บัญชามังกรเดือด - บทที่ 557 ลงคะแนนเสียง
บัญชามังกรเดือด บทที่ 557 ลงคะแนนเสียง
พูดตรงๆ ลิเหลี่ยงและคนอื่นๆ เป็นเพียงสำนักกิเลนเล็กๆ ภายใต้บังคับบังชาของวิหารเทพสังหารเท่านั้น
แค่สำนักกิเลน ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ไปทั่วทั้งเจ็ดเมืองทางใต้ แล้วอย่างนี้ ไม่รู้ว่ายังมีสำนักแยกย่อยไปอีกเท่าไหร่กัน?
แล้วยังมีคนอย่างลิเหลียง ที่ซุ่มซ่อนตัวอยู่สถานที่ต่างๆ ในสถานะที่ไม่เหมือนกันอีกกี่คน?
แค่ลิเหลียงคนเดียวก็น่าหวาดกลัวได้ถึงเพียงนี้แล้ว แล้วสิบแปดเทพสังหารที่ลิเหลียงกล่าวถึงล่ะ?
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ในปัจจุบัน สมาชิกของสิบแปดเทพสังหารยังไม่ครบเป็นแน่ และต้องมีตำแหน่งว่างเว้นไว้อย่างแน่นอน
ไม่อย่างนั้น ลิเหลียงคงไม่ฮึกฮึมขนาดนี้ ที่จะสร้างความสำเร็จ และกลายเป็นหนึ่งในสิบแปดเทพสังหารหรอก
แต่ก็ต้องมีเทพสังหารประจำการอยู่แล้วอย่างแน่นอน
เทพสังหารเหล่านี้ จะมีกำลังมหาศาลที่น่าสพรึงกลัวอยู่อีกเท่าไหร่?
ยิ่งคิดยิ่งสยดสยองอย่างที่สุด จนทำให้ขนลุกซู่
เรื่องพวกนี้ มีทางเดียวคือควบคุมลิเหลียงและคนอื่นๆ กลับไป แล้วค่อยๆ สอบสวน
ในที่สุดเฆตก็เปิดออกจนมองเห็นแสงจันทร์สว่างไสว (อุปมาว่าฟ้าหลังฝนสดใสเสมอ) แต่ฉินเทียนกลับเหนื่อยล้าชั่วขณะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และแม้ว่าเมื่อครู่ในช่วงสุดท้ายเขาจะส่งพลังอำนาจที่น่าแกรงขาม จนเอาชนะลิเหลียงได้
แต่อาการบาดเจ็บในร่างกาย ยังไม่หายดี
“เหล่าหม่า นายพาทุกคน ร่วมมือกับคุณชายจี้ ควบคุมคนเหล่านี้”
“โดยเฉพาะลิเหลียงต้องระวังเป็นพิเศษ”
“พวกเรากลับกันเถอะ”
หลังจากที่ฉินเทียนจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จ จึงเตรียมที่จะลงจากเวที
ตอนนี้เขาแค่อยากจะกลับไปเร็วๆ เพื่อจัดการเรื่องต่อจากนี้ให้เสร็จ กลับหลงเจี่ยง ไปโอบกอดซูซู และนอนสามวันสามคืนในเมืองชนบทที่อ่อนโยน
“เดี๋ยวก่อน!”
ใครจะรู้ว่า จี้ซิงกลับเหนี่ยวรั้งเขาไว้
“พี่เทียน ยังมีเรื่องสำคัญที่ยังทำไม่เสร็จเลย นี่พี่ต้องการจะกลับแล้วเหรอ?”
“อย่าพึ่งลงจากเวทีนะ!”
ฮืม?
ฉินเทียนชะงักไปครู่หนึ่ง และพูดว่า:”ยังมีเรื่องอะไรอีก?”
รอยยิ้มมีเจ้าเล่ห์ปรากฎอยู่บนใบหน้าของจี้ซิง
ไม่ใช่เพียงแค่เขาเท่านั้น อานกั๋ว หลินหลง จ้าวเทียนเผิง ที่อยู่ข้างๆ ต่างแสดงอาการที่เหมือนกัน
ซึ่งส่งสายตาที่มีเล่ห์นัยมองไปที่เขา
ฉินเทียนถูกเพ่งมองจนขนลุก ราวกับเฆตมหอกที่ตกลงมา
“พวกนายเป็นอะไรกัน?”
“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ บาดเจ็บเล็กน้อย กลับไปปรับสภาพสักพักก็ดีแล้ว……”
“สู้มานานขนาดนี้ ทุกคนต่างเหนื่อยกันแล้ว รีบกลับไปพักเถอะ!”
พูดจบ พลางจะลงจากเวทีอีกครั้ง ซึ่งเขาคิดว่าทุกคน ต้องการการจะจัดพิธีเฉลิมฉลองอะไรสักอย่างให้กับตนเอง
สิ่งนี้สำหรับเขาแล้ว ไม่มีความสำคัญอะไรเลย
เขาทำเรื่องต่างๆ ด้วยด้วยเจานาของหัวใจ แต่ไม่ใช่เพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติยศ
“อย่าขยับ!” จี้ซิงตะโกนเสียงดังลั่นอย่างสุขุม เขากระแอมเล็กน้อย โดยจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและปรับสภาพให้ดูดีเหมาะสม
จากนั้น สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที และเดินขึ้นเวทีไปทีละก้าวทีละกล้าว
แล้วมองไปยังฉินเทียน ด้วยสายตาร้อนแรง และเดินใกล้เขามาทีละก้าวทีละก้าว
ฉินเทียนรีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว
“นายจะทำอะไร?”
“ฉันไม่เอาการกอด! รีบออกไป!”
“คือ ฉันสัญญาว่าจะไปร่วมงานแต่งงานของนายแล้วนิ?”
ทำไมรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ของจี้ซิง คือต้องการที่จะกอดเขา และตามด้วยจูบที่เร่าร้อน
เขาถอยไปเรื่อยๆ จนถึงขอบเวทีซวนหยวน และถอยไปมากกว่านี้ก็จะตกลงไปแล้ว
ในที่สุดจี้ซิงก็หยุดการก้าวเดิน
เขาโค้งคำนับด้วยความเคารพอย่างสูง และตะโกนพูดว่า:”ขอบคุณพี่เทียนอย่างสุดซึ้งที่ปกป้องพวกพ้อง และปราบปีศาจจนพ่ายแพ้ไป”
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตระกูลจี้จะยกย่องและเคารพพี่เทียน!”
“ฉันจี้ซิงในนามตัวแทนของตระกูลจี้ ลงคะแนนหนึ่งเสียงสนับสนุนพี่เทียนเป็นผู้นำใหญ่แห่งเจ็ดเมืองทางใต้!”
อะไรนะ?
ฉืนเทียนตกตะลึง เขาคิดไม่ถึงว่าจี้ซิงจะแสดงท่าทีแบบนี้ต่อหน้าทุกคน
เขายังไม่ทันได้พูดอะไร อานกั๋ว หลินหลง และจ้าวเทียนเผิง ที่อยู่ข้างล่างเวที ก็เดินขึ้นมาบนเวทีเช่นกัน
พวกเขาทำเหมือนอย่างจี้ซิง โดยโค้งตัวลงคำนับด้วยความเคารพ ตะโกนตามลำดับว่า:”อานกั๋วแห่งเจี่ยงหนาน——”
“หลินหลงแห่งเป่ยเจี่ยง!”
“จ้าวเทียนเผิงแห่งหยุนชวน——”
“ขอบคุณคุณชายเทียนอย่างสุดซึ้งที่ปกป้องพวกพ้อง และปราบปีศาจจนพ่ายแพ้ไป”
“พวกเรายินดีสนับสนุนคุณชายเทียนเป็นผู้นำใหญ่แห่งเจ็ดเมืองทางใต้!”
“ฉันด้วย!”
“ตระกูลหม่าจะปฏิบัติตามคำสั่งของคุณชายเทียนอย่างเคร่งครัดแต่เพียงผู้เดียว!”
“ตระกูลหม่าลงคะแนนเสียงให้คุณเทียนหนึ่งคะแนน!”หม่าจั๋วชุนแทบรอไม่ไหวและวิ่งขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
ถึงตอนนี้ ในที่สุดหินก้อนใหญ่ในใจของเขาก็วางลงได้แล้ว ซึ่งเดิมทีเขาก็เป็นฝ่ายเดียวกันกับฉินเทียน
แต่ก่อนหน้านั้น ภายใต้แรงกดดัน เขาไม่กล้าที่จะสนับสนุนฉินเทียนอย่างเปิดเผย ตอนนี้มาคิดดูแล้ว ทำให้รู้สึกผิดเหลือเกิน
ในเวลานี้ จะไม่ให้รีบแสดงความจงรักภักดีได้อย่างไรกัน
ต่อมาก็คือ หลินตงเมืองตงหัว และเหยียนซิวเมืองฝูหลิง
เขาทั้งสองขึ้นไปบนเวที ด้วยความรู้สึกผิดอย่างที่สุด และขอโทษสำหรับพฤติกรรมโง่ๆ ที่ใส่ร้ายฉินเทียนก่อนหน้านั้น และยินดีสนับสนุนให้ฉินเทียนเป็นผู้นำพัธมิตรใหญ่
ได้รับการสนับสนุนของเจ็ดตระกูล
ตอนนี้เหลือเพียงตระกูลเจี่ยง ตระกูลหยาง ตระกูลเฉิน และตระกูลลิ สี่ในห้าตระกูลใหญ่าเท่านั้น
“พ่อ พูดอะไรหน่อยเถอะ!”ลิฉุนพูดเสียงเบากับลิเว่ยจง
สีหน้าของเธอ ดูขวยเขินเล็กน้อย
ลิเว่ยจงจับมือของลิฉุนไว้แน่น พูดอย่างฮึกเฮิมว่า:”ฉุนเอ๋อร์ พ่อไม่ได้งยุ่งกับเรื่องของวงส์ตระกูลมานานนับหลายปีแล้ว”
“ตอนนี้ลูกกลับมาพอดี ฉันขอประกาศต่อหน้าเพื่อนร่วมอุดมการณ์ทุกท่านว่า ลิฉุนลูกสาวของฉันคือ ทายาทคนต่อไปของตระกูลลิ”
“เธออายุยังน้อย ต่อไปหวังว่าทุกท่านจะให้การแนะนำดูแลนะครับ”
ในฐานะที่เป็นวงส์ตระกูลอันดับหนึ่งในเจ็ดเมืองทางใต้ การเปลี่ยนผู้นำในตระกูล นี่ถือว่าเป็นข่าวใหญ่สำหรับนักธุรกิจบู๊ที่อยู่ที่นั่นอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ตระกูลลิเป็นบริษัทการแพทย์และยา ซึ่งผู้ที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลที่อยู่ที่นี่ เป็นเพียงซัพพลายเออร์หรือตัวแทนจำหน่ายของตระกูลลิเท่านั้น
พวกเขาเทียบเท่ากับเถาวัลย์ที่ติดอยู่บนลำต้นของต้นไม้ใหญ่อย่างตระกูลลิ
ไม่มีตระกูลลิ ก็ไม่มีพวกเขา
หลังจากฟังคำพูดของลิเว่ยจงแล้ว พวกเขาทุกคนก็ร้องโห่ไชโยอย่างสุขสม
“ผู้นำตระกูลลิปราดเปรียวยิ่งนัก!”
“คุณหนูลิฉุนทั้งสวยและก็ฉลาด เธอต้องสามารถนำตระกูลลิก้าวขึ้นอีกขั้นในอนาคตได้อย่างแน่นอน”
“ขอแสดงความยินดับกับคุณหนูที่ได้สืบทอดกิจการ!”
“คุณหนูลิ ต่อไปขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย ”
นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ผู้คนที่อยู่ที่นี่ ที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกันกับตระกูลลิ เมื่อเห็นความงามของลิฉุนที่โดดเด่นเช่นนี้ และการปรากฎของสาวงามแข็งแกร่งที่เจ็ดเมืองทางใต้นั้น พวกเขาเองก็มีความสุขที่ได้เห็นความสำเร็จของเธอ
ที่นั่นมีเสียงยินดีและเยินยอไปทั่ว
“จะทำแบบไก้ยังไง แบบนี้ไม่ได้!”
“พ่อคะ พ่อรีบกลับคำพูดเมื่อครู่เถอะ เรื่องใหญ่ขนาดนนี้ มาเล่นเป็นเด็กแบบนี้ได้อย่างไร”
“อีกย่าง หนูเองก็ไม่เข้าใจเรื่องธุรกิจด้วย ฉันทำไม่ได้!”
เมื่อถูกฝูงชนร้องโห่ ลิฉุนอายและร้อนร้น ปฏิเสธด้วยใบหน้าแดงก่ำ
ลิเว่ยจงจับมือลูกสาวไว้แน่น และพูดจากใจว่:”ฉุนเอ๋อร์ เมื่อก่อน เพราะกลัวว่าลูกจะถูกลิเหลียงทำร้าย ดังนั้นพ่อจึงจงใจเพิกเฉยต่อลูก จนทำให้ลูกต้องไปอยู่ต่างแดนไกลพ้น”
“พ่อขอโทษลูกด้วย!”
“ลูกวางใจได้ ต่อไปจะพ่อคอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง ไม่ว่าเรื่องอะไร ลูกแค่พุ่งชนไปข้างหน้าอย่างเดียว”
“พ่อจะเป็นกองกำหลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของลูก”
เมื่อเห็นว่าลิฉุนยังจะปฏิเสธอยู่ ลิเว่ยจงจึงกล่าวว่า:”อีกอย่าง ตอนนี้พ่อเหลือแต่ลูกที่เป็นญาติคนเดียว ถ้าลูกไม่สืบทอดธุรกิจครอบครัวนี้ ยังสามารถให้ใครมาสืบทอดได้อีก?”
หลังจากฟังคำพูดเหล่านี้ ลิฉุนก็เงียบไปโดยไม่พุดอะไร
“เอาล่ะ คุณโตเป็นสาาวแล้ว ก็อย่าเอาแต่ใจเลย เรื่องนี้ถือว่าเอาตามนี้แล้วกัน”
ลิเว่ยจงยิ้มอย่างปลื้มปิติยินดี และเปลี่ยนเรื่องขึ้น โดยพูดด้วยความหยอกล้อว่า:
“ตอนนี้ ลูกในฐานะผู้สืบทอดของตระกูลลิ เรื่องแรกที่ต้องทำคือ เป็นตัวแทนตระกูลลิลงเสียงคะแนน และเลือกผู้นำใหญ่แห่งเจ็ดเมืองทางใต้”
“ลูกอยากลงคะแนนให้ใคร ก็ลงคะแนนให้คนนั้น พ่อสนับสนุนลูกเต็มที่!”