[นิยายแปล] ฝ่าปริศนา ตะลุยโลกเบื้องหลัง - ตอนที่ 32 กาล อวกาศ และชายวัยกลางคน
TN: สำหรับคนที่อ่านมังงะนะครับ นิยายสั้นท้ายเล่ม 4 “บทคั่น ก่อนราตรีจะคล้อยลงมา” จะเป็นเหตุการณ์เดียวกันนี้จากมุมมองของฝั่งโคซากุระตั้งแต่ตรงนี้ ยาวไปจนถึงตอนหน้า ไฟล์ 4 : กาล อวกาศ และชายวัยกลางคน [9] เลยนะครับ
พอเราเดินกันจริงๆ ก็มาถึงโครงตึกนั่นได้ในเวลาแป๊บเดียวเอง ฉันเตรียมใจจะเจอกับร่างไร้วิญญาณของชายคนนั้นที่ถูกคุเนะคุเนะฆ่าไปอีกรอบนึงแล้วนะ แต่คราวนี้ ฉันหาเขาไม่เจอแล้วแฮะ
เรามาถึงฐานตึกที่มีคอนกรีตโล้นๆ โผล่ออกมา พอมองดูไปรอบๆ ที่พื้นดินมีเขม่ากระจายอยู่เต็มไปหมดแล้วมันก็มีถังเหล็กตั้งอยู่ตรงนั้นด้วย แต่ไม่มีสัญญาณของโทริโกะอยู่ตรงไหนเลย
“เดี๋ยวฉันขึ้นไปดูจากดาดฟ้าหน่อยนะคะ”
คุณโคซากุระไม่ตอบอะไรฉัน ก่อนจะเดินเตาะแตะไปที่ถังใบนั้น แล้วก็ยื่นหน้ามองเข้าไปข้างใน
“โซราโอะจัง มีที่จุดไฟหรือเปล่า?”
“มีค่ะ แต่ฉันว่าเราไม่มีเวลาก่อไฟหรอกนะคะ”
“เถอะน่า ขอหน่อยสิ”
ฉันล้วงกลักไม้ขีดกันน้ำออกมา ยื่นให้คุณโคซากุระ แล้วก็เริ่มปีนบันไดลิงสนิมเขราะขึ้นไป
…จำไม่เห็นได้เลยว่าการปีนขึ้นตึก 10 ชั้นนี่จริงๆ มันจะยากขนาดนี้เลย จนกระทั่งฉันขึ้นไปจนรู้สึกว่าจะปีนลงมันก็สายไปแล้วเนี่ยแหละ แขนของฉันมันชักจะล้า แถมพอมองลงไปข้างล่าง มันก็สูงกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะจนอึ้งเลย
เอ๊ะ? อะไรเนี่ย? นี่มันบ้าชัดๆ เลย…
บ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย ปีนขึ้นปีนลงบันไดนี้น่ะนะ…?
ฉันก็ไม่ได้นับด้วย แต่นี่น่าจะปีนขึ้นมาได้ซัก 4 ชั้นแล้วมั้ง นี่ถ้าขั้นบันไดหักลงไป หรือฉันหมดแรงจะเกาะเนี่ย ไม่ใช่ฉันต้องลาโลกไปเลยงั้นเหรอ?
ลมตอนเย็นพัดผ่านตัวไป พัดเข้ามาใส่ตัวฉัน ทำฉันตกใจจนกอดบันไดเอาไว้แน่นเลย
คุณโคซากุระเข้าใจฉันผิดแล้วล่ะ ฉันไม่ได้ไม่กลัวซักหน่อย ฉันแค่เข้าตาจนเท่านั้นเอง เพราะแบบนั้นไง พอฉันได้สติอีกที ก็ทนต่อแทบไม่ไหวแล้วน่ะ
ใจเย็นก่อนนะ ฉันหลับตาแล้วก็บอกกับตัวเอง เธอเคยใช้บันไดนี้มาแล้วนี่ ตอนนั้นก็ยังไม่เป็นไรเลยจริงมั้ย? เธอก็แค่ต้องเหยียบขึ้นไปหาขั้นต่อไป เหมือนที่เคยทำเมื่อตอนนั้น
เหมือนกับเมื่อตอนนั้น…
อา จริงสินะ ตอนนั้นมีโทริโกะอยู่ที่นี่ด้วยนี่นา
แค่เพราะไม่มีเธออยู่ด้วยกัน มันก็น่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ?
ตอนที่ยังมีคุณโคซากุระตามหลังมา มันก็พอจะยังหลอกตัวเองได้อยู่ประมาณนึง แต่พอได้มาอยู่คนเดียวแบบนี้ สติก็แตกไปหมดเลย ฉันเพิ่งจะเดินตัดผ่านโลกเบื้องหลังมาเองนะ ในทุ่งที่มีกลิตช์ มีตัวประหลาดอยู่เต็มไปหมดแท้ๆ แต่ตอนนี้ แค่เกาะบันไดอยู่สูงนิดหน่อย แค่นี้ก็ทำเอาฉันกลัวจนขยับไปไหนไม่ได้แล้ว
นี่ฉันขี้ขลาดแบบนี้มาตลอดเลยงั้นเหรอ? ไม่น่าจะใช่แบบนั้นนะ ถ้าเป็นแบบเมื่อตอนนั้นที่ฉันทั้งโกรธทั้งหงุดหงิดกับทุกอย่าง มันก็พาฉันเดินดุ่มๆ เข้าไปทั่วซากตึกร้างตอนกลางคืนได้ด้วยแสงไฟฉายเล็กๆ อันเดียวมาแล้วนะ บันไดนี่น่ะไม่ได้เรื่องใหญ่อะไรเลย
ฉันอ่อนแอลงงั้นสินะ
นับจากที่เจอโทริโกะครั้งแรกมันก็ยังไม่นานเท่าไหร่แท้ๆ แต่พอไม่มีเธออยู่ด้วย เราก็ไม่เอาไหนเลย
ยัยนั่นที่เจอสถานการณ์คล้ายๆ กับฉันอยู่บ้าง แต่ที่เหลือก็ไม่ได้มีอะไรที่เหมือนกับฉันเลยซักนิด
ยัยนั่นที่มีทุกอย่างที่ฉันไม่มี แต่ก็เหมือนจะขาดบางสิ่งไปยิ่งกว่าฉันซะอีก
ยัยนั่นที่สวย ดูดี แข็งแกร่ง ดูจะตรงข้ามกับฉันทุกอย่าง… แต่ถึงยังงั้น พวกเรา 2 คนก็เข้ากันได้ดี
ยัยนั่นที่พูดเรื่องไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่นได้แบบหน้าตาเฉย ไม่ได้เข้าใจฉันเลยแม้แต่นิดเดียว
ยัยนั่นที่จู่ๆ ก็โผล่เข้ามาในชีวิตของฉัน พลิกมันกลับไปอีกด้าน แล้วจู่ๆ ก็มาพลิกมันกลับไปอีกรอบ ก่อนจะหายตัวไปเลยเนี่ยนะ
ยิ่งคิดถึงเธอคนนั้น มันก็ยิ่งโกรธขึ้นมาเลย
ฉันจ้องกลับไปที่มือขวาของตัวเองที่จับอยู่กับขั้นบันไดแน่นไม่ยอมปล่อย ขยับซี่! ปล่อยมือได้แล้ว! ฉันไม่ปล่อยให้จังหวะที่กำมือคลายออกเสียเปล่า ฉันขยับมือขวาไปจับกับขั้นต่อไป ต่อไปก็ข้างซ้าย กางมือ! ขยับเข้า!
เครื่องยนต์ความโกรธของฉันขับเคลื่อนอยู่ในตัวแล้ว ก่อนจะเริ่มเดินหน้า ขวา ซ้าย มือ เท้า ความเร็วของฉันค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาแล้ว เห็นมั้ยหล้า? ถ้าโมโหขึ้นมา ฉันก็ทำได้ดีขึ้นมากๆ เลย
“ต่อให้ไม่มีเธออยู่ด้วย…”
ฉันเริ่มตะโกนขึ้นมาดังๆ
“ต่อให้ไม่มีเธออยู่ด้วย ฉันก็จัดการเองได้น่า”
จัดการคุเนะคุเนะมาแล้ว ปีนบันไดนี่ก็ทำได้เหมือนกัน
“เพราะงั้น… เพราะงั้น…”
ฉันจ้องไปที่หลังคาดาดฟ้าที่ใกล้เข้ามา ก่อนจะร้องออกมาเสียงดัง
“เพราะงั้น… รีบรีบ… กลับมาซะทีสิ! โทริโกะ!”
ในที่สุด ฉันก็คลานขึ้นมาถึงหลังคาดาดฟ้า สูง 10 ชั้นจนได้ แล้วฉันก็ทรุดลงนอนแผ่เลย
ฉันมองดูท้องฟ้ายามเย็นที่มีเมฆครึ้มๆ แล้วก็หลุดขำออกมานิดหน่อยกับตัวเอง
“ฮะฮะ… อะไรกันนะ? พิลึกคนชะมัดเลยนะเรา”
ฉันจัดการคนเดียวเองได้น่า เพราะงั้นกลับมาซะทีงั้นเหรอ?
ยังไงฉันก็จะหาเธอให้เจอให้ได้อยู่ดี แล้วนี่ฉันพูดอะไรของฉันเนี่ย?
ฉันลุกขึ้นยืน ชักมาคารอฟออกมา ปลดเซฟตี้ ชี้ปากกระบอกขึ้นฟ้า อุดหู แล้วก็ลั่นไกออกไปติดกัน 2 นัด
เสียงปืนดังสะท้อนออกไป ก่อนจะมีเสียงโลหะกระทบใสๆ ของปลอกกระสุนที่หล่นกระทบกับหลังคาคอนกรีตดังขึ้นตามมา
ฉันรออยู่อีกซักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงยิงตอบกลับมาเลย
“…เร็วเข้า ฉันเรียกแล้วก็ตอบสิ”
ฉันลดแขนลงมาโดยที่ยังกำมาคารอฟเอาไว้ในมือ และก็เดินไปตามรั้วที่ล้อมอยู่รอบขอบดาดฟ้า จากบนนี้ ฉันเห็นภาพอาณาบริเวณโดยรอบได้ดีเลย แล้วก็เป็นอย่างที่ฉันจำได้จริงๆ ไกลออกไปทางตะวันออก ฉันเห็นแนวรางรถไฟอยู่ด้วย ตามทางนั่นไปก็คือสถานีคิซารากิ ที่พวกนาวิกสหรัฐอาจจะยังกดฟันดิ้นรนกันอยู่ หาทางหนีออกมาไม่ได้สินะ
ทางใต้ก็เป็นพื้นที่เปิดกว้าง พอมองออกไปตามเงามืด ฉันก็เห็นแสงระยิบระยับสีเงินที่แสดงการมีอยู่ของกลิทช์ พอดูอีกทีแล้วเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลยนะว่าพวกเราจะเดินตรงเข้าไปที่นั่นโดยที่ไม่ได้เตรียมการป้องกันอะไรเลยน่ะ ตึกหลังใหญ่สีขาวที่พวกเราเจอเข้ากับท่านฮัชชาคุดูจะมีรูเพิ่มขึ้นมาจากตอนที่ฉันจำได้เยอะเลย ยิ่งดูเหมือนปะการังฟอกขาวตายเลย หลังจากที่คุณอาบาระโตะหายไปในแสงสีฟ้านั่น เกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้างนะ?
ทางตะวันตกก็คือหนองน้ำที่พวกเราเพิ่งเดินฝ่ามา ดวงอาทิตย์ตกสะท้อนแสงกับผิวน้ำเนี่ยสวยจนน่าทึ่งเลย จากนั้น ฉันก็เหลือบไปเห็นเงาร่างบางสีขาวยืนอยู่ตรงนั้นด้วย ฉันก็ตั้งท่าเตรียมตัว เพราะคิดว่าอาจจะเป็นคุเนะคุเนะอีกตัวนึง แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่นะ มันดูเหมือนนกตัวใหญ่ๆ เลย… อาจจะเป็นนกกระสาก็ได้มั้ง? ระหว่างที่ฉันกำลังดูอยู่ มันก็กำลังโค้งหัวลงไปในน้ำ ก่อนจะกลับมายืนตัวตรงอย่างเดิมของมัน นี่ถ้ามันเป็นนกจริงๆ ล่ะก็ นั่นมันจะเป็นสัตว์ตัวแรกที่ฉันได้เจอตั้งแต่มาที่โลกเบื้องหลังเลยนะ แต่ก็ยังประมาทไม่ได้หรอก ฉันจำได้ว่าอะไรมาซักอย่างที่พวกเราเจอมาคราวก่อนน่ะ มันมีนกตัวยักษ์ที่มีกลิ่นน้ำมันโชยออกมาจากตัวด้วย ฉันก็เลยเบือนหน้าหนีมา
ฉันได้ไล่มาตามแนวรั้ว วนรอบจนมาที่ทางทิศเหนือที่ทำให้ฉันยืนนิ่งอึ้งไปเลย ทางเหนือจากตึกนี่ มีป่าโปร่งที่บนพื้นมีหินยื่นขึ้นมาเต็มไปหมด แต่เลยจากตรงนั้นไป มันมีเมืองขยายออกไปอยู่ด้วย
ก็ ถึงฉันจะเรียกมันว่าเมือง แต่มันก็เป็นแค่ภาพแวบแรกเท่านั้นแหละ พื้นที่ของมันไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้น เต็มที่ก็คงพอเรียกว่าหมู่บ้านได้อยู่ล่ะมั้ง พวกเราไม่เคยเดินไปทางเหนือมาก่อนเลย แต่ฉันจำไม่ได้เลยว่าเคยเห็นที่แบบนี้จากหลังคาทางทิศเหนือนะ หลังคาพวกนั้นมันมีแผ่นชิงเกิ้ลมุงหลังคาร่วงลงมาแล้วตรงนู้นตรงนี้ กำแพงเองก็มีคราบน้ำฝนหนักจนเลอะด้วย มันเลยยิ่งยากที่จะคิดว่ามันเพิ่งถูกสร้างมาไม่นาน
ระหว่างบ้านพวกนั้น มีอะไรซักอย่างขยับอยู่ด้วย
ใครบางคนอยู่ตรงนั้น ใคร หรืออะไรซักอย่าง
ด้วยแสงสีแดงที่ฉายมาจากดวงอาทิตย์ยามเย็น ฉันก็เห็นหลังหัวกับผมสีบลอนด์ทองที่มัดไว้เด้งอยู่ด้วย
“โทริโกะ!”
ฉันตะโกนลั่น โน้มตัวข้ามไปรั้วไป
“โทริโโโโโโกะ!”
แล้วฉันก็ชักมาคารอฟออกมาชูเหนือหัว แล้วยิงออกไปทันที
ฉันยิงรัวไม่ยั้งจนหมดแม็กโดยไม่ได้สนใจว่าหูตัวเองจะอื้อไปแล้วเลย จนโครงเลื่อนปืนเด้งมาค้างข้างหลัง แล้วทุกอย่างก็เงียบไป ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเธอได้ยินหรือเปล่า แต่แสงสีแดงนั่นก็ซ่อนอยู่หลังเงาของตึกไปแล้ว
แล้ว ที่พื้นข้างล่าง ฉันก็เห็นการเคลื่อนไหวบางอย่าง คุณโคซากุระกำลังเดินเตาะแตะไปทางป่าที่จะมุ่งเข้าเมืองนั่นแล้ว
“คุณโคซากุระ!”
การตะโกนของฉันไม่ได้รับการตอบสนองเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะอะไรไม่รู้ คุณโคซากุระถึงได้หายเข้าไปในป่านั่นโดยไม่ได้หันหลังกลับมาเลย
ต้องมีอะไรผิดปกติกับเธอแน่ๆ ฉันรีบตรงกลับไปที่ราวบันได หันหลังแล้วรีบก้าวยาวๆ ไปหาบันไดเลย เก็บมาคารอฟกลับเข้าซองปืนติดขา ก่อนจะรีบคว้าบันไดเอาไว้ แล้วฉันก็รีบลงไปอย่างเร็ว จนเกือบเท้าลื่นเลยด้วยซ้ำ ยิ่งลงไปทีละขั้นๆ ฉันก็ยิ่งรู้สึกร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ ถ้านี่มันเป็นเกม ฉันก็คงจะใช้มือ 2 ข้างจับเสาค้ำของบันไดแล้วรูดตัวลงไปพรวดเดียวไปแล้วล่ะ
พอในที่สุดฉันก็มาถึงพื้นซักที ฉันก็มองไปมาที่ชั้น 1 ซึ่งคุณโคซากุระก็ไม่อยู่แล้ว เหลือแค่ใบไม้แห้งที่ส่งเสียงไหม้ดังกรอบแกรบมาจากในถังนี่ ที่ฉันเดาได้แค่ว่าเธอน่าจะเก็บรวบรวมมาจากแถวๆ นี้นี่แหละ ข้างๆ กองไฟก็มีกลักไม้ขีดไฟกันน้ำที่ฉันให้เธอไปก่อนหน้านี้ วางไว้ข้างๆ ปืนลูกซองของคุณโคซากุระที่วางทิ้งเอาไว้ด้วย
ดูจากที่ว่าคุณโคซากุระกลัวมากขนาดไหนก่อนหน้านี้ เธอไม่มีทางเดินออกไปโดยไม่เอาปืนไปด้วยแน่ๆ ฉันรีบเก็บกลักไม้ขีดกับปืนลูกซองขึ้นมา แล้วก็ออกวิ่งตามไป
TN: เพราะ ‘ผู้สมรู้ร่วมคิด’ คือความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกันที่สุดในโลกแล้วยังไงหล้า~!