที่บ้าน บอกว่ามีการพบศพ เสียชีวิตเพราะก๊าซที่สะสมตัวอยู่ในแอ่งหุบเขา ตายหมดทุกคนเลย แต่พวกเขาไม่ได้ให้ฉันพบศพนะคะ ตอนนี้ ฉันก็เหลือตัวคนเดียวแล้ว ฉันพอจะเข้าเรียนในมหาลัยได้ด้วยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา แต่คนพวกนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาบริจาคใหญ่จนไม่เหลือมรดกอะไรให้ฉันเลย ฉันหมายถึง ท้ายที่สุด เงินทุนที่กู้เพื่อการเรียน ยังไงก็คือเงินกู้ใช่มั้ยล่ะคะ? ฉันคิดว่าตัวเองคงไม่มีทางจ่ายคืนได้ ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำยังไงต่อดี ก็เป็นตอนนั้นแหละค่ะ ที่ได้เจอกับโทริโกะ”
พอฉันรู้สึกได้ว่าคุณโคซากุระไม่ได้พูดอะไรเลย ฉันก็เลยหยุด
“ข- ขอโทษค่ะ เรื่องคงไม่น่าสนใจเท่าไหร่ คือ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรด้วย เมินๆ มันไปเลยก็-”
“‘ไม่ใช่เรื่องใหญ่’? หมายความว่าไง?”
พอฉันหันกลับไปมอง ก็เห็นคุณโคซากุระจ้องกลับมาด้วยอาการตะลึงจนเหม่อเลย
“เออ อะไรเหรอคะ?”
“เธอคิดยังงั้นจริงๆ น่ะเหรอ”
“เอ่อ… มันมีอะไรแปลกงั้นเหรอคะ? ฉันว่าเรื่องของฉันก็ออกจะมีให้เห็นได้บ่อยๆ”
“ไม่เลยซักนิด”
พอฉันมองเธอด้วยสายตาว่างเปล่า คุณโคซากุระก็ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย
“เธอเนี่ยโชคร้ายจริงๆ เลยนะ”
“นั่นสินะคะ…”
“เอาเถอะ ตอนนี้ ฉันเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเธอถึงอดทนได้ดีจนผิดปกติขนาดนี้น่ะ”
“เอ๊ะ? ฉันไม่เคยมองตัวเองแบบนั้นเลยนะคะ”
“ต้มฉันซะเปื่อยเลยนะ โซราโอะจังไม่ได้มีภาพลักษณ์มั่นอกมั่นใจแบบโทริโกะเลยเนี่ยสิ”
“ค่ะ เทียบกับโทริโกะแล้ว ฉันก็ไม่ได้พิเศษอะไรหรอกค่ะ… อะไรทำให้เธอมีนิสัยแบบนั้นได้กันนะ?”
“ฉันไม่รู้เรื่องนิสัยของยัยนั่นหรอกนะ แต่ยัยนั่นเกิดที่แคนาดา ครอบครัวเป็นทหาร เหมือนจะเป็นหน่วยพิเศษ JTF2 นะ แถมดูเหมือนพวกเขาจะสอนอะไรให้เธอมาเยอะเลยตั้งแต่เด็ก นั่นคงหล่อหลอมเป็นนิสัยของเธอล่ะมั้ง ฉันว่า”
“หืม เพราะงี้เอง เธอถึงใช้ปืนเป็น”
TN: JTF2 หรือ Joint Task Force 2 เป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษฝีมือดีของกองทัพแคนาดา ภายใต้สังกัดหน่วยปฏิบัติการพิเศษแคนาดา (The Canadian Special Operations Forces Command – CANSOFCOM) ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 1 เมษายน 1993 ภารกิจหลักก็คือปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังเชี่ยวชาญในภารกิจจู่โจมโดยตรง (Direct Action : DA), การลาดตระเวนและเฝ้าระวังพิเศษ (Special Reconnaissance : SR), การช่วยเหลือตัวประกัน, การคุ้มกันบุคคลสำคัญ, การป้องกันภายในต่างประเทศ (Foreign internal defense : FID) และภารกิจสำคัญอื่นๆ
ฉันพยักหน้าอย่างพอใจ ดูท่าพวกเขาจะสอนเธอมาดีเลยล่ะ
“งั้นตอนนี้ พวกเขาก็อยู่ที่แคนาดากันงั้นเหรอคะ?”
“ได้ยินว่าเสียหมดแล้วนะ”
“โอ้…”
เพราะอะไรไม่รู้ฉันถึงไม่ได้ตกใจเท่าไหร่ ตอนที่ฉันเจอกับโทริโกะ ฉันก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมา โทริโกะมีรูโหว่เหมือนกับฉัน แต่เธอดูเหมือนจะมีบางอย่างที่ฉันไม่มีอยู่
แล้ว ถ้างั้น… จากมุมมองของโทริโกะแล้ว ฉันเป็นยังไงกันนะ?