บัญชามังกรเดือด - บทที่ 503 โอกาสยังมาไม่ถึง
บัญชามังกรเดือด บทที่ 503 โอกาสยังมาไม่ถึง
เมื่อได้ยินเสียงของเจี่ยงเถียนเถียน ลิเหลียงก็รีบพูดขึ้นทันควันว่า:”เชิญเข้ามาข้างใน”
“ป้าหวัง รบกวนชงปี้หลัวชุนให้หนึ่งกาหน่อย และเตรียมถาดผลไม้ให้อีกถาดหนึ่ง แล้วก็เม็ดมะม่วงหิมพานต์ที่คุณหนูเจี่ยงชอบทานด้วย”
เพื่อหลีกเลี่ยงคำนินทา และแสดงความมีคุณธรรมสูงส่งของตน ลิเหลียงจึงเปิดไฟทั้งหมดออก และเรียกคนรับใช้ยืนข้างๆ อีกด้วย
“เถียนเถียน เธอมีเรื่องอะไร ตอนนี้พูดได้หรือยังครับ?”เขาพูดอย่างอ่อนโยน
เจี่ยงเถียนเถียนเดือดดาลขึ้นมาทันที
ในเวลาและบรรยากาศที่สวยงามนี้ ทั้งสองคนไม่สามารถมาเรียนรู้ซึ้งกันและกัน และพูดคุยกันดีๆ ได้เชียวหรือ?
เปิดไฟสว่างไสวขนาดนี้ แล้วยังให้คนรับใช้หลายคนยืนอยู่ข้างๆ อีก เหมือนกับว่าเป็นคนแปลกหน้ากัน
เธอรักใคร่ชื่นชมภาพลักษณ์คุณชายที่อ่อนโยนของลิเหลียงราวกับหยก แต่บางครั้งก็รู้สึกว่าคนคนนี้หัวโบราณเกินไป
เธอกัดฟันและเอื้อมมือไปจับมือของลิเหลียงทันที
“พี่ลิเหลียง เส้นทางการค้าสหพันธ์ของเจ็ดเมืองทางใต้กำลังจะถูกสถาปนาขึ้น พี่อยากเป็นผู้นำหรือไม่?”
ลิเหลียงตัวแข็งเล็กน้อย และผลักมือของเจี่ยงเถียนเถียนออกอย่างจงใจ แล้วพูดว่า:”เถียนเถียน ทำไมเธอถึงพูดแบบนี้ล่ะ?”
“เธอไม่รู้จริงๆ หรือว่า ฉันไม่เคยสนใจชื่อเสียงและลาภยศเหล่านี้เลย”
“ฉันเข้าใจแล้ว ใช่พ่อของเธอให้มาลองใจฉันใช่ไหม?”
“ถ้าเขาอยากเป็นผู้นำ ฉันมีคะแนนหนึ่งเสียงอยู่ในมือ”
สายตาของเจี่ยงเถียนเถียนเป็นประกายขึ้นขึ้นมา:”พี่ลิเหลียง พี่จะช่วยพ่อของฉันจริงๆ หรือ?”
“พ่อของฉันบอกว่า ขอเพียงแค่เขาได้เป็นผู้นำ อย่างนั้น——”
พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็เขินอายขึ้นมา หน้าแดงก่ำจนพูดต่อไปไม่ไหว
ลิเหลียงยิ้มและพูดว่า:”เถัยนเถียน พ่อเธอพูดว่าอย่างไร?”
เจี่ยงเถียนเถียนจัดริมฝีปากและพูดเบาๆ ว่า:”เขาบอกว่า ที่จริงแล้วเขาไม่ได้สนใจตำแหน่งผู้นำอะไรนั่นแม้แต่น้อย”
“แต่ เขามีฉันที่เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว เพื่อฉันแล้ว ถ้าเขาได้เป็นผู้นำจริง อย่างนั้นตำแหน่งผู้นำ ก็คือสินสอดทองหมั้นของฉัน——”
“พี่เหลียง พี่คิกว่า พ่อของฉันหมายความว่าอย่างไร?”เธอเสแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ และมองไปลิเหลียงด้วยดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความหวัง
ลิเหลียงยิ้มและพูดว่า:”ความหมายง่ายนิดเดียว ใครที่แต่งงานกับเธอ ไม่เพียงแต่ได้โอบกอดสาวสวยกลับบ้าน แต่ยังเท่ากับได้สืบทอดตำแหน่งผู้นำอีกด้วย”
เจี่ยงเถียนเถียนพูดเสียงเบาว่า:”ถ้าอย่างนั้นพี่อยากสืบทอดตำแหน่งผู้นำหรือไม่คะ?”
นี่ถือว่าเป็นการสารภาพรักอย่างโจ่งแจ้งแล้ว
เหล่าคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ต่างร้อนใจแทนลิเหลียง หญิงสาวที่ดีขนาดนี้ จะไปหาได้จากที่ไหนอีก?
ศิลธรรมสูงส่งของคุณชายท่านนี้เหมือนว่าจะมากเกินไปเสียแล้ว
“เถียนเถียน เราอย่าพึ่งพูดเรื่องนี้ดีกว่า”
“อีกอย่างหนึ่ง คุณพ่อของเธออยากเป็นผู้นำ แค่คะแนนเสียงของผม มันไม่เพียงพออยู่ดี”
เจี่ยงเถียนเถียนพูดขึ้นด้วยความรีบร้อน:”อันนี้พี่วางใจได้เลย!”
“พ่อของฉันได้รับการสนับสนุนจากเฉินเถิงแล้ว ฉันได้ยินพวกเขาพูดว่า เหมือนยังมีคะแนนของสองเมืองอีก โดยได้อยู่ในการควบคุมแล้วเช่นกัน”
“ตอนนี้มีแค่ตัวแปรเดียว ก็คือคนที่ชื่อว่าฉินเทียน แต่เฉินเถิงได้ไปคุยกับฉินเทียนในฐานะตัวแทนของพ่อฉันแล้ว”
“พี่ลิเหลียง ถ้ารวมเสียงคะแนนนี้ของพี่เข้าไปด้วย พ่อของฉันต้องได้เป็นผู้นำแน่นอน!”
มีสิ่งผิดปกติปรากฏอยู่ภายในดวงตาของลิเหลียง
“ตระกูลเฉินมีอำนาจแข็งแกร่ง และพ่อของเธอได้รับการสนับสนุนจากพวกเขา ต้องได้รับเลือกเป็นผู้นำอย่างราบรื่นแน่นอน”
“เถียนเถียนเธอวางใจเถอะ ฉันจะไม่ทำให้เธอผิดหวังแน่นอน”
“พี่พูดแบบนี้ พี่รับปากแล้วใช่ไหม?”
“พี่ลิเหลียง ขอบคุณค่ะ!”
ด้วยความตื่นเต้นของเจี่ยงเถียนเถียน จึงเข้าใกล้ลิเหลียงทันที และจูบประโลมลงบนใบหน้าที่ราวกับหยดน้ำจากแมลงปอของเขา
“พี่ลิเหลียง ฉันก็จะไม่ทำให้พี่ผิดหวังเช่นกันค่ะ!”เธอพูดขึ้นมาหนึ่งประโยค และวิ่งจากไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“ยินดีด้วยครับคุณชาย!”
“หญิงสาวที่ดีอย่างคุณหนูเจี่ยง เห็นไม่มากแล้วจริงๆ”
“ที่สำคัญกว่านั้นคือ ความลุ่มหลงในความรักที่เธอมีต่อคุณชาย แม้แต่พวกเราที่เห็นแล้วก็ยังซาบซึ้งใจ”
คนรับใช้แสดงความยินดีด้วยรอยยิ้ม
ลิเหลียงขวยเขินเล็กน้อย โบกมือไปมาและพูดว่า:”ลำบากพวกคุณแล้ว”
“นี่มันก็ดึกแล้ว ไปพักเถอะ”
คนรับใช้ถอยออก และลิเหลียงก็ปิดไฟลง ใบหน้าของเขาในความมืด กลับมาดูเย็นชาอีกครั้ง
ดวงตาคู่หนึ่ง ยิ่งเหมือนหลุมลึกสองหลุมที่ไร้ซึ่งก้นบึ้งก็ไม่ปาน และมันลึกจนมองไม่เป็นก้นบึ้ง
“คุณชาย เจี่ยงเส้าลงมือแล้ว”
“เขาร่วมมือกับตระกูลเฉิน ส่งเฒ่าตาบอดกับพญายมสามตาไปจัดการกับฉินเทียน”
“ถ้าหากฉินเทียนรับมือไม่ไหว และฝักใฝ่กับพวกเขา สถานการณ์นี้จะไม่เป็นผลดีต่อเราหรือเปล่าครับ?”
ถงเหรินปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียง และถามขึ้นอย่างกังวลใจ
ลิเหลียงยิ้มขึ้นอย่างเย็นช้าแล้วพูดว่า:”นายรู้ฐานะที่แท้จริงของฉินเทียนหรือไม่?”
ถงเหรินชะงักไปครู่หนึ่ง:”เขาเป็นแค่นักบู๊คนหนึ่งไม่ใช่หรือครับ?”
“การที่ได้รับการสนับสนุนจากอานกั๋วและตระกูลจ้าวที่เมืองหยุนชวน นั่นเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนตรงไปตรงมา และช่วยพวกเขาปราบปรามกบฏได้”
ลิเหลียงหัวเราะอย่างเย็นชา
“นักบู๊คนหนึ่งอย่างนั้นเหรอ? ถ้าหากฉินเทียนเป็นแบบนี้จริง อย่างนั้นเขาก็ไม่คู่ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของฉันแล้ว”
“ถงเหรินครั้งนี้ พวกเราต่างต้องพบกับศัตรูตัวฉกาจแล้วเหล่ะ”
เห็นได้ชัดว่าถงเหรินไม่ยอมแพ้ และพูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า:”ขอเพียงคุณชายออกคำสั่ง ผมก็ยินดีที่จะสู้กับฉินเทียน!”
“ผมไม่เชื่อว่า เขาจะสามารถเอาชนะผมได้!”
ลิเหลียงพูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา:”เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนในการพิสูจน์หรอก”
“หมากรุกใหญ่เกมนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว พวกเรารับมือตามขั้นตอน และคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ก่อน”
“ไปบอกหยางหยวนชิ่งว่า ตระกูลเจี่ยงและตระกูลเฉินได้ร่วมมือกันแล้ว และต่อไปถึงเวลาที่เขาต้องออกโรงแล้ว”
“ครับ!”
ถงเหรินหันหลังเตรียมตัวจากไป
“ใช่แล้ว——”ลิเหลียงคิดอะไรบางอย่างได้ จนสีหน้าท่าทางเกิดความสับสนขึ้นเล็กน้อย
เขาลังเลสักพัก และพูดเสียงเบาว่า:”นายแจ้งสายการบินว่า ช่วงนี้ให้พวกเขาระวังนักท่องเที่ยวที่มาจากยุโรปหน่อย”
ถงเหรินชะงักไปครู่หนึ่ง พอได้สติขึ้นมา จึงพูดว่า:”คุณหนูใหญ่จะกลับมาแล้วหรือครับ?”
ลิเหลียงลุกขึ้นและเดินไปยังห้องนอน
ทั้งร่างของเขาหลอมรวมเข้าไปในความมืด จนมองไม่เห็นสีหน้าท่าทาง
“บอกพวกเขาว่า ถ้าเห็นคุณหนูใหญ่แล้ว ให้บอกฉันทันที”
“ครับ!”ถงเหรินโค้งคำนับอีกครั้ง แล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว
คืนนี้เป็นคืนที่ไม่สงบที่ถูกลิขิตไว้แล้ว เพราะตอนกลางวันพึ่งมีการประกาศข่าว การจัดตั้งพรรคสันนิบาตธุรกิจของเจ็ดเมืองทางใต้ออกมา
เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้จะเป็นการเปิดศึกหาเสียงอย่างเป็นทางการ โดยใช้เวลาสิบวัน
ซึ่งคืนนี้เป็นการการปรับกลยุทธ์ความสามารถของฝ่ายต่างๆ และเป็นการลองชั้นเชิงของการขยายการดำเนินงาน
หยางหยวนชิ่งแห่งตระกูลหยางได้เดินลงไปในห้องชั้นใต้ดินห้องหนึ่ง
ห้องชั้นใต้ดินมีเนื้อที่หลายร้อยตารางเมตร และผนังห้องโดยรอบล้วนเสริมความแข็งแรงด้วยหินแกรนิต
ไม่มีแสงไฟสปอร์ตไลท์อย่างในยุคปัจจุบัน จุดเพียงคบเพลิงสี่อันลุกโพลงของมุมทั้งสี่ด้านเท่านั้น
บนแท่นหินตรงกลาง มีชายคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ บนมือและเท้าทั้งคู่ของเขา กลับถูกมัดด้วยโซ่หนาใหญ่
เขาไม่รู้เลยว่าอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว เรือนร่างขาวไปทั้งตัวจนน่ากลัว ราวกับซอมบี้ขนขาวอย่างไรอย่างนั้น
“ผู้นำตระกูลหยางมาด้วยตัวเอง นี่ถึงเวลาที่จะฆ่าฉินเทียนแล้วใช่หรือไม่”เขาพูดอย่างเย็นชา เมื่อมองเห็นหยางหยวนชิ่ง
ปีศาจขาว พี่ชายแท้ๆของปีศาจดำ ก็เป็นยอดฝีมือแข็งแกร่งที่ตระกูลหยางชุบเลี้ยงอย่างลับๆ
ก่อนหน้านี้ หยางหยวนชิ่งได้ให้หยางคุนลูกชายของเขา ปล่อยข่าวให้กับปีศาจขาวว่า ปีศาจดำถูกฉินเทียนฆ่าตาย
เขาบอกให้ปีศาจขาว แต่ไม่อนุญาตให้ปีศาจขาวออกไปแก้แค้น ก็เพื่อสะสมความโกรธแค้นของปีศาจขาว
มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถทำลายล้างฉินเทียนให้สิ้นซากได้ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ส่วนโซ่เหล็กที่อยู่บนร่างกายของเขา มันเป็นความต้องการของปีศาจขาวเอง เป้าหมายก็เพื่อล็อตหัวใจแห่งนักพรต และหลีกเลี่ยงการวิ่งหนีออกไปกลางคันเพราะการฝึกฝนที่น่าเบื่อ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเพิ่มโซ่เหล็กบนร่างกายนั้น ก็เทียบเท่ากับการฝึกฝนแบกรับที่เกินกำลัง ซึ่งมีประโยชน์อย่างมากในการพัฒนากำลังภายใน
แม้ว่าเป็นยอดฝีมือที่ตนชุบเลี้ยงขึ้นมา แต่ทุกครั้งที่หยางหยวนชิ่งเห็นปีศาจขาว ก็หงุดหงิดใจอยู่เรื่อย
บางครั้ง เขาเองก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่า การฝึกฝนอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อการพัฒนาตัวเองของนักบู๊เหล่านี้ ตกลงมันมีประโยชน์อะไร
ฝึกฝนจนเก่งแค่ไหน สุดท้ายแล้ว ก็ต้องขายชีวิตให้กับคนร่ำรวยเหล่านี้ไม่ใช่หรือ?
ช่างเป็นพวกคนโง่จริงๆ
“จังหวะและโอกาสที่จะฆ่าฉินเทียนยังมาไม่ถึง”
“แต่ทว่า เกมหมากรุกก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว”
“พี่ พรุ่งนี้ผมอยากให้พี่นำของขวัญชิ้นใหญ่ไปเยี่ยมฉินเทียนแทนผม”เขาพูดด้วยรอยยิ้มอันเย็นชา