บัญชามังกรเดือด - บทที่ 435 ออกรบ
บัญชามังกรเดือด บทที่ 435 ออกรบ
หลังจากตัดสินใจแล้ว ฉินเทียนเริ่มเจรจากับซูซู เพื่อย้ายสำนักงานใหญ่ของบริษัทซูยู่ไปที่เมืองจิ่นหู
หลังจากที่ซูซูได้ยินเช่นนั้น หัวใจเธอสั่นเล็กน้อย อย่างไรเสียด้วยการพัฒนาขององค์กร ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ของหลงเจียงมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ทั่วประเทศแล้ว หลงเจียงเป็นเพียงเมืองขนาดเล็กที่ไม่สะดุดตาในทางตอนใต้
ขั้นตอนต่อไป หากบริษัทซูยู่ต้องการบุกทะลวงตลาดทางใต้และพัฒนาไปทั่วประเทศ จำต้องเลือกถิ่นฐานที่ดีกว่านี้
โดยเฉพาะการตลาดออนไลน์
เนื่องจากเทคโนโลยีการตลาดออนไลน์ ต้องการคนที่มีความสามารถด้านเทคนิคเทคโนโลยีจำนวนมาก คนที่มีพรสวรรค์เหล่านี้ ส่วนใหญ่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศ สามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จ
พวกเขาชอบที่จะอยู่ในเมืองที่มีศักยภาพมากกว่า
หลิวหยุนตงนั้นบ่นอุบกับซูซูมากกว่าหนึ่งครั้ง การรับสมัครงานนั้นยากเกินไปแล้ว ผู้ที่มีทักษะโดดเด่นมากมายที่ถูกจับตามอง แม้ว่าพวกเขาจะต้องจ่ายแพง พวกเขาก็ไม่อยากมาทำงานในเมืองขนาดเล็กแห่งนี้
เป็นเพราะการคมนาคมที่ไม่ดีนัก
หลิวหยุนตงได้ยื่นข้อเสนอ ต้องการให้ย้ายตลาดออนไลน์ไปยังเมืองหลวง
ซูซูลังเลมาโดยตลอด รู้สึกว่าเมืองหลวงนั้นค่อนข้างไกลจนเกินไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง การจัดประชุมภายในบริษัทก็ยิ่งไม่สะดวก
ตอนนี้ หลังจากได้ยินคำพูดของฉินเทียน เธอรู้สึกเหมือนเห็นทางออกอยู่ตรงหน้า
เมืองหลวงนั้นไกล หลงเจียงคุณภาพคมนาคมก็ไม่ดี การประนีประนอมและย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังเมืองจิ่นหู อาจกล่าวได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยก็ว่าได้
นั่นคือการแก้ไขข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และไม่ไกลจากฐานทัพใหญ่
ยิ่งไปกว่านั้น เมืองจิ่นหูไม่ได้เป็นเพียงเมืองตัวแทนของทางใต้เท่านั้น แต่ภายในประเทศแล้วยังเป็นเมืองชั้นหนึ่งที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
เรียกได้ว่ามีศักยภาพมหาศาล
ซูซูครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าและกล่าว “ฉันรู้สึกว่าแผนการนี้ใช้ได้”
“แต่ว่า การย้ายสำนักงานใหญ่นั้นมีงานเข้ามาเกี่ยวข้องมากเกินไป และในปัจจุบันเราไม่คุ้นเคยกับเมืองจิ่นหู”
“ความคิดเห็นของฉัน สามารถแบ่งออกเป็นสามขั้นตอน”
“ขั้นตอนแรกคือการส่งคนไปที่จิ่นหูเพื่อตรวจสอบและคอยสังเกตการณ์ เหนือสิ่งอื่นใดจะต้องหาพื้นที่จัดตั้งสำนักงานที่เหมาะสม”
“แล้วก็จะมีที่ดินอุตสาหกรรมที่เหมาะสมแก่การที่เราจะจัดสร้างโรงงานหรือไม่ การขนส่งวัตถุดิบ การจัดเก็บคลังสินค้า ฯลฯ เรื่องเหล่านี้จะต้องวิเคราะห์ล่วงหน้า”
“อันดับสอง หลังจากผ่านอันดับแรกไปแล้วก็จะเปิดการตลาดออนไลน์ก่อน”
“อันดับสาม เมื่อเงื่อนไขทั้งหมดผ่านไปด้วยดีเราก็จะย้ายบริษัทไป”
“คุณคิดว่าไง?”
ฉินเทียนกล่าวด้วยความชื่นชม “สมแล้วที่เป็นภรรยาของฉัน”
“คิดได้อย่างละเอียดรอบคอบ”
“ที่รัก ตอนนี้คุณได้กลายเป็นนักธุรกิจหญิงที่ฉลาดหลักแหลมแล้ว”
ซูซูถ่มน้ำลาย เม้มริมฝีปากพลางเอ่ย “ฉันกำลังพูดกับคุณด้วยความจริงจัง อย่ามาขัดจังหวะฉัน”
“จิ่นหูมีตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากมายสถานการณ์ก็ซับซ้อน ขั้นตอนแรกนั้นมีความสำคัญมาก”
“คุณคิดว่าส่งใครไปที่นั่นจึงจะเหมาะสม?”
ฉินเทียนตบหน้าอกของเขา “ข้าน้อยยินดีที่จะไปที่นั่นก่อน เพื่อภรรยา จะทำให้ดีที่สุดแม้จะต้องตายก็ตาม!”
ซูซูรีบเอ่ย “ถุยถุยถุย! มาตงมาตายอะไร เป็นลางไม่ดี”
ฉินเทียนยิ้มและหัวเราะยกใหญ่ เขาเอ่ย “รับรองว่าจะทำหน้าที่ให้สำเร็จ โอเคไหม?”
ซูซูคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่าไม่มีใครเหมาะสมไปมากกว่าฉินเทียนอีกแล้ว เช่นนั้นจึงพยักหน้า
“งั้นฉันกับคนที่นี่จะรอฟังรายงานจากคุณอยู่ที่หลงเจียง”
“แต่ฉันอยากจะบอกคุณว่าใช้สมองให้มากขึ้น ใช้หมัดให้น้อยลง อย่างไรเสียพวกเราก็ทำธุรกิจ ต้องคบหาสมาคมเอาไว้เยอะหน่อย ความสงบนำมาซึ่งเงิน”
“คุณเข้าใจความหมายของฉันไหม?”
ฉินเทียนประทับจุมพิตลงบนใบหน้าของซูซู “เข้าใจครับ”
“ในฐานะสามี จะไม่ยอมให้เสียภารกิจแน่”
“พรุ่งนี้ฉันจะออกเดินทาง เธอรอฟังข่าวดีเถอะ”
ซูซูผลักฉินเทียนออกไปและพูดด้วยใบหน้าแดงก่ำ “แล้วคุณยังไม่รีบไปเตรียมตัวอีก”
ฉินเทียนกลืนน้ำลายของเขาและพูดขึ้น “ภรรยา พรุ่งนี้ฉันจะต้องไปออกรบแล้ว ค่ำคืนนี้คุณจะไม่ปลอบขวัญกำลังทหารหน่อยเหรอ?”
ซูซูลุกขึ้นด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “งั้นฉันจะไปทำอาหารให้คุณ”
“ไม่ต้องแล้ว” ฉินเทียนโอบอุ้มซูซูไว้ในอ้อมแขนและเดินขึ้นไปยังชั้นบนด้วยท่าทีตื่นเต้น
….
สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ท้องฟ้ากลางดึกส่งเสียงกระซิบ
ขณะเดียวกัน เมืองอู่หู,เมืองจิ่นหู
ภายในคฤหาสน์ขนาดใหญ่ ห้องนั่งเล่นที่หรูหรา มีโต๊ะสำหรับจัดงานเลี้ยงสามโต๊ะ
เจ้าบ้านตระกูลหม่า ผู้นำสมาคมแก๊งค์หม่า หม่าจั๋วชุน กำลังมอบความสนุกและบันเทิงให้แก่เครือญาติ
บนใบหน้าของทุกคนประดับด้วยรอยยิ้ม บรรยากาศดูครื้นเครงและกลมเกลียว
“ตระกูลหม่าของเรา ไม่ได้ทานอาหารเย็นร่วมกันแบบนี้มานานแล้ว ช่วงนี้ทุกคนล้วนแต่ทำงานหนัก มา ฉันจะดื่มให้ทุกคนด้วยหนึ่งจอก”
“ค่ำคืนนี้ ดื่มได้ตามใจต้องการ ไม่ต้องอัดอั้น”
หม่าจั๋วชุนยืนขึ้นพร้อมกับจอกเหล้าของตนเอง คนอื่นต่างก็รีบลุกขึ้นและดื่มหมดจอกในคราเดียว
“พ่อ ภายใต้การนำที่ชาญฉลาดของพ่อ ในปีนี้ผลการดำเนินงานของเราเติบโตขึ้นอย่างประสบความสำเร็จ”
“นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี!”
“พ่อ ลำบากคุณแล้ว ฉันจะดื่มฉลองให้คุณ”
หม่าจินหลงกล่าวด้วยความเคารพ
“ใช่แล้ว เจ้าบ้านมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล นำเราไปสู่ความรุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น!”
“ไม่น่าแปลกใจ ปีนี้เป็นปีเก็บเกี่ยว ธุรกิจครอบครัวทำเงิน พวกเราเองก็จะมีชีวิตที่ดีในแต่ละวัน”
“เจ้าบ้านลำบากแล้ว”
“ขอบคุณเจ้าบ้านมาก!”
สมาชิกตระกูลที่อยู่โดยรอบเอ่ยอย่างตื่นเต้น
หม่าจั๋วชุนหัวเราะเสียงดังยกใหญ่ จากนั้นดื่มหมดแก้วอีกครั้ง
“จั๋วชุน คุณดื่มน้อยลงหน่อย อายุมากขึ้น ไม่เหมือนปีนั้นแล้ว”
ข้างกายหม่าจั๋วชุน ผู้หญิงสาวสวยคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม เธอชื่อว่าหยางเสี่ยวหุ้ย เธอเป็นภรรยาคนที่สองของหม่าจั๋วชุนหลังจากที่ภรรยาเดิมของเขาเสียชีวิต
และยังเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดหม่าจินหลง
หม่าจั๋วชุนถอนหายใจและพูด “ร่างกายของฉันน่ะสู้ปีนั้นไม่ได้จริงๆ”
“แต่ว่า วันนี้มีความสุขมาก เสี่ยวหุ้ยคุณให้ผมดื่มอีกหน่อยเถอะ”
หยางเสี่ยวหุ้ยยิ้มอย่างมีเสน่ห์และกล่าว “อย่าเอาแต่ดื่มเลย วันนี้คุณให้ทุกคนมารวมตัวกัน มีเรื่องสำคัญจะประกาศใช่ไหม?”
ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็อยู่ในความสงบ
หม่าจั๋วชุนลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดด้วยรอยยิ้ม “การเรียกทุกคนมาที่นี่ ในแง่หนึ่งเป็นรวมตัวของครอบครัว”
“อีกอย่าง อันที่จริงก็มีเรื่องอยากจะประกาศให้ทุกคนทราบ”
เขาชำเลืองมองไปรอบด้าน ฉับพลันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและเอ่ย “จินหยู่ยังไม่มาเหรอ?”
หม่าจินหยู่ เป็นลูกชายคนโตของเขา เป็นเด็กที่เกิดกับเขาและภรรยาคนแรกของเขา เป็นพี่ชายคนโตของหม่าจินหลง
สมาชิกที่ดูเหมือนจะซื่อสัตย์รีบเอ่ย “เจ้าบ้าน คุณชายใหญ่อยู่ในแผนกขนส่ง คืนนี้มีสินค้าสำคัญที่จะต้องส่งออก คุณชายใหญ่นั้นไม่วางใจ จำต้องไปตรวจดูด้วยตนเอง”
“ฉันได้แจ้งเขาแล้ว และเชื่อว่าเขาจะมาที่นี่ในไม่ช้า”
เขาชื่อว่าหม่าจั๋วโหว เป็นลูกพี่ลูกน้องของหม่าจั๋วชุน
แม้ว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดจะห่างไกล แต่เนื่องจากเขาจริงจังในการทำสิ่งต่างๆ หลายปีที่ผ่านมาเขาได้ช่วยเหลือครอบครัวอย่างมาก ดังนั้นจึงมีบทบาทสำคัญในการทำงาน
นับได้ว่าเป็นแกนหลัก
เพราะมีนิสัยคล้ายคลึงกัน หม่าจั๋วโหวอยู่ภายในตระกูล ความสัมพันกับคุณชายใหญ่หม่าจินหยู่นับได้ว่าดีที่สุด
ละทิ้งความสัมพันธ์ระหว่างคุณลุงกับหลานชาย ราวกับเพื่อนต่างวัยที่มีมิตรภาพอย่างลึกซึ้ง
สมาชิกในตระกูลหลายคนเอ่ยชื่นชม “คุณชายใหญ่หลายปีมานี้ทำเพื่อตระกูล ทำงานอย่างหนักและสร้างคุณงามความดีไว้มากมาย”
“สมแล้วที่เป็นคุณชายใหญ่!”
“ไม่เพียงแต่มีความสามารถ แต่ยังทนต่อความลำบากได้ด้วย!”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของหยางเสี่ยวหุ้ยก็หทรุดลง เธอเอ่ยเย้ยหยัน “แล้วยังไงกัน?”
“ฉันคิดว่าคุณชายใหญ่นั้นใช้ตำแหน่งของตนไม่ถูกต้อง งานประเภทนี้ควรส่งมอบให้แก่ลูกน้องถึงจะถูก”
“การเป็นผู้นำต้องมีอุดมการณ์ในการเป็นผู้นำ”
“เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่ แต่แยกเรื่องสำคัญมากสำคัญน้อยไม่ได้เลยสักนิด”
“หากว่าเป็นเหมือนเขาทั้งหมด จะต้องวิ่งไปคุมงานด้วยตัวเอง ภายในสำนักงานไม่มีใครคอยควบคุมกำกับ แบบนี้จะไม่ยุ่งวุ่นวายหรอกเหรอ?”
“จั๋วชุน คุณว่าฉันพูดถูกไหม?”