บทชีวิตใหม่ - ตอนที่ 32
บทที่ 32 การเดินทางสู่ปิ่นเฉิง 3
โดยรวมแล้ว ทริปของชั้นปี 3 สู่ปิ่นเฉิงนั้นค่อนข้างราบรื่น ในวันแรกพวกเขาไปที่กวนจี๊ตี้เพื่อเยี่ยมชมท่าเรือและป้อมปราการโบราณ ในวันที่สองพวกเขาไปชายหาดเพื่อว่ายน้ำและกินอาหารทะเล วันที่สามและวันที่สี่พวกเขาไปที่จัตุรัสซิงเยว่
นักเรียนมีช่วงเวลาที่ดี แม้ว่าจะมีบางตอนที่ไม่น่าพอใจ แต่โชคดีที่พวกเขาทั้งหมดเป็นแค่เด็กอายุ 17
18 ถึงพวกเขาจะเจอเรื่องแย่ แต่อีกไม่นานก็ลืม
เพราะเรื่องที่เกิดก่อนหน้าทำให้ฉู่ถิงและถังอี้รู๋ไม่พูดไม่คุยกัน แต่มีสิ่งที่พวกเธอเห็นพ้องต้องกันโดยปริยายนั่นคือ พวกเธอทั้งสองทำเป็นไม่สนใจถานเสี่ยวเทียน
ส่วนถานเสี่ยวเทียนนั้นก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้เลย เขาใช้เวลาสองสามวันที่ผ่านมาไปกับการออกไปดื่มและสนุกสนานอย่างเต็มที่กับจางต้าเผิงและหม่าเหว่ย
ความจริงเขาเองก็ต้องการที่จะอธิบายเรื่องถังอี้รู๋ให้ฉู่ถิงฟังเช่นกัน แต่หลินว่านหงนั้นคอยติดตามและเฝ้าระวังพวกเขาอยู่ตลอดเวลาทำให้เขาไม่มีโอกาส ดังนั้นเขาจึงลืมมันไปซะ! แค่คิดว่ากรรมในอดีต มันส่งผลมาถึงปัจจุบัน
ในตอนเย็นหลังจากกลับถึงซานเฉิง นักเรียนชั้นปี 3 ได้จัดอาหารค่ำมื้อใหญ่อีกครั้ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการส่งท้ายทริปการท่องเที่ยวปิ่นเฉิงครั้งนี้ ฉู่ถิงเองกเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้กับนักเรียนอีก 25 คนด้วย
งานเลี้ยงในคืนแรกที่มาถึงปินเฉิง เพราะฉู่ถิงไม่ได้มาร่วมด้วยมันเลยกลายเป็นงานเลี้ยงที่วุ่นวาย คราวนี้เมื่อมีหัวหน้าห้องอยู่ด้วยทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป
ฉู่ถิงแนะนำเพื่อนนักเรียนทุกคนควรจะจัดโปรแกรม ร้องเพลง เต้น…. แค่พูดสองคำ ข้อเสนอนี้ก็ได้รับการตอบรับจากทุกคน
ฉู่ถิงเริ่มวางแผนกิจกรรม อย่างแรกให้เป็นการร้องเพลง
แม้ว่าฉู่ถิงจะอ่อนแอและทำอะไรไม่ค่อยถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าถานเสี่ยวเทียน แต่อย่าลืมว่าเธอเป็นหัวหน้าห้องมาสามปีแล้ว เธอจะไม่มีความสามารถในการจัดระเบียบและวางแผนเลยอย่างนั้นเหรอ?
แม้ว่าภายนอกถานเสี่ยวเทียนจะดูเหมือนนิ่งเฉย แต่ในใจเขากำลังถอนหายใจ ตามที่คาดไว้ไม่มีใครสามารถรุกรานผู้หญิงได้
อย่างที่สองคือการบรรยายบทกวีของซุนรุย ‘ทะเลหมอกสุดปลายแผ่นดินอยู่ห่างไกล เมื่อไหร่จะสำเร็จ คิดถึงบ้านเกิด หัวเราะอย่างเมามายต่อหน้าผู้คนนับหมื่น หาเพื่อไม่มีนอกจากจอกเหล้าในมือ’
บทกวีมาในเวลาที่เหมาะมากจนทำให้เด็กสาวสองสามคนที่อารมณ์อ่อนไหวต้องตาแดง
กิจกรรมมากมายถูกนำออกมาแสดงที่ล่ะอย่าง ทุกๆ คนรู้ดีว่าหลังอาหารมื้อนี้ บางคนอาจจะได้เจอกันอีก แต่บางคนอาจไม่ได้เห็นหน้ากันอีกเลย ดังนั้นไม่ว่าใครจะเล่นอะไรหรือแสดงได้เก่งแค่ไหน คนคนนั้นก็จะได้รับเสียงปรบมืออย่างอบอุ่นจากทุกคน
ถึงคราวของจางต้าเผิง เขาขึ้นมาแสดงตลกซึ่งทำให้ทุกคนหัวเราะและคลายความกังวลเกี่ยวกับการแยกจากกันไปได้มาก
ในทางกลับกัน หม่าเหว่ยนั้นกลับดูเข้งขรึม เขาหยิบแก้วเบียร์สามแก้วขึ้นมาแล้วพูดเสียงดังว่า “ฉันร้องเพลงหรือพูดอะไรไม่ได้ดังนั้นฉันจะขอดื่มทั้งหมดนี้ให้ทุกคน”
เขาดื่มสามแก้วรวดเดียว
เมื่อถึงรอบของถานเสี่ยวเทียน เขาเองก็ต้องการจะดื่มสามแก้วให้ทุกคนเหมือนกันหม่าเหว่ย แต่กลับถูกทุกคนปฏิเสธโดยบอกว่าไม่สามารถแสดงซ้ำกันได้
งั้นเขาจะท้องบทกวี!
ถานเสี่ยวเทียนกระแอมในลำคอ “เมื่อหลี่ไป๋กำลังจะลงเรือ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องเพลงจากชายฝั่ง…”
มีคนหนึ่งขัดขึ้นมา “ถานเสี่ยวเทียนเราโตกันหมดแล้วนะ นายจะท่องบทกวีของเด็กออกมาแบบนี้ได้ยังไง….”
ถานเสี่ยวเทียนขอลองอีกครั้ง “ขอฉันคิดลองอีกครั้งนะ… สหายเก่าของข้าออกจากหอกระเรียนเหลืองทางทิศตะวันตกไปที่หยางโจวในเดือนมีนาคม… “
คราวนี้เป็นโจวหยุนที่ถือชามซุปขึ้นมาข่มขู่ “ถานเสี่ยวเทียน ถ้านายกล้าอ่านจนจบ เชื่อมั้ยว่าฉันจะเทซุปร้อนชามนี้ลงบนใบหน้าของนาย!”
ทุกๆ คนเห็นด้วยอย่างสนุกสนาน “เปลี่ยนอย่างอื่นมาแสดงเลยนะถานเสี่ยวเทียน”
“ขอนึกดูก่อนนะ…” ถานเสี่ยวเทียนลูบหัวแล้วนึกถึงกลอน “มองเห็นหรือไม่” ในชาติก่อน มู่หยูชอบกลอนนี้มาก เธอมักจะบังคับให้เขาท่องมันให้เธอฟังบ่อยๆ
.ไม่สำคัญว่าเธอจะมองมาที่ฉันหรือไม่
.ฉันยังคงยืนอยู่ตรงนั้น
.ไม่สุขไม่เศร้า
หลังจากที่ถานเสี่ยวเทียนเริ่มท่องกลอนในย่อหน้าแรก เสียงทั้งหมดก็ค่อยๆ เบาลง
พวกเขาไม่เคยได้ยินบทกวีนี้มาก่อน แต่พวกเขาก็รู้สึกประทับใจกับความเฉยเมยในบทกวีอย่างมาก
.ไม่สำคัญว่าเธอจะคิดถึงฉันหรือไม่
.ความรู้สึกยังคงอยู่ตรงนั้น
.ไม่เปลี่ยนแปลง
หลังจากฟังย่อหน้าที่สองของบทกวี ซุนรุยก็เหยียดหลังตรงพร้อมกับกลั้นหายใจ
.ไม่สำคัญว่าเธอจะรักฉันหรือไม่
.ความรักยังคงอยู่ตรงนั้น
.ไม่เพิ่มหรือลดน้อยลง
ฉู่ถิงและถังอี้รู๋มองหน้ากัน มีประกายไฟในดวงตาของพวกเธอ
.ไม่สำคัญว่าเธอจะไปกับฉันหรือไม่
.มือของฉันยังคงวางไว้บนมือของเธอ
.ไม่จากไปไหน
เด็กผู้หญิงบางคนปิดปากด้วยความประหลาดใจ
.เธอจะเข้าสู่อ้อมกอดของฉัน
.หรือจะให้ฉันเข้าไปอยู่ในใจของเธอ
.ความเงียบ
.ความรัก
.ความสงบ
.ความสุข
หลังจากอ่านบทกวีทั้งหมดแล้ว ทั้งห้องก็เงียบสนิท ไม่มีใครกล้าส่งเสียงใดๆ หลังจากผ่านไปนาน ทุกคนก็ตื่นขึ้นราวกับฝัน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่ปรบมือ แต่ไม่นานเสียงปรบมือก็ดังไปทั่ว
ฉู่ถิง ถังอี้รู๋และสาวๆ อีกหลายคนหน้าแดงดวงตาที่สดใส บทกวีที่เรียบง่ายนี้ทำลายกำแพงหัวใจของพวกเธออย่างสมบูรณ์ ดวงตาของพวกเธอแตกต่างไปเมื่อมองไปที่ถานเสี่ยวเทียน
“เสี่ยวเทียน บทกวีนี้ชื่ออะไร? ท่องอีกรอบได้ไหม?” ซุนรุยต้องจะจำบทกวีของถานเสี่ยวเทียน
“เห็นหรือไม่เห็น”
เมื่อท่องเป็นครั้งที่สอง เด็กผู้หญิงทั้งหมดเข้ามาก็รวมตัวกันรอบๆ ถานเสี่ยวเทียน
“โจวหยุนช่างงดงามเพียงใดช่างดูมึนเมา”
ฉู่ถิงพูดซ้ำในความเงียบ “ความเงียบ ความรัก… ความสงบ ความสุข…”
เมื่อเธอมองไปที่ถานเสี่ยวเทียน ดวงตาของถังอี้รู๋เองก็เต็มไปด้วยความงดงามเช่นกัน
“ถานเสี่ยวเทียน นายเขียนบทกวีนี้เองเหรอ? ฉันไม่เคยได้ยินบทกวีนี้มาก่อน” ซุนรุยคัดลอกบทกวีนี้ใส่สมุดเล่มเล็กๆ เงยหน้าขึ้นและยืนยันอีกครั้ง “เป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไม่เคยอ่านบทกวีที่ดีขนาดนี้”
ซุนรุยตระหนักว่านี่คือบทกวีสมัยใหม่ที่มีเสน่ห์มาก ซึ่งไม่เคยตีพิมพ์ในวารสารบทกวีมืออาชีพมาก่อน ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่ประทับใจกับมันขนาดนี้
ถานเสี่ยวเทียนหยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าของเขา จุดไฟ พ่นควันออกมาหนึ่งคำแล้วมองไปที่ซุนรุยที่เต็มไปความสงสัย “ฉันเป็นคนเขียนมันเอง เป็นอะไรไป นายจะตีฉันเหรอ?”
หลังจากเงียบไปนาน ทั้งห้องก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา บรรยากาศที่สร้างโดยถานเสี่ยวเทียน ถูกทำลายโดยตัวเขาเอง
นี่เป็นครั้งแรกในรอบลายวันที่ฉู่ถิงยอมพูดถึงถานเสี่ยวเทียน “เจ้าบ้า”
เมฆครึ้มในใจของเธอหายไปแล้ว
การโชว์อย่างท้ายสุดคือการร้องเพลง “มิตรภาพตลอดไป” โดยถังอี้รู๋ เสียงแหลมสูงที่ไพเราะทำให้งานเลี้ยงนี้จบลงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
การเดินทางมาเที่ยวที่ปิ่นเฉิงครั้งนี้จบลงด้วยดี