บัญชามังกรเดือด - บทที่ 253 เหล่ากุ่ย
บัญชามังกรเดือด บทที่ 253 เหล่ากุ่ย
“พี่กุ่ยตามหาตัวนาย”เหมินสันก้มหน้ามองดูมีดที่อยู่ในมือเจิ้งจี๋พลางกระแทกถามเสียงต่ำ: “ทำไม นายจะไปสับพี่กุ่ยเหรอ?”
“เปล่า!”
“ไม่ใช่ ๆ ๆ เหมินสันเข้าใจผิดแล้ว!”
“พี่กุ่ยอยู่ไหนครับ? รีบเชิญเข้ามาข้างในก่อน!”เจิ้งจี๋ตอบสนองกลับมาได้ ก่อนจะรีบโยนมีดทำครัวไปข้าง ๆ
เหมินสันทำเสียงหึทีหนึ่ง และถอยร่างที่อ้วนใหญ่ออก
ด้านหลังมีคนสามสี่คนเดินตรงมา
คนที่ยืนอยู่ตรงกลางคือผู้ชายที่รูปร่างไม่สูง ผอมแห้ง ทว่าแววตาของเขากลับดูดุร้ายมาก
เขาคาบบุหรี่ไว้ในปากหนึ่งมวน มือยังโอบหญิงสาวที่สูงโปร่งและงดงามคนหนึ่งไว้ด้วย
“ไอ้ชิบหาย มึงมีปัญญาความสามารถแล้วนี่!”
พี่กุ่ยยกเท้าถีบลงหน้าท้องเจิ้งจี๋ ก่อนจะกอดหญิงสาวแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“อี๋ เหม็นจังเลย!”
“พี่กุ่ย เปลี่ยนสถานที่กันเถอะค่ะ”เมื่อเห็นสภาพที่ดูเละเทะในห้องรับแขก หญิงสาวจึงเอามือปิดจมูกด้วยใบหน้าที่รังเกียจ
พี่กุ่ยถ่มเสลดลงบนกำแพง ถอดกางเกงออกแล้วถี่ลงอ่างล้างหน้าต่อหน้าทุกคน
“ในห้องนี้ค่อยสะอาดขึ้นมาหน่อย เอาตัวมันเข้ามา!”
เขากอดหญิงสาวพลางเดินเข้าไปในห้องนอน ถอดรองเท้าแล้วนอนลงบนเตียง
หญิงสาวคลอเคลียอยู่ข้างกายเขา เหมือนจะดูเบื่อหน่ายมาก ๆ จึงหันไปหยิบรีโมทที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นมาโดยไม่ใส่ใจแล้วกดเปิดโทรทัศน์
ทันใดนั้น ภาพฉากอันน่ารังเกียจที่ฉินเทียนกดปิดในก่อนหน้านี้ก็เปิดออกอีกครั้ง
หญิงสาวสบถด่าคำหนึ่ง แล้วรีบกดปิด
ทำเอาเหล่าลูกน้องของพี่กุ่ยหัวเราะเสียงดังลั่น
พี่กุ่ยถ่มน้ำลายใส่เจิ้งจี๋พลางแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “มึงเพลิดเพลินเก่งไม่เบาเลยนี่”
“รู้ไหมที่กูมาหามึงเพราะอะไร?”
เจิ้งจี๋ร้องไห้พลางตอบกลับด้วยใบหน้าที่โศกเศร้า: “รู้ครับ”
“เงินที่ผมยืมคุณเมื่อครั้งก่อนถึงเวลาที่กำหนดแล้ว แต่ว่าพี่กุ่ยครับ ตอนนี้ผมขัดสนเรื่องการเงินจริง ๆ ครับ”
“คุณเป็นคนใหญ่คนโตที่จิตใจกว้างขวาง ให้เวลาผมอีกหน่อยได้ไหมครับ?”
“ผมสาบานเลยว่าถึงตอนนั้นผมจะคืนทั้งต้นและดอกให้พี่กุ่ยทุกบาททุกสตางค์เลยครับ!”
“ผมพูดจริงนะครับพี่กุ่ย ในฐานะที่เห็นว่าเรามีความสัมพันธ์กันมานานขนาดนี้ ท่านได้โปรดให้เวลาผมอีกหน่อยเถอะนะครับ”
พี่กุ่ยจุดบุหรี่หนึ่งมวนแล้วพ่นควันบุหรี่ใส่เพดานอย่างชิลสบาย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “ตบหน้ามัน!”
เหมินสันที่อยู่ข้าง ๆ ฟาดฝ่ามือลงมา จนปากของเจิ้งจี๋ท่วมเต็มไปด้วยเลือด
เจิ้งจี๋คุกเข่าลงบนพื้น แล้วใช้หัวโขกพื้นพลางพูด: “พี่กุ่ย ตอนนี้ผมไม่มีเงินจริง ๆ นะครับ!”
“ขอร้องท่านล่ะ ให้เวลาผมอีกหน่อยเถอะนะครับ!”
“ถึงตอนนั้นผมจะคืนทั้งต้นและดอกให้ท่านอย่างแน่นอนครับ!”
“ครั้งนี้ได้โปรดท่านเชื่อผมด้วยนะครับ!”
“เชื่อมึง?”
“ถ้าเกิดคำพูดที่มึงพูดมาเป็นความจริง หมูมันคงปีนขึ้นต้นไม้ได้แล้ว!”
พี่กุ่ยทำเสียงหึทีหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็มองเห็นรูปถ่ายที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียง
เขาอดไม่ได้ที่จะหยิบมันมาแล้วถามว่า: “คนนี้คือเมียมึงเหรอ?”
“ได้ยินมาว่าเมียมึงกลับมาแล้ว คือคนนี้น่ะเหรอ?”
เจิ้งจี๋ตอบกลับอย่างหวาดกลัว: “พี่กุ่ยรู้ได้ยังไงครับ?”
“เมียผมกลับมาแล้วครับ แต่ว่าเธอก็จากไปแล้วเหมือนกัน”
พี่กุ่ยกลืนน้ำลายหนึ่งอึกแล้วพูด: “วาสนามึงก็ไม่เลวเลยนี่ หน้าตาดูไม่ธรรมดาเลยนะ”
พวกลูกน้องที่อยู่ข้าง ๆ ยิ้มยิงฟัน: “พี่กุ่ย คุณถูกใจผู้หญิงคนนี้แล้วใช่ไหมครับ?”
“ถ้าเกิดใช่ เราสามารถให้มันมาใช้หนี้แทนได้นะครับ”
เจิ้งจี๋รีบก้มกราบพลางพูด: “พี่กุ่ยโปรดไว้ชีวิตด้วยนะครับ!”
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเธอ ท่านก็รู้อยู่ว่าผมหย่ากับเธอตั้งนานแล้ว”
“อีกอย่างตอนนี้เธอก็จากไปแล้วด้วย ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอไปไหนแล้ว”
พี่กุ่ยยิ้มยิงฟันแล้วพูดอย่างเย็นชา: “มึงแม่งก็ยึดมั่นในความเป็นธรรมอยู่นี่”
“หย่ากันมานานขนาดนี้แล้ว ตอนนี้ยังคิดที่จะพูดเข้าข้างเมียเก่าอยู่”
“ในเมื่อมึงยึดมั่นในความเป็นธรรม พี่กุ่ยก็ต้องยึดมั่นในความเป็นธรรมด้วยเหมือนกัน เจิ้งจี๋ ตอนนี้กูจะให้มึงเลือกสามทางเลือก”
เจิ้งจี๋รีบตอบกลับ: “พี่กุ่ยท่านเชิญพูดได้เลยครับ!”
“ขอแค่เป็นสิ่งที่ผมทำได้ ผมก็จะทำตามอย่างแน่นอน!”
พี่กุ่ยแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูดว่า: “ทางแรก ถึงแม้บ้านหลังนี้จะทรุดโทรมไม่น้อย แต่ว่ามูลค่าของมันก็หลายแสนอยู่ใช่ไหม”
“จำนำให้กู แล้วหนี้ระหว่างเราในก่อนหน้านี้ จะถือว่าหายกัน”
เจิ้งจี๋รีบพูด: “พี่กุ่ย อันนี้ไม่ได้นะครับ!”
“นี่เป็นบ้านชีวิตวัยเกษียณของพ่อแม่ผม ขายไม่ได้นะครับ!”
พี่กุ่ยกัดฟันพลางพูด: “มึงแม่งส่งพ่อแม่ไปที่สถานสงเคราะห์คนชราแล้ว ตอนนี้ยังสนใจชีวิตหลังเกษียณของพวกเขาอีกเหรอ?”
“ไม่อยากจำนำบ้านก็ได้ ทางเลือกที่สอง——”
เขามองดูรูปถ่ายของกงลี่ที่อยู่ในมือ แล้วยิ้มอย่างดุร้าย: “ยกเมียมึงให้กู”
“ให้มันใช้หนี้แทนมึง เป็นไง?”
เจิ้งจี๋กัดฟันกรอด พลางพูดภาวนา: “เธอออกจากเมืองเจิ้งแล้วจริง ๆ ครับ…..”
“พี่กุ่ย ทางเลือกที่สามคืออะไรครับ?”
พี่กุ่ยแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางตอบกลับ: “ตัดมือทั้งสองข้างของมึงทิ้ง”
ลูกน้องสองคนที่อยู่ข้าง ๆ รีบกดตัวเจิ้งจี๋เอาไว้ทันที แล้วเอามือทั้งสองข้างของเขาวางลงบนโต๊ะ
เหมินสันหยิบมีดทำครัวมา
“อย่านะครับ!”
“อย่านะครับพี่กุ่ย!”
“พี่กุ่ยไว้ชีวิตผมด้ว!”วิญญาณมรณะของเจิ้งจี๋หลุดออกจากร่าง แหกปากตะโกนอย่างหวาดกลัว
พี่กุ่ยแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “ไม่มีใครสามารถติดหนี้เหล่ากุ่ยฉันได้”
“ไปตัดข้างนอก อย่ามารบกวนอารมณ์อันสุนทรีย์ของกู”
ลูกน้องสองคนและเหมินสันลากตัวเจิ้งจี๋ออกไป เตรียมพร้อมที่จะตัดสองทั้งสองข้างของเขาลงมา
“พี่กุ่ยไว้ชีวิตผมด้วย!”
“ผมจะยกภรรยาผมให้ท่านครับ!”
“ผมรู้ว่ามันต้องยังไม่ออกจากเมืองเจิ้งแน่นอน เพราะภารกิจของมันยังไม่ลุล่วง!”
“ผมรู้ครับว่ามันจะไปไหน!”
“พี่กุ่ย ท่านฟังผมพูดก่อนนะครับ!”
พี่กุ่ยหัวเราะทีหนึ่ง แล้วจุ๊บลงบนรูปถ่ายของกงลี่
“พูดมาซะ มันจะไปไหน?”
เจิ้งจี๋รีบตอบกลับไปว่า: “มันทำงานอยู่ในบริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่งในหลงเจียง ที่กลับมาครั้งนี้ก็เพื่อตรวจสอบผลิตภัณฑ์ครับ”
“ผมสามารถจับกุมตัวมันได้อยู่ครับ แต่ทว่าข้างกายมันมีไก่อ่อนหน้าตี๋ตัวหนึ่งอยู่เคียงข้าง ซึ่งจัดการไม่ง่ายเลยครับ”
“พี่กุ่ย ขอแค่ท่านสามารถช่วยผมสยบไอ้หนุ่มหน้าตี๋นั่นได้ ผมก็จะจับกุมตัวมันมาใช้หนี้แทนผม!”
เมื่อคิดถึงฉินเทียน ไฟโกรธที่อยู่ในใจของเจิ้งจี๋ก็ลุกโชนขึ้นมา
ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องทำลายฉินเทียนให้ได้
แล้วก็กงลี่ด้วย ในเมื่อมึงไร้ความปราณีต่อกู งั้นก็อย่าหาว่ากูไร้ความเป็นธรรม!
หากอุทิศกงลี่ให้พี่กุ่ย ทั้งสามารถทำให้เรื่องหนี้ของเขาสงบลง ในขณะเดียวกัน ยังสามารถยืมกำลังของพี่กุ่ย กำจัดฉินเทียนทิ้งด้วย
จู่ ๆ เจิ้งจี๋ก็รู้สึกว่านี่เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวของตนเอง
“ไก่อ่อนหน้าตี๋?”พี่กุ่ยหัวเราะอย่างเยือกเย็นทีหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า: “ที่แท้เมียมึงก็หนีไปกับไก่อ่อนหน้าตี๋นี่เอง”
“เรื่องแบบนี้ ทำไมมึงไม่บอกตั้งแต่แรกเนี่ย พี่กุ่ยกูเป็นคนที่ยึดมั่นในคุณธรรมขนาดนี้ กูจะแก้แค้นแทนมึงอย่างแน่นอน”
“ไปซะ”
“ไปตามหาพวกมันให้เจอ ถ้าเกิดต้องการอะไรละก็ โทรมาหากู กูจะให้เหมินสันไปช่วยมึง!”
“ครับ ขอบคุณพี่กุ่ยมาก ๆ ครับ!”เจิ้งจี๋ขอบคุณในบุญคุณอีกครั้ง
พี่กุ่ยหยิบเงินออกมาห้าร้อยหยวน โยนให้เหมินสันแล้วพูดว่า: “ไปซื้อเนื้อเบียร์มาหน่อย ถ้าเกิดไอ้หมอนี่มันกล้าหลอกพวกเรา หรือแอบหนีไปและไม่กลับมา”
“งั้นต่อไปพวกเราก็จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่”
พวกเหมินสันไล่เจิ้งจี๋ออกไป พวกเขาไปซื้อเบียร์และเนื้อ ส่งให้พี่กุ่ยและหญิงสาวที่อยู่ในห้องนอนหนึ่งชุด
พวกเขาจึงพากันนั่งกินดื่มส่วนที่เหลืออยู่ในห้องรับแขก
เหมินสันกินเสร็จแล้วทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา เสียงกรนดังกว่าเสียงฟ้าผ่า
ส่วนคนอื่นที่เหลือก็เริ่มเล่นไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ดอย่างเบื่อหน่าย
กลางดึก เจิ้งจี๋เร่ร่อนอยู่ข้างถนน
เขาทั้งหนาวทั้งหิว รู้สึกว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นเพราะกงลี่
“นังผู้หญิงชั้นต่ำ ดูซิว่าคราวนี้มึงจะหนีรอดจากฝ่ามือของกูไปได้ยังไง!”เขากัดฟันกรอด มาที่โรงงานแห่งหนึ่งในเขตชานเมืองที่ถูกทิ้งร้างเมื่อก่อนหน้านี้