บัญชามังกรเดือด - บทที่ 360 นัดสู้รบ
บัญชามังกรเดือด บทที่ 360 นัดสู้รบ
จ้าวเทียนเล่อยิ้มเย็นชาแล้วพูดว่า : “งานเลี้ยงไง มักจะมีความบันเทิงบางอย่าง”
“ได้ยินมาว่ารอบตัวอานกั๋วมีผู้มีฝีมือระดับสูง พอดีเลย จะได้ให้องครักษ์ทั้ง 10 ของเรา ได้แสดงออก”
“ในการแข่งขันที่ถูกต้อง การบาดเจ็บล้มตายเป็นเรื่องปกติ คนนอกไม่สามารถพูดอะไรได้”
แม้ว่าภายในใจจ้าวเทียนจีจะไม่ค่อยยินยอม แต่เขาเองก็รู้สึกว่า ด้วยสถานการณ์ในปัจจุบัน ใช้เรื่อง”การลอบสังหาร” ในนามของงานเลี้ยง มาสู้กันตัวต่อตัว เป็นวิธีที่ดีที่สุด”
อาศัยความสามารถขององครักษ์ทั้ง 10 ฆ่าผู้มีฝีมือระดับสูงรอบ ๆ ตัวของอานกั๋วต่อหน้า ก็เท่ากับการถอนฟันของอานกั๋ว
การประลองฝีมือที่ถูกต้อง คนทั้งโลกกฌไม่สามารถพูดอะไรได้
เมื่ออานกั๋วไม่มีฟัน ถึงตอนนั้น หนานเจียงทั้งหมด ก็จะเข้ามารวมอยู่ในอาณาเขตของตระกูลจ้าวอย่างง่ายดาย
“ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปหนานเจียง” เขาพยักหน้าตอบรับ
“เออใช่”จ้าวเทียนเล่อนึกอะไรออก เขาพูดเตือนขึ้นมาอีกครั้งว่า: “น้องสาม ตอนที่นายเจออานกั๋ว ต้องให้เขาพาฉินเทียนอะไรนั่นมาด้วยนะ”
“ถ้าไม่เกินความคาดหมาย ฉินเทียนผู้นี้ น่าจะเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพในมือของอานกั๋ว”
“พี่น้องตระกูลหยวนทำคุณงามความดีต่อตระกูลจ้าวของเรา ตระกูลจ้าวของเราจะปล่อยให้คนที่มีคุณงามความดีตายไปอย่างเปล่าประโยชน์ไม่ได้!”
“ไปหนานเจียงในครั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกัน ฉันจะให้องครักษ์ที่ 5 และ 6 ทั้งสองคนไปกับนายด้วย”
เมื่อได้ยินชื่อของ”ฉินเทียน” จ้าวซวู่ตาแดงก่ำขึ้นทันที
“อานกั๋วสำคัญรองลงมา อาสามครับ อาไปในครั้งนี้ ต้องทำให้ฉินเทียนมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงอีกสามวันหลังจากนี้ให้ได้นะครับ!”
“ผมต้องการเห็นร่างกายของเขาแยกออกเป็นชิ้น ๆ ด้วยตาของตัวเอง!”
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลจ้าว
ในตอนนี้ ตระกูลจ้าวละทิ้งความเกลียดชังแต่ก่อนและสามัคคีกัน ซึ่งเป็นภาพที่พบเห็นได้ยาก
“วางใจได้”
“ถึงตอนนั้น ฉินเทียนและอานกั๋ว ไม่มีใครหนีรอดไปได้สักคน!” ดวงตาของจ้าวเทียนจีเผยความดุร้าย
วันต่อมา เขาพร้อมแล้ว
แม้ว่าหยุนชวนจะอยู่ไม่ไกลจากหนานเจียงมาก แต่เพื่อแสดงตัวตนของเขาให้ชัดเจน เขาเลือกเดินทางด้วยเฮลิคอปเตอร์
อีกทั้ง ไม่ได้บินตรงไปยังเมืองเอกของมณฑลเจียงหนาน แต่แวะพักชั่วคราวในนครระดับจังหวัดหลายแห่ง
ได้เข้าพบกับตระกูลที่ร่ำรวยของนครระดับจังหวัดเหล่านี้
เมื่อถึงเมืองเอกของมณฑลแล้ว เขาก็ไม่ได้ตรงไปหาอานกั๋วในทันที
แต่กลับรวบรวมเสือสามตัวของเมืองเอกดั้งเดิม ไดแก่ ตระกูลพาน ตระกูลหลี่ และตระกูลเจี่ย เพื่อพบหน้ากัน
สำหรับเรื่องที่พูดคุยกัน บุคคลภายนอกไม่มีใครรู้
ที่เขาทำเช่นนี้ เจตนาชัดเจนมาก นั่นก็คือ การยั่วยุลูกน้องของอานกั๋ว
และเป็นการแสดงอำนาจต่ออานกั๋ว
ครั้งนี้ อานกั๋วใช้คำว่า“ลอบสังหารไร้ยางอาย” 6 คำนี้มาตบหน้าตระกูลจ้าว ในมุมมองของจ้าวเทียนจี ก็คือการตบหน้าตนและจ้าวข่ายลูกชายของตน”
ดังนั้น เขาต้องการให้อานกั๋วได้รู้ว่า เขามาด้วยเจตนาไม่ดี
จนกระทั่งถึงช่วงเวลาเที่ยง เฮลิคอปเตอร์ของจ้าวเทียนจี ก็ลงจอดบริเวณลานบ้านตระกูลอัน
อานกั๋วได้รับข่าวมานานแล้ว
มีตรรกะที่ว่า ถ้าสองประเทศเกิดสงคราม ต้องไม่ฆ่าผู้ส่งสารของอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าอย่างไร จ้าวเทียนจีก็เป็นบุคคลอันดับ 2 ของตระกูลจ้าว
ดังนั้น อานกั๋วจึงนำหูปินราชาบู๊ หนิงทงราชาการเงิน และจุยเฟิง ไปต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่
จ้าวเทียนจีตรงไปที่ประเด็นหลัก
“ตระกูลจ้าวได้รับจดหมายของนายท่านอานเรียบร้อยแล้ว แต่ผมคิดว่า ต้องเกิดความเข้าใจผิดกันแน่ ๆ “
“ตระกูลจ้าวและนายท่านอานต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกันมาก่อน เราจะส่งคนไปลอบสังหารได้อย่างไรกัน”
“เพื่อคลี่คลายความเข้าใจผิดนี้ พี่รองของผมตั้งใจส่งผมมา เพื่ออธิบายต่อหน้านายท่านอาน”
“นานท่านอันครับ พวกเราต้องอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขจะได้นำพาความร่ำรวยมาให้”
อานกั๋วพูดยิ้ม ๆ ว่า : “ประธานจ้าวพูดดีมาก ผมเองก็คิดเช่นนี้”
“ประธานจ้าว คุณมาจากหยุนชวน อ้อมนครระดับจังหวัดหลายที่รอบเจียงหนาน”
“มาถึงเมืองเอกของมณฑล ไม่มาพบผม ไปพบคนอื่นก่อน”
“ประธานจ้าว ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเลยนะ”
จ้าวเทียนจียิ้มเย็นชา เขาตั้งใจให้อานกั๋วได้ทราบข่าว เรื่องที่เขาไปพบผู้รับผิดชอบตระกูลอื่น ๆ
ประเด็นแรก เขาต้องการปลุกระดมคนบางส่วน
ประเด็นที่สอง ก็เพื่อยั่วยุอานกั๋ว
“นายท่านอานอย่าคิดมาก”
“ที่ผมไปพบผู้รับผิดชอบตระกูลเหล่านั้น ก็เพื่อทำความร่วมมือ”
“โชคดีที่พวกเขาแสดงความเต็มใจที่จะร่วมมือกับตระกูลจ้าวของเรา นายท่านอาน คุณคงไม่ขัดขวางหรอกนะ?”
ในที่สุดหูปินก็ทนไม่ไหว เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “จ้าวเทียนจี นี่คุณหมายความว่ายังไง?”
“ต้องการดึงคนต่อหน้าต่อตาเราเหรอ?”
“กรุณาลืมตาดูด้วย ที่นี่คือเจียงหนาน ไม่ใช่หยุนชวนของพวกคุณ”
“เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องที่คุณจะมาทำมั่ว ๆ”
“ราชาบู๊ชื่อเสียงสมคำร่ำลือ อารมณ์ร้อนมากเลยนะ”จ้าวเทียนจีค่อย ๆ พูดขึ้นมา สีหน้าของเขาเย็นชาขึ้น
เบื้องหลังของเขา มีบอดี้การ์ด 2 คนยืนอยู่ หลี่จื้อเจียน องครักษ์อันดับที่ 5 และข่งหลง องครักษ์อันดับที่ 6
หลี่จื้อเจียนสีหน้าเคร่งขรึม เขาพูดด้วยความเย็นชาว่า: “นายเป็นใคร ถึงได้กล้ามาพูดแบบนี้กับนายท่านสามของเรา!”
ข่งหลงมีรูปร่างสูงใหญ่เหมือนไดโนเสาร์
เขาคำรามเสียงดัง พลิกตัวทันที และกระแทกหมัดลงไปบนพื้น
ปัง!
ภายใต้แรงกระแทกมหาศาล พื้นหินที่เป็นจุศูนย์กลางที่หมัดกระทบ เกิดรอยร้าวแตกกระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ราวกับใยแมงมุม
ตามด้วยเสียงแตกที่ดังอย่างชัดเจน หินที่แตกในหลาย ๆ แห่ง แตกเป็นผง!
“กล้าไม่เคารพนายท่านสาม จุดจบจะเป็นเช่น!”
ข่งหลงจ้องมอง ราวกับเป็นเทพเจ้าที่ดุร้าย
หูปินตกตะลึง
บอดี้การ์ดที่อยู่รอบ ๆ ของตระกูลอัน มีท่าทีโต้ตอบ ต่างรีบตรงเข้ามา และล้อมจ้าวเทียนจี หลี่จื้อเจียน และข่งหลงไว้
แต่ละคนต่างมีสีหน้าท่าทางเหมือนเจอศัตรู
หลี่จื้อเจียนชักดาบขึ้นมา ข่งหลงกำหมัด จ้องมองไปที่บอดี้การ์ด ระเบิดกลิ่นอายความอาฆาตออกมา
จ้าวเทียนจีไม่มีความกลัวใดใด
“จื้อเจียน ข่งหลง พวกนายถอยออกไป”
“ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากฉันละก็ ห้ามทำร้ายคนของตระกูลอันแม้แต่เส้นขน”
เขามองอานกั๋วด้วยความโอหัง แผ่มือออกแล้วพูดว่า: “นายท่าน ถ้าอยากเอาหัวผมไป ก็ต้องรีบลงมือ”
“ผมจ้าวเทียนจี ไม่ได้เป็นผู้ชายแกสามศอก”
อานกั๋วมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
เขารู้ว่า จ้าวเทียนจีกำลังยั่วยุตนอยู่ และก็รู้ว่า ในตอนนี้ตนไม่สามารถลงมือกับจ้าวเทียนจีได้
เนื่องจาก จ้าวเทียนจีมาเยือนในนามแขกที่มาเยี่ยม
“พวกนายถอยออกไปให้หมด!” เขาพูดออกไปด้วยความเย็นชา
กลุ่มลอดี้การ์ดถอยออกไปราวกับกระแสน้ำ
จุยเฟิงส่งเสียงหึ่ยด้วยความเย็นชา แล้วพูดว่า : “นายท่านจ้าวสาม ผมว่าที่คุณมาคลี่คลายความเข้าใจผิดเป็นเรื่องปลอม แต่มายั่วยุตระกูลอันต่างหากที่เป็นเรื่องจริง”
“ในเมื่อเป็นเช่นนนี้ ก็อย่าหาว่าคนของตระกูลอันของเรามีจำนวนมากกว่าแล้วมารังแกคุณ”
“ให้องครักษ์ทั้ง 2 ของคุณมาสู้กับผมคนเดียว คุณคิดว่าไง?”
หลี่จื้อเจียนรีบพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาว่า: “ดาบจุยเฟิง จุยเฟิง ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว!”
“น้องข่งหลงไม่ต้อง ฉันหลี่จื้อเจียนจะสั่งสอนนายเอง!”
เขาส่งเสียงคำรามเบาๆ และเขย่าข้อมืออย่างแรง
ดาบยาว 3 ฟุตส่งเสียงคำราม พลังดาบแผ่ซ่านไปทั่ว
ข่งหลงส่งเสียงคำรามเบา ๆ ราวกับเครื่องยนต์ภายในร่างกายของเขาพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ
จ้าวเทียนจีโบกมือ เผชิญหน้ากับสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่งของจุยเฟิง ราวกับไม่มีพลังทำลายล้าง
แต่เขาเห็นความมั่นใจในตนเองเป็นพิเศษ จากสายตาของจุยเฟิง
นั่นเป็นความมั่นใจ ที่จะมีก็ต่อเมื่อสถาการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม
สายตาของเขา จ้องไปที่มือที่กำลังถือดาบของจุยเฟิง
แม้ว่าเขาจะเป็นมือสมัครเล่น แต่ก็มีความรู้สึกว่า มือของจุยเฟิง ราวกับเติบโตบนดาบ
หรือพูดได้ว่า ดาบยาวสามฟุตสาม ก็คือส่วนที่ขยายออกมาจากมือของเขา
เขาก็เลยรู้ได้ว่า จุยเฟิงไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่าย ๆ
แม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจต่อความสามารถของหลี่จื้อเจียนและข่งหลง แต่การมาในวันนี้ของเขา ไม่ใช่เพื่อสู้รบ
แต่มาเพื่อ นัดทานข้าว
นัดทานข้าว ก็เท่ากับการ นัดสู้รบ