บัญชามังกรเดือด - บทที่ 159 ทำแบบไหน
บทที่ 159 ทำแบบไหน
เข็มหางแมงป่องคำรามเสียงต่ำ อยากจะโจมตีฉินเทียนก่อน
แต่ว่า เมื่อฉินเทียนลงมือเอง เธอก็ล้มลงอย่างง่ายดาย ดวงตาทั้งคู่ก็เบิกตากว้าง ความตายที่กำลังจะมาถึง ผู้หญิงคนนี้มีทั้งความกลัวและความเสียใจ
เผชิญกับความกลัวที่จะต้องตาย
รวมถึง ความเสียใจที่คุกคามเข้ามาในอาณาจักรมังกรตะวันออก!
หากว่าให้โอกาสเธออีกครั้ง หากเธอรู้มาก่อนหน้านี่ คู่ต่อสู้ของแคว้นมังกร มันน่ากลัวแบบนี้ ต่อให้ต้องตีนางจนตาย นางก็ไม่มีทางมาเด็ดขาด
ทั้งหมดจบลงแล้ว
ฉินเทียนไม่ได้พิจารณาว่าจะเว้นชีวิตของเข็มหางแมงป่องไว้ เพื่อหลอกถามที่มาของปรมาจารย์พิษ
เพราะดูจากท่าทีของงูเห่าแล้ว เขารู้ว่า เข็มหางแมงป่องก็น่าจะไม่รู้เหมือนกัน
จากความปลิ้นปล้อนของปรมาจารย์พิษแล้ว คงไม่บอกร่องรอยให้กับนักฆ่าอย่างง่ายดายแน่
เมื่อมองบนโต๊ะ โทรศัพท์ยังคงเล่นภาพเมื่อคืนอยู่ สายตาของฉินเทียนก็มีความประหลาด
สิ่งที่เขาถ่ายเมื่อคืนนั้น ก็แค่อยากจะให้อะฝูนำมาให้พานเหม่ยเออร์ดู อันที่จริงแล้ว ก็แค่จงใจกระตุ้นพานเหม่ยเออร์เท่านั้น
ให้พานเหม่ยเออร์ได้ดูด้วยตาของตัวเอง ว่านักฆ่าที่เธอเชิญมาจ่ายไปห้าร้อยล้านหยวน ก็ถูกจัดการไปทีละคนๆ
เขาก็คิดไม่ถึงว่า คลิบวิดีโอนี้ ยังมีประโยชน์อย่างอื่นอีกด้วย
ขณะที่เข็มหางแมงป่องได้เห็นคลิบวิดีโอนี้ เธอก็ไม่ลังเลเลย คิดว่าพานเหม่ยเออร์เป็นกบฏ
ซูซูโทรศัพท์เข้ามา พูดด้วยความเหนื่อยหน่ายว่า:“นายไปไหน?”
“นายรีบกลับมาเถอะ หากยังไม่มา คนในบ้านจะตายกันแล้ว”
“อะไร?!” ฉินเทียนตกใจมาก “ที่รัก รีบพูดเร็ว เกิดอะไรขึ้น?”
หรือว่า นอกจากเข็มหางแมงป่องแล้ว อีกฝ่ายยังมีปลาที่รอดแหไปอีก?ไม่น่าจะเป็นไปได้
ซูซูหัวเราะแล้วพูดว่า:“กลับมาค่อยว่ากัน”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะ ฉินเทียนก็สิ่งที่คิดในใจเก็บเอาไว้
แต่ว่าเขาก็ยังไม่ได้วางใจอยู่ดี จากนั้นก็รีบสั่งสหายกลุ่มมังกรที่อยู่ในเมือง ให้ส่งเฮลิคอปเตอร์มารับเขากลับไป
ตะวันแยงก้นเพิ่งจะตื่น
เมื่อรอให้ฉินเทียนกลับมาที่อุทยานมังกร เมื่อไดเห็นฉากตรงด้านหน้า ก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
ทั้งสองคนที่จะปะทะกัน โดยไม่มีใครยอมใคร เมื่อมองไปแล้ว สามารถปะทุสงครามนองเลือดได้ทุกเมื่อ
ตามที่ซูซูได้บอกไว้ หากเขาไม่กลับมา อาจจะมีคนตายก็ได้
เมื่อได้เห็นเขา ฉานเจี้ยนก็พูดด้วยความตื่นเต้น:“เจ้าสำนัก!”
“คุณกลับมาแล้ว!”
“ไอ้พวกนี้มีสถานะไม่ชัดเจน อยากจะบุกเข้ามาในอุทยานมังกร เพื่อพิจารณาความปลอดภัย พวกเราต้องขัดขวางเอาไว้!”
ด้านหลังของฉานเจี้ยน ชุยหมิง ผีหวูฉาง เถียหนิงซวงและคนอื่นๆ ต่างก็กำลังโกรธมาก
เพราะว่า พวกเขายังไม่เคยเห็น คนที่ยโสโอหังขนาดนี้
“เจ้าสำนัก?” เมื่อได้ยินคำพูดของฉานเจี้ยน ใบหน้าของแปลกใจ
“คุณฉิน พวกเขาคือ….”
ฉินเทียนพูดอย่างโมโหว่า:“พวกนายมาได้ยังไง!”
เหลิ่งเฟิงทำความเคารพ แล้วพูดเสียงดังว่า:“เป็นคำสั่งราชาหมาของพวกเรา!”
“เขาบอกว่า เมื่อก่อนพวกเราช่วยเหลือไม่ได้เรื่อง จึงจะไล่พวกเราออกจากบริษัท จากนั้นก็สั่งให้พวกเรามาหาคุณฉินว่าจะจัดการอย่างไร”
“คุณฉิน นี่โทรศัพท์ของพี่กั่ว”
พูดไป เหลิ่งเฟิงก็เอาโทรศัพท์ส่งให้ฉินเทียน
ฉินเทียนเอาโทรศัพท์วางไว้ที่หูแล้วพูดว่า:“เอ้อร์กั่ว จะทำยังไง?”
เฉินเอ้อร์กั่วหัวเราะแล้วพูดว่า:“พี่ใหญ่ หลังจากที่เห็นพี่ ฉันก็ตัดสินใจแบบนี้ แค่เพียงว่า เจ้าลูกกระต่ายน้อยเหลิ่งเฟิงในตอนนั้น ยังมีเงินเดือนบางส่วนที่ยังไม่ได้ให้”
“อีกอย่าง กลัวว่านายจะปฏิเสธ จึงยังไม่ได้บอกนายทันที”
“ตอนนี้ งานของพวกทำกันเสร็จแล้ว ฉันเลยจะส่งพวกเขาให้นาย นายจัดการเองก็แล้วกัน”
“แต่ว่าตกลงกันแล้วนะ หากนายไม่รับ ถ้างั้นก็ให้พวกเขาไปอยู่กันเองไม่ต้องไปสนใจ”
“ลูกน้องโล่ฟ้าของฉัน ไม่มีตำแหน่งให้พวกเขาแล้ว!”
ฉินเทียนหัวเราะ
เขารู้ดีว่า เฉินเอ้อร์กั่วนำลูกน้องกลุ่มปฏิบัติการพิเศษ ถือว่าเป็นผู้ดูแลความปลอดภัยของโล่ฟ้า กลุ่มคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด ส่งมาให้ตัวเอง
พูดให้ชัดเจนก็คือ เพราะว่าเขาเป็นห่วงตนเอง ดังนั้น กังวลเรื่องความปลอดภัยของตนเอง
เพราะเรื่องเมื่อก่อนที่เคยเกิดขึ้น ฉินเทียนรู้สึกว่า การที่เหลิ่งเฟิงรอให้คนมานั้น เพื่อมาชดเชยช่องโหว่วเรื่องความปลอดภัย
อุทยานมังกรที่โออ่าเช่นนี้ ต้องการยามรักษาความปลอดภัยที่เชี่ยวชาญ
เขาไม่อยากให้เป็นแบบคืนนั้น เรื่องที่เข็มหางแมงป่องบุกเข้ามาอีก
สามารถพูดได้ว่า เมื่อคืนวาน หากว่าเขากลับมาช้ากว่านั่นอีกหลายนาที ไม่อยากจะคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่จะเกิดขึ้น
ดังนั้น เขาจึงเลือกรับน้ำใจของเฉินเอ้อร์กั่ว
“เอ้อร์กั่ว ขอบใจนายมาก” เขาพูดด้วยเสียงต่ำ
เฉินเอ้อร์กั่วพูดเสียงดังว่า:“ลูกพี่ นายพูดแบบนี้ ไม่เชื่อฉันเหรอ?!”
“ยามความปลอดภัยของโล่ฟ้า วิหารเทพรับผิดชอบงานความคุ้มครองกิจการทั้งหมดของวิหารเทพ ตอนนี้ บริษัทของซ้อ ก็ถือเป็นของวิหารเทพเช่นกัน”
“ดังนั้น ส่งคนมาคุ้มครอง ก็เป็นหน้าที่ของฉันเฉินเอ้อร์กั่ว”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
“นับจากนี้เป็นต้นไป คนข้างกายของลูกพี่ก็มีคนของฉันด้วย เนี่ยชิงหลงเจ้าหมอนั่น จะมาโม้กับฉันไม่ได้แล้ว!”
“เอ่อลูกพี่ ขอถามอะไรหน่อยสิ เรื่องที่ซ้อแนะนำเพื่อนสนิทของเขาให้ฉันไปถึงไหนแล้ว?”
ฉินเทียนพูดด้วยความโมโหว่า:“มีก็แค่เลี้ยงลูกคนเดียว หากว่านายตกลงอะไรก็ได้ หากไม่เห็นด้วยก็ไสหัวไปซะ!”
เฉินเอ้อร์กั่วที่กลัวก็พูดยังไม่จบ ฉินเทียนจึงวางโทรศัพท์ไป
“เจ้าสำนัก ที่แท้ก็เป็นคนของพวกเราเองเหรอ ดูเหมือนว่า ผมจะกังวลมากเกินไปหน่อย” ฉานเจี้ยนหัวเราะแบบเขินอาย
ฉินเทียนพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า:“ลุงฉาน ฉันรู้ดีว่า พี่น้องทุกคนเป็นห่วงฉัน”
“ขอบใจพวกนายมาก”
“ตอนนี้ ฉันจะต้องแนะนำอย่างเป็นทางการหน่อยแล้ว”
“นี่คือเหลิ่งเฟิง คนที่มีความสามารถในบรรดาลูกน้องราชาหมาของวิหารเทพ ที่มาครั้งนี้ ก็เพื่อมาคุ้มครองความปลอดภัยของฉัน”
“เหลิ่งเฟิง นี่คือหนึ่งในสี่อิมพ์แห่งนรกของวิหารพญายม ฉานเจี้ยน”
“ส่วนพี่น้องคนอื่น วันนี้ต่างก็เป็นสมาชิกของคำสาปสวรรค์”
เมื่อฟังคำแนะนำจบ เหลิ่งเฟิงก็ตกใจ
สำหรับชื่อเสียงของวิหารพญายม เขาได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ตาแก่พิการที่อยู่ตรงหน้า กลับเป็นหนึ่งในสี่อิมพ์แห่งนรก!
นั่นคงเป็นผู้บุกเบิกที่เก่าที่สุดที่ยังมีชีวิตอยู่!
เขาโค้งคำนับ เคารพด้วยความรู้สึกผิดแล้วพูดว่า:“ผู้อาวุโสชรา ผู้น้อยไร้มารยาท ท่านโปรดอภัยให้ด้วย!”
ฉานเจี้ยนหัวเราะร่า
“ในเมื่อนายก็เป็นลูกน้องของวิหารเทพ เช่นนั่นเราก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน”
“น้องเล็ก ฉันชอบนิสัยนาย มีโอกาส จะพาไปเที่ยวที่สวนสัตว์ร้าย”
“เจ้าสำนัก พวกเราขอตัวลาก่อน”
เมื่อเห็นฉานเจี้ยนและคนอื่นๆ ไปแล้ว เหลิ่งเฟิงอดกลั้นไม่ไหวแล้วพูดว่า:“พี่เทียน สวนสัตว์ร้ายคือที่ไหน?”
“สนุกมากไหม?”
ฉินเทียนเผยรอยยิ้มที่กลั้นเอาไว้ไม่ไหว
เขาพูดอย่างปกติว่า:“อืม สนุกมาก!”
“เหลิ่งเฟิง มีโอกาส ก็พาพี่น้องไปเที่ยว”
เหลิ่งเฟิงพูดเสียงดังอีกครั้ง:“รับทราบ!”
“เหลิ่งเฟิงพากลุ่มทีมหมาป่าโดดเดี่ยว รายงานต่อพี่ฉิน!”
ฉินเทียนที่กำลังอยากจะพูดอะไรต่อ ซูซูกับหยางยู่หลัน คนหนึ่งถือกาน้ำ ส่วนอีกคนถือแก้ว รีบวิ่งเข้ามา
“ฉินเทียน คนพวกนั้นทำไมไปกันแล้วล่ะ?”
“ยุ่งอยู่ซะตั้งนาน ทำไมไม่อยู่กินน้ำกันก่อน!”
ฉินเทียนกล้ำกลืนฝืนทน
ซูซูพูดเสียงต่ำว่า:“ถึงแม้ว่าคนพวกนั้นจะดุมาก แต่ว่าฉันมองออก ต่างทำเพื่อนาย”
“แล้วน้องหนิงซวงก็อยู่ในนั้นด้วย พวกเขาเป็นลูกศิษย์นายเหรอ?”
“ฉันบอกไปแล้ว ว่าทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน”
“แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง ก็ไม่ยอมฟังฉันเลย ต่างก็สงสัยว่าอีกฝ่ายคือคนร้าย”
“ในที่สุดนายก็กลับมาจนได้”
“หากว่าเกิดต่อยตีกันขึ้นมาจริงๆ ”
หยางยู่หลันก็รีบพูดด้วยความร้อนใจว่า:“จริงสิฉินเทียน พวกเขาเป็นใครกัน?”
ฉินเทียนหัวเราะแล้วพูดว่า:“แม่ครับ ต่างก็เป็นเพื่อนที่เจียงหู ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว”
“สวัสดีครับซ้อ” เหลิ่งเฟิงมองซูซู แล้วหัสเราะจนเห็นฟัน
พวกเขาถือว่ารู้จักกันมานานแล้ว ตอนอยู่ที่มิลาน ก็เป็นเหลิ่งเฟิงที่พาคนไปคุ้มครองซูซู ไปรับรางวัลงานเอ็กซ์โปเรื่องความสวยความงาม
ทำให้ซูซูจำเหลิ่งเฟิงและคนพวกนั้นได้ ถือว่าเป็นความทรงจำที่ดีมาก
บทที่ 158 ขอโทษด้วย
บทที่ 160 ตัดมาที่หัวฉันเลย