บัญชามังกรเดือด - บทที่ 299 แกต้องรับผิดชอบเรื่องนี้
บัญชามังกรเดือด บทที่ 299 แกต้องรับผิดชอบเรื่องนี้
นึกภาพออกเลยว่า ฝีมือการต่อสู้ของสองสาวนั้นน่ากลัวแค่ไหน
โดยเฉพาะเถียหนิงซวง เธออยู่ในคณะคำสาปสวรรค์ เกือบจัดอยู่ในระดับนายพลได้เลย
ครั้งนี้ถูกรังแกอยู่ตั้งนาน ตอนแรกอดทนไม่กล้าลงมือ ตอนนี้ ฉินเทียนอนุญาตเองกับปากแล้ว พวกเธอเลยระเบิดมันออกมา
หญิงสาวอรชรอ้อนแอ้นสองคน จัดการชายเลวทรามต่ำช้าทั้งแก๊ง
กลับเหมือนพยัคฆ์สองตัว กระโจนเข้าไปในฝูงแกะ
การลงมือก็โหดเหี้ยมเช่นกัน!
ไม่ถึงสิบนาที หวงเหมากับลูกน้องกว่าสิบคน นอนกองกับพื้น ลุกไม่ขึ้น
แต่ละคนหน้าช้ำเลือดช้ำหนอง ถูกตีเหมือนหัวหมู
คนพวกนี้อาศัยความเป็นแก๊งเจ้าถิ่น จงใจข่มเหงพวกเหยาะแหยะขี้กลัวชาติเดียวกันโดยเฉพาะ เคยถูกทุบตีแบบนี้เสียเมื่อไร?
หวงเหมาคลานหนีไป ร้องโอดครวญไป
“คอยดูเถอะ!”
“พวกแกคอยดู!”
“ฉันจะไปบอกเคราใหญ่! พวกแกตายแน่!”
“ฉันจะบอกพวกแกให้ เคราใหญ่น่ะเป็นเจ้าพ่อบนเกาะนี้!”
ไม่รู้ว่าเขาเจ็บจนมึนไปหรืออย่างไร ดันคลานไปหาฉินเทียนเสียอย่างนั้น
ฉินเทียนยกเท้า เหยียบมือเขาข้างหนึ่ง
ออกแรงเบาๆ
“โอ้ย!”
หวงเหมามองมือตัวเอง แหลกเหลวเป็นโคลนเนื้ออยู่ใต้เท้าฉินเทียน ด้วยสายตาสิ้นหวัง
เขาร้องทรมานครวญคราง แล้วเป็นล้มหมดสติไป
เจ้าหนุ่มที่เหลือเหล่านั้น ตื่นเตลิดกับภาพนี้ ถึงขั้นลืมความเจ็บปวดไปเลย
ฉินเทียนเอ่ยราบเรียบ: “แค่นี้ก็เป็นลมไปเลยเหรอ?”
“ฉันจะปลุกแกให้ตื่นเอง”
พูดจบ ก็ใช้เท้าเหยียบมืออีกข้างหนึ่งของหวงเหมา แล้วขยี้เบาๆ
“อ๊า!”
ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เกิดขึ้นอีกครั้ง ทำให้หวงเหมาตื่นขึ้นมาจากการสลบ
“มือฉัน…มือฉัน!”
“ปีศาจ แกมันปีศาจ!”
“ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่!”
“ฉันจะไปหาเคราใหญ่!”
“เขาฆ่าแกแน่!” เขาพึมพำพรั่นพรึง ราวกับคนเสียสติ
ฉินเทียนกวาดสายตามองออกไปอย่างเย็นเยือก นักเลงพวกที่เหลือเหล่านั้น ก้มหัวด้วยความหวาดกลัวกันหมด
เมื่อครู่เจ้าหัวล้านคนนั้น กำลังถือโทรศัพท์เตรียมจะแอบโทรออก
เมื่อเห็นสายตาของฉินเทียน เขาก็รีบลนลานโยนโทรศัพท์ไปด้านข้างราวกับถูกฟ้าผ่า ตัวสั่นหงกๆ
ฉินเทียนเดินเข้าหา ยิ้มเยือกเย็นเอ่ยว่า: “จะโทรหาเคราใหญ่เหรอ?”
“ใช่…ไม่ ไม่ใช่!”
“ฉันโทรหาแม่ฉัน เขาเรียกให้ฉันกลับบ้านไปกินข้าว…”
“พ่อฮีโร่ไว้ชีวิตฉันเถอะ!”
“ฉันรับรอง ว่าจะไม่บอกเคราใหญ่!”
ฉินเทียนแสยะยิ้ม เอ่ยว่า: “ตอนนี้ แบกลูกพี่ของพวกแกขึ้นมา แล้วพาฉันไปหาเคราใหญ่”
“นายว่าอะไรนะ?” เจ้าหัวล้านไม่อยากจะเชื่อ เจ้าหนุ่มคนอื่นๆ ก็สงสัยว่าตัวเองฟังผิดเช่นกัน
“ต้องให้ฉันพูดอีกรอบเหรอ?”
“พาฉันไปหาเคราใหญ่”
“ไม่อย่างนั้น ฉันจะทำให้พวกแกพิการให้หมดเลย!”
ชายกลุ่มนั้นแทบไม่อยากเชื่อ
เคราใหญ่เป็นถึงหัวหน้าของเกาะนี้ ถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อเลยทีเดียว และพวกเขาทุกคน ล้วนเป็นลูกสมุนของเคราใหญ่
ไม่อย่างนั้นคงไม่กล้าหาญชาญชัย ข่มเหงคนชาติเดียวกันได้ขนาดนี้
ตอนนี้ ฉินเทียนทำหวงเหมาพิการ ไม่เพียงไม่หนี ยังจะเป็นฝ่ายไปหาเคราใหญ่ก่อนอีก?
นี่มันไม่เข้าข่ายเดินไปตายหรอกเหรอ?
“พวกแกมัวยืนอึ้งกันทำซากอะไร? รีบพาเขาไปหาเคราใหญ่เร็วเข้า!” หวงเหมาแผดเสียงเหี้ยมเกรียม
ชายทั้งกลุ่มเห็นฉินเทีนเหมือนไม่ได้ล้อเล่น เลยไม่กล้าต่อต้าน หลายคนที่มือเท้ายังดีอยู่หน่อยแบกหวงเหมาขึ้นมา
เดินนำฉินเทียนไป
ขณะนี้ ในบาร์แห่งหนึ่ง
เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องเวลา จึงมีลูกค้าไม่มากนัก
บนโต๊ะสองสามตัว มีชายชาวต่างชาติร่างสูงใหญ่ราวสิบคนกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่
ในห้องทำงานถัดกัน ชายเคราใหญ่คนหนึ่งกำลังเช็ดปืนลูกโม่กระบอกหนึ่งอยู่
ตรงหน้าเขา ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังพร่ำฟ้องด้วยความเดือดพล่าน
“ลุง ลุงต้องแก้แค้นให้ผมนะ!”
“ไอ้หมอนั่นมันสั่งให้ผมคุกเข่าเลียรองเท้ามัน!”
“ชักจะเหิมเกริมเกินไปแล้ว!”
“ผมอ้างชื่อลุงไป มันยังไม่สนใจเลย!”
“ลุง ที่นี่เป็นถิ่นของลุง ให้คนนอกมาทำตัวกร่างแบบนี้มันได้เหรอ?”
“รีบไปฆ่ามันเร็ว!”
เคราใหญ่กวักมือเรียกคนด้านนอก ทันใดนั้น มนุษย์ยักษ์หน้าเหี้ยมโหดสองคนก็เดินเข้ามา
“พวกแกไปจับไอ้หมอนั่นมาให้ชาร์ลีหน่อย”
ชาร์ลีรีบเอ่ยขึ้นว่า: “อย่าลืมล่ะ ยังมีผู้หญิงที่มากับมันด้วยอีกคน!”
“ฉันอยากได้ผู้หญิงคนนั้น”
มนุษย์ยักษ์สองคนผงกศีรษะ ทันทีที่หมุนตัว ก็ผงะค้างอย่างห้ามไม่ได้
ในตอนนี้ บาร์ด้านนอก มีเสียงเอะอะดังขึ้นมา
เห็นกลุ่มคนเดินแบกหวงเหมาเข้ามา คนเหล่านั้นที่กำลังดื่มเหล้าอยู่พากันลุกขึ้น ตบโต๊ะเก้าอี้กระเด็นอย่างดุเดือด
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เคราใหญ่เงยหน้ามอง
จากนั้น ก็เห็นฉินเทียน พร้อมด้วยเหลิ่งหยุน เถียหนิงซวงและเหมยหงเซว่ เดินทอดน่องเข้ามา
“เรียกเคราใหญ่ออกมาพบฉัน” ฉินเทียนพูดเฉยชาประโยคหนึ่ง เดินไปนั่งที่นั่งข้างๆ แล้วเปิดเบียร์ออกหนึ่งกระป๋อง
คนรอบๆ เหล่านั้น ต่างเดินเข้ามาล้อมรอบ พร้อมกับจ้องอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ชาร์ลีผงะไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยหน้าตาตื่นว่า: “ไอ้หมอนี่แหละ!”
“คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะกล้ามาหาถึงที่ ลุง ฆ่ามันเร็ว!”
ขณะนี้ มีชายสิบกว่าคนจากในห้องด้านหลัง กรูกันออกมา
พวกเขาล้วนมีนัยน์ตาสีฟ้า ร่างกายสูงใหญ่ เป็นลูกสมุนมือดีภายใต้สังกัดของเคราใหญ่
พวกเขาล้อมฉินเทียนเอาไว้ ชายสองคนในนั้นสบถด่า แล้วเข้ามาบีบคอฉินเทียน
ฉินเทียนนั่งนิ่ง แม้แต่เปลือกตายังไม่เปิดขึ้น
ถัดกัน เถียหนิงซวงและเหมยหงเซว่ ลงมือพรั่งพร้อม จับแขนของชายสองคนนั้นไว้
ภายในเสียงอันเล็กแหลม มาพร้อมกับความแข็งแกร่ง พวกเธอจับร่างทั้งสองที่หนักต่างกันสองร้อยกว่ากิโลกรัม โยนออกไป
ปึ้ง!
ชายสองคนตกลงบนโต๊ะสองตัวจนพังกระจาย เหล้าหกเรี่ยราดลงบนพื้น
คราวนี้ ทุกอย่างตกอยู่ในความชุลมุน
พวกเขากำลังจะเข้ามาลงมือพร้อมกัน ด้วยความเดือดดาล
“ทุกคนอย่าขยับ!”
เสียงหนึ่งดังแผดขึ้น กวนอี่พาคนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามา พอเขาได้ยินข่าว ก็รีบตามมาทันที
เมื่อเห็นว่าฉินเทีบนไม่เป็นไร เขาก็โล่งอก แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า: “พี่เทียน เคราใหญ่ไม่ใช่คนจะมาหาเรื่องด้วยง่ายๆ”
“พี่พาพวกผู้หญิงกลับไปก่อน ทางนี้ปล่อยให้ฉันจัดการเอง”
ฉินเทียนกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แล้วเสียงหนึ่งก็ดังมาจากห้องทำงาน
“วันนี้ ใครก็ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
เคราใหญ่ถือปืนลูกโม่ เดินออกมา เมื่อเห็นเขา สายตากวนอี่ ก็ฉายแววโกรธเคืองหลายส่วน
แต่ยังมีความประหวั่นอยู่หลายส่วนเช่นกัน
ราวกับว่า เคยสูญเสียบางอย่างภายใต้เงื้อมมือของเคราใหญ่มาก่อน
แต่ เมื่อดึงสติกลับมาได้ เขาก็รีบขวางหน้าฉินเทียนไว้ทันที เอ่ยเสียงขรึมว่า: “เคราใหญ่ นี่คือเจ้านายของฉัน”
“ฉันหวังว่าแกจะไม่มายุ่งวุ่นวาย”
เคราใหญ่แสยะยิ้มเอ่ย: “คนจีนอย่างพวกแก กระดูกเปราะกันทั้งนั้น”
“ทำไม ในที่สุดวันนี้ก็ฮึดสู้ขึ้นมาได้แล้วเหรอ?”
“ดีมาก ฉันนึกสนุกแล้วสิ”
เขายืนมือใหญ่ออก ผลักกวนอี่ไปด้านข้างอย่างไม่แยแส แล้วยิ้มเย็นเยือกมองหน้าฉินเทียน
ฉินเทียนดื่มเบียร์ลงอึกหนึ่ง เอ่ยว่า: “เบียร์ไม่เลวนะ”
“กวนอี่ มันเคยข่มเหงนายใช่ไหม?”
กวนอี่กัดฟันกรอด แล้วพูดเสียงต่ำว่า: “คนที่ใช้ปืนจ่อหัวพ่อกับแม่ผม และทำให้ครอบครัวเราเกือบล้มละลาย ก็คือมัน”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
แววตาฉินเทียน เย็นเยียบขึ้นหลายเท่า
เขามองเคราใหญ่ แล้วพูดว่า: “แกต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”
เคราใหญ่จ้องหน้าฉินเทียน ก่อนจะระเบิดหัวเราะลั่น
นี่เป็นมุกตลกที่สุดในชีวิต ที่เขาเคยได้ยินมาเลย
ไอ้คนจีนผิวเหลืองคนหนึ่ง เป็นได้แค่หมาขี้เรื้อนที่คอยกระดิกหางให้เขาเท่านั้น ตอนนี้ กล้ามาพูดว่า ให้เขารีบผิดชอบอย่างนั้นเหรอ