บัญชามังกรเดือด - บทที่ 399 สิบเมือง
บัญชามังกรเดือด บทที่ 399 สิบเมือง
ปัง!
ไท่เจี๋ยเหมือนถูกฟ้าผ่า
เขาร้องเสียงดังครั้งหนึ่ง เลือดพุ่งออกมาจากปากดังธนู ร่างกายพุ่งกระเด็นออกไป
เสียงตู้มดังขึ้น ร่างกายเขากระแทกเข้ากับกำแพง ทั้งกำแพงจึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และมีฝนควันตลบฟุ้งไปทั่วทุกสารทิศ
จากนั้นร่างกายเขาก็กระแทกลงพื้น
และกระอักเลือดออกมาอีกสองเฮือก ทั้งใบหน้าขาวซีดลงมาภายในพริบตา
เขามองหน้าฉินเทียน หวาดกลัวมากจนพูดอะไรไม่ออก
ฉินเทียนเอามือทั้งสองข้างไขว้ไว้ด้านหลัง พลางแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางพูด: “ฉันจะไม่ฆ่านายชั่วคราว”
“กลับไปบอกยัยแก่นั่นที่ซีเป่ยว่า นี่ คือของขวัญที่ฉันมอบให้มัน”
“ฉันเชื่อว่ามันต้องรู้แน่ว่าต่อไปควรทำยังไงต่อ”
“ไสหัวไป!”
ใบหน้าของไท่เจี๋ยเต็มเปี่ยมไปด้วยความน่าอาย กัดฟันแน่น ดิ้นรนดันตัวเองให้ลุกขึ้นมา จากไปอย่างรีบร้อนภายใต้การประคองของเหล่าลูกน้อง
ฉินเทียนหันหลังไปมองจุยเฟิง ยิ้มพลางพูดอย่างไม่สบอารมณ์: “นายมาได้ยังไงเนี่ย?”
“มาดูฉันขายขำเหรอ?”
จุยเฟิงยิ้มอย่างขมขื่นพลางพูด: “การขายขำของนายน่ะมันไม่ตลกเลยสักนิด”
“นายท่านไม่วางใจ เลยให้ฉันมาดู เขาเองก็มาเหมือนกัน”
“ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกล นายไปเยี่ยมเขาหน่อยสิ”
ฉินเทียนยิ้มพลางตอบกลับ: “โอเค”
ทั้งสองคนออกมาจากลานหน้าบ้าน มาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
เป็นโรงแรมทั่วไปที่โทรมมาก ๆ แห่งหนึ่ง ถ้าเกิดไม่ได้มาเห็นด้วยตา คงไม่มีใครเชื่อว่าราชาแห่งหนานเจียงที่รักษาความสงบในหนานเจียงอย่างสง่าจะพักอาศัยอยู่ในสถานที่ที่เล็กแบบนี้
อันกั๋วก็ได้รับคำเชิญงานแต่งงานจากตระกูลจ้าวเช่นกัน เดิมทีเขากะจะไม่มา
แต่ทว่าหลังจากที่ทราบว่าฉินเทียนมาแล้ว เขาจึงพาจุยเฟิงตามมาด้วย
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ก่อนจะเดินทางมา เขาได้กำชับเบื้องล่างราชาการต่อสู้หูปินให้นำพาเหล่านักรบในหนานเจียง มาตั้งขบวนในเขตเมืองอวิ๋นชวนแล้ว
ขอแค่ตระกูลจ้าวกล้าใช้อำนาจบาตรใหญ่โหดเหี้ยม เขาออกคำสั่งเดียว หูปินก็จะนำพาขบวนทัพใช้กำลังโจมตีอวิ๋นชวน
มากสุดก็แค่สู้กันจนพังทั้งสองฝ่าย
“ดูท่าบุคคลในวงศ์ตระกูลเดียวกันของคุณน่าจะยังไม่อยากปล่อยคุณไปสินะ”
“คุณชายใหญ่ครับ แล้วต่อไปคุณวางแผนจะเอายังไงต่อครับ?”เมื่อเห็นหน้าฉินเทียน อันกั๋วจึงถามอย่างกังวลใจ
ฉินเทียนยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางตอบกลับ: “ผมฝากฝังให้ไท่เจี๋ยนำท่วงทีของผมกลับไปแล้ว”
“เชื่อว่าพวกเขาต้องรู้อยู่ว่าควรทำยังไง”
อันกั๋วไม่เข้าใจว่าฉินเทียนเอาอะไรฝากฝังให้ไท่เจี๋ยนำกลับตระกูลฉิน แต่ทว่าเมื่อเห็นฉินเทียนดูมีแผนอยู่ในใจแล้ว เขาจะไม่ตามต่ออย่างรู้สถานการณ์
อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องในตระกูลฉินเทียน
เขานึกคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดว่า: “ตอนนี้ยังมีปัญหาอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือคุณหนูในเป่ยเจียง”
“เท่าที่ผมทราบมา เธอกับคนในตระกูลจ้าว แล้วก็แขกเหล่านั้นยังรอคุณกลับไปอยู่นะครับ”
“คุณจะจัดการยังไงครับ?”
เมื่อพูดถึงหลิวชิงเหยา ฉินเทียนก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย
ถ้าเกิดรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นไม่ว่ายังไงเขาก็ไม่อนุญาตให้หลิวเช่อตายไปเด็ดขาด
หมากสว่างหมากลับอะไร พูดตามตรงเลยว่าเขาฉินเทียนไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้นจริง ๆ
แต่ทว่าเรื่องทุกอย่างดำเนินการมาจนถึงตอนนี้แล้ว เขาเห็นด้วยกับความคิดเห็นของยู่หลิงหลง นั่นก็คือจะเปิดเผยหมากเกมนี้ไม่ได้
ไม่งั้นก็จะทำให้หลิวเช่อตายฟรี แบบนั้นมันจะทำให้ฉินเทียนยิ่งรู้สึกผิดต่อหลิวเช่อ
“เห้อ คงทำได้เพียงเดินทีละก้าว ดูไปทีละก้าวแล้วล่ะ”
“นายท่าน คุณไม่ไปตระกูลจ้าวเหรอครับ?”
อันกั๋วยิ้มพลางตอบกลับ: “เรื่องทางนี้จบลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตาแก่ฉันคงไม่ไปประสมโรงด้วยแล้วล่ะ”
“ผมกลับหนานเจียงดีกว่า”
“คุณชายใหญ่ครับ ถ้ามีเวลาก็ไปดื่มเหล้าที่ผมได้นะครับ หรูยู่ยังรอคุณที่บ้านอยู่เลยครับ”
“ยัยนั่นน่ะ ตอนคุณไม่อยู่ เธอก็จะหน้ามุ่ย ดูไม่มีความสุขอยู่ตลอด”
ฉินเทียนมองบน ก่อนจะรีบกระแอมทีหนึ่งแล้วพูดว่า: “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นผมไปตระกูลจ้าวแล้วนะครับ”
“ผมเกรงว่าหากเวลาล่วงเลยไปนาน ฝั่งนั้นจะเกิดความวุ่นวายอะไรขึ้น”
“นายท่าน ลาก่อนนะครับ”
หลังจากพูดจบ เขาก็จากไปเหมือนหนีเอาชีวิตรอดยังไงอย่างนั้น
อันกั๋วคนนี้ก็จริง ๆ เลย รู้ทั้งรู้ว่าฉันมีภรรยาแล้ว เป็นผู้อาวุโสแล้วแต่ยังไม่รู้จักเคารพตัวเองอีก เอาหลานสาวของคุณล้อเล่นกับฉัน
คุณก็อบรมดูแลหลานสาวคุณบ้างสิ!
ฉินเทียนกลับมาถึงลานหน้าบ้านตระกูลจ้าว
จ้าวเทียนเผิง จ้าวเทียนจีควบคุมสถานการณ์ได้โดยสิ้นเชิงแล้ว ณ ที่เกิดเหตุ ไม่เจอเงาร่างของจ้าวเฟิงเลย
ฉินเทียนไม่ได้ถามอะไร ฉินเทียนรู้อยู่ว่าจ้าวเฟิงต้องได้รับโทษที่เขาควรได้รับแล้วอย่างแน่นอน ไปสถานที่ที่เขาควรไป
“คุณฉิน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับ!”เมื่อเห็นเขา จ้าวเทียนเผิงจึงเดินเข้ามาต้อนรับอย่างตื่นเต้นดีใจ
จ้าวเทียนจีรวมไปถึงผู้คนในตระกูลจ้าว ล้วนเดินตามอยู่ด้านหลัง แต่ละคนดูซาบซึ้งในบุญคุณ
เดิมทีการที่คนร้ายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังปรากฏ พวกเขายังกังวลอยู่เลยว่าฉินเทียนคนเดียวน่าจะรับมือยาก เมื่อเป็นแบบนั้นแล้ว วิกฤตการณ์ของตระกูลจ้าวก็จะไม่ถูกกำจัด
ตอนนี้ฉินเทียนกลับมาอย่างปลอดภัย ซึ่งนั่นก็แสดงว่าวิกฤตการณ์ถูกกำจัดไปแล้ว
ฉินเทียนผงกหัวพลางตอบกลับว่า: “นายท่านจ้าว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจหรอกครับ”
“ไม่ใช่สิ ตอนนี้ผมควรเรียกคุณว่าเจ้าบ้านจ้าวแล้วหรือเปล่า?”
จ้าวเทียนเผิงยังไม่ทันได้พูดอะไร จ้าวเทียนจีก็พูดอย่างตื่นเต้นดีใจก่อน: “เดิมทีพี่ใหญ่ผมก็ควรเป็นเจ้าบ้านตระกูลจ้าวตั้งแต่แรกแล้วครับ”
“ตอนนี้เกิดเหตุการณ์วิปโยคแบบนี้ในตระกูลจ้าวของเรา โชคดีมากที่พี่ใหญ่กลับมาควบคุมสถานการณ์ใหญ่เอาไว้ได้!”
“ผมจ้าวเทียนจี รวมไปถึงทุกคนในตระกูลจ้าว สนับสนุนให้พี่ใหญ่เป็นเจ้าบ้านครับ!”
พวกผู้คนในตระกูลก็ตะโกนเสียงดังเช่นกันว่า: “สนับสนุนนายใหญ่ให้เป็นเจ้าบ้าน!”
“นายใหญ่คู่ควรแก่การเป็นเจ้าบ้าน!”
ฉินเทียนหัวเราะเบา ๆ เขาค่อนข้างพึงพอใจกับผลลัพธ์แบบนี้
เนื่องจากเขาดูออกอยู่ว่าจ้าวเทียนเผิงเป็นคนที่มีศักยภาพและความประพฤติดีคนหนึ่งเลย หากมีการนำพาจากเขา ตระกูลจ้าวก็จะไม่ล่ม ยังคงเป็นตระกูลร่ำรวยและทรงอิทธิพลอันดับหนึ่งในเมืองอวิ๋นชวนอยู่เช่นเคย
สัมผัสได้ถึงดวงตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง เขาจึงเงยหน้ามองขึ้นไปบนเวที
เมื่อเห็นว่าดวงตาทั้งสองข้างของหลิวชิงเหยามีน้ำตาคลอเบ้า ใบหน้าเขาก็ดูขมขื่น ภายในเวลาชั่วขณะก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
ลังเลใจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูด: “ถ้าเกิดเธออยากกลับเป่ยเจียง ฉันสามารถส่งคนไปส่งเธอที่เป่ยเจียงได้”
หลิวชิงเหยาทำเสียงหึอย่างเยือกเย็นทีหนึ่งแล้วพูด: “เหมือนครั้งก่อนน่ะเหรอ?”
“ไอ้แซ่ฉิน อย่างแกนั่นเป็นการคุ้มกันไปส่งเหรอ? นั่นมันการควบคุมตัวนักโทษชัด ๆ !”
“แต่ว่าครั้งนี้แกไม่ต้องทุกข์ใจหรอก!”
“ที่ฉันออกจากเป่ยเจียงเพื่อฆ่าแก ถ้าเกิดแกไม่ตาย ชั่วชีวิตนี้ฉันหลิวชิงเหยาก็จะไม่กลับเป่ยเจียง!”
ฉินเทียนรู้สึกปลง
ทำไมอุปนิสัยของแม่นางคนนี้ถึงดื้อด้านอย่างนี้
ไม่เข้าใจว่าตกลงระหว่างทั้งสองคนมีบ่วงแค้นอะไรต่อกัน ผู้คนต่างไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
จ้าวเทียนเผิงนึกคิดดูสักพัก ก่อนจะเดินไปพูดกระซิบกับหลิวชิงเหยา
หลิวชิงเหยาลังเลใจอยู่พักหนึ่ง แล้วพยักหน้าด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
ใบหน้าของจ้าวเทียนเผิงเปี่ยมล้นไปด้วยความดีใจ แล้วพูดอย่างตื่นเต้น: “ทุกท่านครับ!”
“ตอนนี้ผมจะประกาศเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง”
“ในเมื่อชิงเหยาเข้าร่วมตระกูลจ้าวของเราแล้ว เธอก็จะเป็นคนในตระกูลจ้าวของเรา”
“ผมจ้าวเทียนเผิงไม่มีลูกชายไม่มีลูกสาว ครั้งแรกที่ผมเห็นชิงเหยาก็รู้สึกสนิทใกล้ชิดและถูกชะตามาก ๆ ”
“ตอนนี้ ผมจะขอรับชิงเหยาเป็นลูกบุญธรรมอย่างเป็นทางการในนามเจ้าบ้านตระกูลจ้าว”
“เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว เธอก็จะสามารถอยู่ในตระกูลจ้าวต่อได้อย่างถูกหลักทำนองคลองธรรม”
ลูกบุญธรรม?
เมื่อได้ยินข่าวคราวนี้ ทุกคนก็ตอบสนองกลับมาได้และเริ่มปรบมือ
เรื่องตลกที่ใจหายใจคว่ำจบลง หลิวชิงเหยาก้มคำนับอยู่หน้าจ้าวเทียนเผิง จากงานแต่งกลายเป็นงานนับญาติ
เปิดฉากด้วยงานสิริมงคล สุดท้ายก็จบลงด้วยงานสิริมงคล
พูดได้เลยว่านี่คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
ผู้คนต่างพากันเดินขึ้นมาอวยพร
ฉินเทียนก็รู้สึกว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีมาก ๆ แล้ว
แต่ทว่าเขาก็ยังรู้สึกว่าจ้าวเทียนเผิงขี้งกเล็กน้อย เพราะจ้าวเทียนเผิงเคยเล่าประวัติศาสตร์ความรักระหว่างเขาและยู่หลิงหลงให้ตนฟัง
รับลูกสาวของคนรักเก่ามาเป็นลูกบุญธรรม ไอ้แก่จ้าวนี่อยากรื้อฟื้นความสัมพันธ์เก่าเหรอ?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะอย่างอดไม่ได้
“งั้นก็ขอแสดงความยินดีกับเจ้าบ้านจ้าวด้วยนะครับ”
“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”
จ้าวเทียนเผิงรีบพูด: “คุณผู้ชายโปรดยั้งเท้าก่อนครับ!”
เขาถอนหายใจแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม: “บุญคุณที่เป็นผู้ชายมีต่อตระกูลจ้าว ผู้คนในตระกูลจ้าวจะไม่ลืมเลือนตลอดชีวิต”
“ผมรู้อยู่ว่าก่อนหน้านี้น้องสองของผมพนันกับคุณผู้ชายด้วยเงินเดิมพันสูงในหอว่างเจียง และเสียเมืองไปห้าเมือง”
“ตอนนี้เพื่อเป็นการขอบคุณคุณผู้ชายที่ยื่นมือเข้ามาช่วยอย่างเป็นธรรม ช่วยจัดการเรื่องราวปัญหาในตระกูลจ้าวให้อยู่ในระเบียบ ผมยินดีที่จะเพิ่มให้อีกห้าเมืองจากพื้นฐานห้าเมืองในตอนแรก”
“ทั้งหมดรวมเป็นสิบเมือง ตระกูลจ้าวของเราจะถอนการลงทุนและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกมามอบให้แก่คุณผู้ชาย”
“ได้โปรดคุณผู้ชายอย่าปฏิเสธนะครับ!”
บทที่ 398 เป็นไง
บทที่ 400 ชอบคุณ