บทชีวิตใหม่ - ตอนที่ 17
บทที่ 17 วันก่อนสอบเข้าวิทยาลัย
ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีนักเรียนเหลือในห้องเรียนเพียงไม่ถึงครึ่ง คนเหล่านี้ทั้งหมดคือนักเรียนชั้นยอดที่หวังว่าจะสอบผ่านให้ได้และครูจากวิชาต่างๆ เองก็คอยเข้ามาตอบคำถามและแก้ปัญหาให้กับพวกเขาเป็นระยะๆ
เฉินหยูครูสอนภาษาอังกฤษสาวกำลังตรวจดูนักเรียนปี 3 ตามปกติ หลังจากตอบคำถามของคนอื่นๆ แล้วเธอก็เรียกถานเสี่ยวเทียนออกไปนอกห้อง หลังจากมองดูเขาเป็นเวลานาน ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจและพุดว่า “ในทุกๆ คนที่ครูสอน เธอคือนักเรียนวิชาภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด ถ้าไม่ใช่เพราะคะแนนวิชาอื่นๆ ของเธอแย่มาก ครูก็ยากจะให้เธอไปเรียนต่อที่วิทยาลัยเก่าของครู”
ใจของถานเสี่ยวเทียนเต้นแรงขึ้นมา “ครูเฉิน นอกจากมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศเหมิงเฉิงแล้ว ครูสามารถแนะวิทยาลัยภาษาต่างประเทศอื่นๆ อีกสักสองสามที่ได้ไหมครับ?”
เฉินหยูส่ายหัว “ไม่มีประโยชน์ เธอไม่สามารถผ่านการสอบของวิทยาลัยพวกนั้นได้”
…
ทันทีที่ถานเสี่ยวเทียนกลับมานั่งที่ ฉู่ถิงก็เอนตัวเข้าแล้วมาใช้ปลายปากกาจิ้มหลังของเขา “ครูเฉินเรียกนายออกไปทำไมงั้นเหรอ?”
เนื่องจากครอบครัวของเธอยินยอมให้เธอออกมาเรียนกับถานเสี่ยวเทียนในวันเสาร์ได้แล้ว หัวหน้าห้องฉู่คนนี้จึงถือโอกาสนี้ถอดเหล็กจัดฟัน เปลี่ยนแว่นตาที่หนาเท่าก้นขวดเบียร์เป็นคอนแทคเลนส์และผมยาวที่ก่อนนี้ทำเป็นพุ่มไว้ก็ถูกปล่อยให้ยาวลงมาด้วย ทำให้เสน่ห์และความสวยงามที่เคยถูกซ่อนไว้ก่อนหน้านี้ได้เผยโฉมต่อโลกอีกครั้ง
เมื่อการสอบเข้าวิทยาลัยใกล้เข้ามา สติของนักเรียนจำนวนมากก็จะจดจ่ออยู่กับตัวเองเท่านั้น
มันจึงทำให้ความกล้าหาญของฉู่ถิงในครั้งนี้ไม่ก่อให้เกิดความวุ่นวายมากนัก
ถานเสี่ยวเทียนมองไปทางซ้ายและขวาอย่างลึกลับ จากนั้นก็เอนตัวไปที่หูของฉู่ถิง “ครูเฉินบอกบางอย่างกับฉัน”
“อ๊า~~~!” เสียงร้องนี้ค่อนข้างแปลกประหลาดและน่าฟัง แต่ที่มากกว่านั้นคือความปรารถนาที่ไม่อาจทานทนที่แฝงเอาไว้
ฉู่ถิงรีบปิดปากของตัวด้วยความตกใจ จากนั้นเธอก็ปิดหน้าแล้วก้มลงด้วยความเขินอาย
มันน่าอายมาก!
ลมจากปากของถานเสี่ยวเทียนนั้นร้อนเกินไป เมื่อมันพุ่งเข้ามาที่หูและทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะร้องเสียงนั้นออกมา!
“หัวหน้าห้องตั้งใจฟังสิ! ครูเฉินบอกว่าให้อ่านบทความ 3 เรื่อง เรื่องแรกคือความอดทนและการเอาชนะความเปราะบางในจิตใจ และเรื่องที่สองคือ…” เสียงก่อนหน้านี้ของฉู่ถิงทำให้หัวใจของถานเสี่ยวเทียนสั่นไหวไปครู่หนึ่ง แต่เขาก็กลับมาจริงจังอีกครั้งในทันที
อะไรของเธอเนี่ย! เธอรู้ไหมว่าฉันต้องใช้เซลล์สมองหมดไปกี่เซลล์กว่าจะนึกถึงบทความสามเรื่องนี้ได้ และถ้าฉันบอกเธอเร็วไป ฉันก็กลัวว่าเธอจะลืมมัน ถ้าบอกช้าฉันก็กลัวว่ามันจะสายเกินไป และที่ยิ่งยากไปกว่านั้นคือฉันต้องหาวิธีบอกเรื่องนี้โดยที่มันจะไม่กระตุ้นความสงสัยของเธออีกด้วย แต่เธอ… เธอกลับหลอกล่อฉันด้วยเสียงที่… เสียงที่น่าหลงใหลนั่นงั้นเหรอ?
เขาไม่รู้เลยว่าฉู่ถิงนั้นได้ฟังสิ่งที่เขาพูดออกไปหรือเปล่า เพราะตอนนี้ดวงตาของเธอดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความหลงใหลบางอย่าง
ในอีกไม่กี่วันต่อมา ถานเสี่ยวเทียนพยายามจะใช้ข้ออ้างมากมายเพื่อบอกเกี่ยวกับเรียงความภาษาจีนและประเด็นสำคัญหลายอย่างของประวัติศาสตร์และการเมือง เขาเชื่อว่าด้วยความสามารถของฉู่ถิงและด้วยคะแนนบวกเพิ่มอีก 150 คะแนนนี้ มันจะต้องทำให้เธอสามารถเข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยครูเหยินชิงได้สำเร็จอย่างแน่นอน
วันที่ 29 มิถุนายน เลขที่นั่งสอบถูกประกาศออกมา ผู้เข้าสอบจากโรงเรียนมัธยมแห่งแรกเมืองซานเฉิงถูกจัดให้เข้าสนามสอบหมายเลข 14 และนักเรียน 59 คนจากชั้นเรียนศิลปศาสตร์ก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ห้อง
หลังจากรายชื่อประกาศออกมาถานเสี่ยวเทียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก โชคดีที่เขากับฉู่ถิงได้สอบที่ห้องเดียวกัน โดยฉู่ถิงจะนั่งอยู่ด้านหน้าขวาห่างไปสองตำแหน่งจากโต๊ะที่เขานั่ง
ตั้งแต่วันที่เขาสอนรหัสมอร์สให้ฉู่ถิง เขาก็คาดไว้แล้วว่าความน่าจะเป็นที่พวกเขาจะได้อยู่ในห้องสอบเดียวกันนั้นน่าจะอยู่ที่ 50%
หลังจากที่รู้ตำแหน่งที่นั่งของตัวเองแล้ว ถานเสี่ยวเทียนก็พยายามจะเข้าไปคุยฉู่ถิงกับหลายครั้ง แต่เขาก็ลังเลและไม่กล้า
วันนี้ถานเสี่ยวเทียนยังคงทำทุกๆ อย่างเป็นปกติ เขาทบทวนบทเรียนกับฉู่ถิงและออกไปสูบบุหรี่กับจางต้าเผิงและหม่าเหว่ยอย่างลับๆ เหมือนเดิม
แต่จริงๆ แล้วในใจของเขากำลังลังเล เขาลังเลว่าจะบอกเรื่องหนึ่งฉู่ถิงยังไงดี
เพราะด้วยคะแนนในปัจจุบันของเขานั้นมันไม่มีปัญหาอะไรเลยที่จะเขาจะเข้าวิทยาลัยการกีฬาที่ดีที่สุดในตงไห่ แต่ถ้าเข้าต้องการที่จะเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยตงไห่นั้นมันยังไม่พอ เพราะมหาวิทยาลัยตงไห่เป็นสถาบันที่ดีที่สุดในจังหวัดตงไห่ และคะแนนการรับเข้าเรียนขั้นต่ำอย่างน้อยก็ต้องมีถึง 600 คะแนน แต่คะแนนการทดสอบจำลองที่ดีที่สุดของเขาตอนนี้อยู่ที่ 511 คะแนนซึ่งเมื่อรวมกับคะแนนด้านกีฬา 20 คะแนนมันก็ยังขาดอีกมาก
คะแนนคณิตศาสตร์ของเขานั้นแกว่งไปมาระหว่าง 40 ถึง 50 คะแนน หากเขาสามารถทำวิชาคณิตศาสตร์และวิชาอื่นๆ ให้เกิน 100 คะแนนได้ คะแนนรวมของเขาก็จะเกิน 600 คะแนน
ถึงแม้ว่าฉู่ถิงจะช่วยเขาทบทวนบทเรียนมาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา แต่วิชาคณิตศาสตร์ของถานเสี่ยวเทียนก็ยังแย่มากและมีเพียงวิธีเดียวที่จะได้คะแนนสูงๆ คือเขาต้องโกงด้วยรหัสมอร์ส
ข้อสอบเข้าวิทยาลัยคณิตศาสตร์มีคำถามแบบปรนัยอยู่ 12 ข้อ แต่ละข้อมี 5 คะแนน รวมเป็น 60 คะแนน และคำถามที่เป็นการเติมคำในช่องว่างอีก 4 ข้อรวมเป็น 20 คะแนน คำตอบของคำถามเหล่านี้ง่ายและสามารถส่งผ่านรหัสมอร์สได้
ถานเสี่ยวเทียนวางแผนนี้ไว้หลายเดือนแล้ว แต่เมื่อการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใกล้เข้ามา เขากลับไม่กล้า
เขาไม่ต้องการที่จะให้ฉู่ถิงมาช่วยเขาทำอะไรแบบนี้ ฉู่ถิงเป็นนักเรียนที่ดีและไม่เคยโกง ถ้าเธอถูกผู้คุมสอบจับได้ อนาคตของเธอจะต้องถูกทำลายแน่นอน
ถานเสี่ยวเทียนไม่ต้องการรับความเสี่ยงนี้
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนมาทั้งวันแล้ว ถานเสี่ยวเทียนก็ตัดสินใจยอมแพ้
ทันทีที่เขาคิดได้แบบนี้ สมองของเขาก็โล่งและความรู้สึกผิดก็หายไปอย่างสมบูรณ์
จากนั้นถานเสี่ยวเทียนก็เริ่มฝึกแก้ปัญหาคณิตศาสตร์วันละ 2 ฉบับใหญ่ๆ ที่แค่เห็นก็ปวดหัวแล้ว ถึงเขาจะไม่รู้ว่ามันจะได้ผลหรือไม่ แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย
วันที่ 3 กรกฎาคม เหลืออีก 3 วันก่อนที่การสอบเข้าวิทยาลัยจะมาถึง เวลานี้แม้แต่นักเรียนชั้นยอดอย่างฉู่ถิงก็ยังไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือ ทั้งชั้นเรียนมีเพียงถานเสี่ยวเทียนที่ยังทำตัวเหมือนพระภิกษุแก่พรรษาได้ เขายังคงมีสมาธิอ่านหนังสือและทำแบบฝึกได้อย่างปกติ
เมื่อเวลา 18.00 น. มาถึง ถานเสี่ยวเทียนก็ถูกจางต้าเผิงและหม่าเหว่ยลากออกจากห้องเรียนและไปที่ร้านอาหารเล็กๆ ใกล้กับโรงเรียนมัธยมแห่งแรกเมืองซานเฉิง
ร้านอาหารเล็กๆ เต็มไปด้วยลูกค้า นักเรียนมัธยมปลายเกือบทุกคนมารวมกันที่นี่เป็นกลุ่มละสามหรือห้าคน บางคนดื่ม บางคนร้องเพลงและบางคนก็เล่นกีตาร์
พวกถานเสี่ยวเทียนทั้งสามคนรอไม่นานก่อนที่พนักงานเสิร์ฟจะพาพวกเขาไปที่โต๊ะตรงมุมร้าน
จางต้าเผิงหยิบเมนูขึ้นมาแล้วอ้าปากสั่ง “เนื้อต้ม ไส้กรอก กุ้งแม่น้ำทอด เป็นตุ๋นกับเบียร์อีกหกขวด”
“ไม่! อาหารที่แกสั่งมันมันเกินไป เราไม่ได้อยากอ้วนเหมือนแกนะ” หม่าเหว่ยเรียกพนักงานเสิร์ฟกลับมาอีกครั้ง “ที่ร้านนี้มีอาหารที่ไม่ค่อยมันแต่อร่อยอะไรบ้าง…”
ก่อนที่หม่าเหว่ยจะพูดจบ จางต้าเผิงก็ขัดออกมา “ไม่ต้องเลย มื้อนี้อาจารย์เผิงคนนี้เป็นคนจ่าย อาหารก็ต้องเป็นของที่ฉันชอบ”
พนักงานเสิร์ฟที่อยู่ตรงกลางระหว่างจางต้าเผิงและหม่าเหว่ยก็รู้สึกอายขึ้นมา
ถานเสี่ยวเทียนช่วยหยุดทั้งสองคน “อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อยเลย วันนี้ปล่อยให้คนอ้วนจ่ายไปก่อนเถอะ วันหลังเราค่อยผลัดกัน”
เมื่อถานเสี่ยวเทียนพูด หม่าเหว่ยก็ยอมอ่อนลง ทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะและในไม่ช้าอาหารก็พร้อม
จางต้าเผิงยืนขึ้นเพื่อจะรินเบียร์ให้ถานเสี่ยวเทียน แต่ถานเสี่ยวเทียนก็คว่ำแก้วลงบนโต๊ะก่อนแล้วมองไปที่จางต้าเผิงด้วยรอยยิ้ม “เจ้าอ้วนฉันดื่มไม่ได้จริงๆ เมื่อการสอบเข้าวิทยาลัยสิ้นสุดลง ฉันจะเป็นคนเลี้ยงนายเอง”
“ไม่ได้ สามปีของม.ปลายของเรากำลังจะแยกจากกันในไม่นานนี้แล้ว ยังไงวันนี้นายก็ต้องดื่ม” จางต้าเผิงไม่ยอม วันนี้ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องให้ถานเสี่ยวเทียนดื่มกับเขาให้ได้
เป็นหม่าเหว่ยที่ไม่เห็นด้วยและหยุดจางต้าเผิงเอาไว้ “เจ้าอ้วน แกไม่เห็นหรือไงว่าพี่เทียนตั้งใจขนาดไหน? หากพี่เทียนไม่ต้องการจะดื่มในวันนี้ เอาไว้หลังสอบเสร็จเราค่อยมาดื่มกันก็ได้”
“โทษทีเจ้าอ้วน แต่วันนี้ไม่ได้จริงๆ” ถานเสี่ยวเทียนตบจางต้าเผิงเบาๆ และโบกมือให้เขานั่งลง
จางต้าเผิงหยิบขวดเบียร์ขึ้นมาและมองไปที่หม่าเหว่ย จากนั้นก็มองไปที่ถานเสี่ยวเทียน ยังไงเขาก็ยืนกรานที่จะให้ทั้งสองคนดื่ม!
“ฉันจะดื่มแทนเขาเอง” เสียงสดใสดังดังขึ้นข้างหลังพวกเขา และทั้งสามคนก็หันหันหน้าไปมอง เป็นฉู่ถิงในลุคใหม่ที่กำลังยืนบิดมือทั้งสองข้างที่ขาวราวหิมะอยู่ใต้โคมไฟหลอดไส้ขนาด 50 วัตต์พร้อมกับจ้องมองไปที่เท้าของตัวเองด้วยความเขินอาย แสงสลัวๆ ส่องมาจากโคมไฟเหนือหัวของเธอ มันทำให้เธอดูราวกับเทพธิดา ราวกับเจ้าแม่กวนอิมที่กอบกู้สรรพชีวิตทั้งมวล