บัญชามังกรเดือด - บทที่ 64 คนที่มองวิวทิวทัศน์
“จากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ เงินหนึ่งพันล้านจากเทียนฟู่แคปปิตอลสำหรับการลงทุนบริษัทซูยู่ ตอนนี้ได้โอนเข้าบัญชีแล้ว!”
“ธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในหลงเจียง ธนาคารเจี้ยนหลง ได้ออกแถลงการณ์ในทันที ยินดีที่จะเปิดหุ้นกู้ปลอดดอกเบี้ยมูลค่าหนึ่งพันล้านให้กับบริษัทซูยู่”
“รัฐบาลเมืองมีการประชุมฉุกเฉิน พื้นที่อุตสาหกรรม16ไร่ได้รับการอนุมัติเป็นพิเศษสำหรับบริษัทซูยู่เพื่อสร้างเขตนิคมอุตสาหกรรม”
“บริษัทก่อสร้างอู๋ซื่อได้เซ็นสัญญากับบริษัทซูยู่ รับผิดชอบอย่างเต็มกำลังสำหรับก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม”
“อุปกรณ์การแพทย์เทียนเจี้ยนซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเทียนฟู่แคปปิตอล กล่าวว่าได้รับแบบฟอร์มการสั่งซื้อสินค้าจากบริษัทซูยู่ พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ในการผลิตอุปกรณ์การสกัดยาจีนที่ทันสมัยที่สุด รับประกันว่าจะส่งมอบให้ทันเวลา”
“หลิวชิเป็นผู้รับหน้าที่ เริ่มเดินสายการวางจำหน่าย”
“กงลี่ในนามของซูซู ได้เซ็นข้อตกลงความร่วมมือที่ครอบคลุมกับผู้ปลูกยาจีนแผนโบราณส่วนใหญ่”
“บริษัทซูยู่ ยังเตรียมที่จะทำสัญญากับที่ดินหลายหมื่นไร่ เพาะเลี้ยงฐานการเพาะปลูกของตน มั่นใจในคุณภาพและการจัดหาวัตถุดิบ”
“บริษัทซูยู่ซื้ออาคารสำนักงานทั้งหลัง เปลี่ยนชื่อเป็นอาคารซูยู่”
“บริษัทซูยู่ตัดสินใจกระจายความเสี่ยง ดำเนินงานเป็นแบบองค์กร จดทะเบียนในนามซูยู่กรุ๊ป”
………..
ข่าวคราวทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสายราวกับระเบิด ระเบิดที่ทำให้ซูเป่ยซานนั้นเวียนศีรษะ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและกระอักกระอ่วนใจ
เรื่องราวดำเนินมาจนวันนี้ ไร้เรี่ยวแรงและหนทางที่จะย้อนกลับไปได้
เขานั้นรู้สึกผิดพลาดและเสียใจมาก!
ถ้าในตอนแรกเขายอมรับความหวังดีของซูซู เข้าร่วมบริษัทของซูซู ถ้าอย่างนั้นในตอนนี้ ภายใต้ความมั่งคั่งร่ำรวยนี้ก็จะมีสัดส่วนของเขาด้วยใช่หรือไม่?
ในทางกลับกัน หลังจากผ่านเรื่องอื้อฉาวของการประชุมการลงทุน ตระกูลซูก็ได้กลายเป็นเพียงหนูข้างถนน ถูกผู้คนดูหมิ่นหยามเหยียด
ลูกค้าที่เคยร่วมงานกับตระกูลซูในอดีต ต่างก็ตีเส้นวางขอบเขตกับพวกเขาเป็นครั้งแรก และหันเข้าหาบริษัทซูยู่แทน
ด้านหนึ่งคือบริษัทซูยู่ที่กำลังเจริญรุ่งเรืองราวกับน้ำมันที่ปรุงอาหารอยู่บนกองไฟ อีกด้านหนึ่งคือตระกูลซูที่ยิ่งใหญ่ที่เงียบสงัดราวกับกำลังจะดับสูญก็ไม่ปาน
“สำหรับคนอื่นน่ะช่างเถอะ คาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลอู๋จะเข้าหาพวกเขาเร็วถึงขนาดนี้”
“พี่ คุณต้องไปเจรจากับพี่เขยเกี่ยวกับเรื่องนี้!” ซูเหวินเฉิงเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวโกรธ
ซูหนานกัดฟันและเอ่ย “ฉันจะโทรหาพี่เขยของนายเดี๋ยวนี้!”
“จิ่นซิ่วกรุ๊ปของตระกูลอู๋ เป็นผู้สร้างอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในหลงเจียง ตราบใดที่พวกเขาไม่สนับสนุน นิคมอุตสาหกรรมของซูซูก็ไม่สามารถสร้างขึ้นได้หรอก”
“เมื่อถึงเวลานั้นก็คอยดูว่าพวกเขาจะผลิตได้อย่างไร!”
ซูหนานรีบต่อสายโทรศัพท์หาอู๋เฟย
“คุณพูดอะไรนะ? คุณสามี คุณกำลังล้อฉันเล่นหรือเปล่า?”
“นี่เป็นเวลาอะไรแล้ว ที่รักอย่ามาล้อเล่นกันสิ”
“ใครเขาจะล้อเล่นกับเธอ!” ภายในสายโทรศัพท์ เสียงโกรธของอู๋เฟยดังขึ้น “เธอน่ะมันร้ายลึก ฉันสุดจะทนกับคนอย่างเธอแล้ว”
“ตอนนี้ฉันจะบอกให้เธอรู้ไว้นะว่าเราหย่ากันแล้ว!”
“เธอกล้าใส่ร้ายคุณซูซู เธอออกไปจากชีวิตฉันซะ จะออกไปก็ออกไปแต่ตัวด้วยล่ะ!”
ซูหนานยังคงยืนนิ่งงั้นอยู่อย่างนั้น
ตระกูลอู๋คือที่พึ่งพาสุดท้ายของพวกเขา คาดไม่ถึงเลยในช่วงเวลาวิกฤติ พวกเขากลับถูกทอดทิ้งอย่างไร้ความปราณี
เพื่อที่จะประจบสอพลอซูซู อู๋เฟยจึงได้ขีดเส้นแบ่งเขตกับซูหนานอย่างชัดเจน
สมแล้วที่เป็นซูเป่ยซาน ในช่วงเวลาวิกฤต เขาเองยังสงบอยู่ได้ เป็นเพราะเขารู้ว่าส่วนสำคัญของปัญหาก็คือซูซู
ตราบใดที่คืนดีกับซูซู ปัญหาทั้งหมดที่ตระกูลซูต้องเผชิญก็จะได้รับการแก้ไข
“ซูยู่คุน ตระกูลซูมีวันนี้ได้ก็เป็นเพราะความผิดของลูกชายและลูกสาวที่ไม่น่าพอใจของพวกคุณ”
“ตอนนี้ ฉันสั่งให้คู่สามีภรรยาอย่างพวกคุณพาซูเหวินเฉิงและซูหนานไปคุกเข่าขอโทษซูซู!”
“อย่างไรเสียซูซูก็เป็นเพราะในตระกูลเรา ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะนั่งมองและเพิกเฉย!”
“ตอนนี้เธอเองก็เป็นผู้มีอิทธิพลและได้รับความสนใจจากสังคม แบกรับชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่เป็นตราบาปว่าถูกตระกูลทอดทิ้งไปไม่ได้”
“ใช่ ใช่ ใช่”
“พ่อ ได้โปรดวางใจ ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็จะขอร้องให้ซูซูให้อภัย!”
คู่สามีภรรยาซูยู่คุน พาลูกชายและลูกสาวซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำให้พวกเขาภูมิใจมายังเลคไซด์ วิลล่า ด้วยท่าทีราวกับหมาจนตรอกที่ระมัดระวังตัวและหวาดกลัว
เหนือความคาดคิดประตูใหญ่ถูกล็อคอย่างแน่นหนา
“พวกเราจะต้องทำงานอยู่แน่ พวกเราไปที่บริษัทกัน!”
พวกเขามายังอาคารซูยู่และถูกรปภ.เรียกตัวไว้ หากว่าไม่ได้นัดหมายก็ไม่สามารถเข้าไปได้
ซูยู่คุนโทรหาซูซูด้วยตนเอง แต่กลับพบว่าโทรศัพท์ถูกปิด โทรศัพท์ของหยางยู่หลันก็ไม่สามารถติดต่อได้เช่นกัน
ท้ายที่สุด พวกเขามาถึงโรงงานขอร้องซูเป่ยฉีซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ได้รับคำตอบคือ หยางยู่หลันได้พาซูซูและฉินเทียนออเดินทางไปยังฉู่โจวแล้ว
ฉู่โจวเป็นบ้านพ่อแม่ของหยางยู่หลัน ใกล้ถึงเทศกาลฉงหยางแล้ว พวกเขาคงไปเยี่ยมญาติ
“พ่อ แม่ พวกเราไปรอที่ประตูหน้าบ้านเถอะ รอพวกเขากลับมา!”
เพื่อที่จะได้รับความเห็นอกเห็นใจ ทั้งสี่คนได้สร้างเต็นท์สองสามหลังและพักอยู่หน้าบ้านของซูซู
…………
สายลมของแม่น้ำพัดผ่านอย่างอ่อนโยน ซูซูยืนอยู่บริเวณหัวเรือเพียงลำพัง
เรือหลายลำที่แข่งขันกันในน่านน้ำ นกนางนวลบินโฉบต่ำ ฝูงปลากระโดดท่ามกลางสายน้ำ ราวกับภาพวาดหมึกอันล้ำลึกอย่างไรอย่างนั้น
และเธอ เส้นผมสีดำปลิวไสว กระโปรงยาวพลิ้วไหว รูปร่างที่งดงามและบอบบางนั้นดูเหมือนจะเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดหมึกนี้
เธอยืนอยู่บนหัวเรือและมองวิวทิวทัศน์
คนที่มองวิวทิวทัศน์ จะมองเธอจากด้านหลัง
ฉินเทียนรู้สึกว่าตัวเองนั้นเพ้อฝันเล็กน้อย เมื่อนึกได้ว่าผู้หญิงที่สวยขนาดนี้จะเป็นภรรยาของเขา เขารู้สึกว่านี่ไม่เหมือนเรื่องจริงเอาเสียเลย
“ฉินเทียน คุณมานี่ แม่อยากจะพูดบางอย่างกับคุณสักหน่อย”
“ซูซู ด้านนอกลมแรง เธอเพิ่งจะหายป่วย อย่ามัวแต่ยืนอยู่ตรงนั้นเลย” เสียงของหยางยู่หลันดังขึ้นจากห้องโดยสารภายในเรือ
“แม่ ฉันยังจำได้ในตอนที่ฉันยังเด็ก มีเรื่องหนึ่งที่ฉันตั้งหน้าตั้งตารอคอย นั่นก็คือการมาบ้านคุณยายในช่วงเทศกาลฉงหยางกับคุณ เป็นเพราะว่าการมาที่นี่สามารถนั่งเรือได้”
“ฉันคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ คุณให้ฉันอยู่อย่างนี้สักพักเถอะ” น้ำเสียงหวานของซูซูดังก้องท่ามกลางสายลมของแม่น้ำ
เธอหยิบเศษขนมปังที่เหลือออกมาและให้อาหารฝูงปลาที่แหวกว่ายอยู่บริเวณเรือ
“แม่ครับ หายากนักที่จะมีความสุขได้ขนาดนี้ ปล่อยให้เธอเล่นไปสักพักเถอะ”
“คุณวางใจเถอะครับ ผมอยู่ที่นี่ ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เธอบาดเจ็บ”
“แม่ครับ เรียกผมมามีเรื่องอะไรเหรอ?” ฉินเทียนกลับมายังห้องโดยสารเรือ เขายิ้มและเอ่ยถาม
สีหน้าหยางยู่หลันดูลำบากใจเล็กน้อยพร้อมเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ฉินเทียน นี่เป็นครั้งแรกที่คุณมายังบ้านพ่อและแม่ของฉัน มีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกคุณในตอนนี้”
“เรื่องแต่งงานระหว่างคุณและซูซู ฉันปิดบังพ่อและแม่ของฉันมาโดยตลอด ซึ่งนั่นก็คือคุณยายและคุณตาของคุณ”
“พวกเขาอายุมากแล้ว ฉันกลัวว่าพวกเขาจะรับเรื่องนี้ไว้ไม่ไหว”
“การมาในครั้งนี้ ฉันเองก็เพิ่งบอกกับพี่ชายของฉันไป นั่นก็คือคุณน้าของคุณ”
“คิดว่าตอนนี้เขาเองก็น่าจะบอกกับพวกเขาแล้ว”
สีหน้าของฉินเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขายิ้มและเอ่ย “แม่ครับ คุณเป็นกังวลว่าคุณน้า คุณยายและคุณตาพวกเขาจะไม่เห็นด้วยที่ซูซูแต่งงานกับผมงั้นเหรอครับ?”
หยางยู่หลันพยักหน้าและกล่าว “ฉินเทียน แม่ไม่เคยถามคุณเลย ——วุฒิการศึกษาของคุณคืออะไร?”
“คุณเข้ามหาลัยแล้วหรือยัง?”
ฉินเทียนรู้ว่าพ่อและแม่ของหยางยู่หลันนั้นเป็นนักวิชาการระดับสูง ได้ยินว่าก่อนเกษียณอายุเคยเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
บุคคลเช่นนี้ ในแง่ของการเลือกคู่ครองสำหรับคนรุ่นหลัง ย่อมให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษา
ครั้นได้นึกถึงวัยเด็กของตนที่มีอดีตที่ยากจะลืมเลือน นัยต์ตาของฉินเทียนปรากฏร่องรอยของความเจ็บปวดและความเกลียดชังขึ้น
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหดหู่ “แม่ครับ ผมเข้าเรียนมัธยมครับ แต่เรียนไม่จบ”
“แบบนี้เอง…” สีหน้าของหยางยู่หลันเห็นได้ชัดว่าผิดหวังเล็กน้อย
แต่อย่างไรเสีย เธอกลัวว่าฉินเทียนจะคิดมาก เธอรีบเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก”
“ในสังคมปัจจุบัน ต้องมองกันที่ความสามารถ ไม่ใช่วุฒิการศึกษาหรอก”
“และคุณยายคุณตาของคุณต่างก็เป็นคนมีเหตุมีผล ตราบใดที่คุณเป็นคนที่ไว้ใจได้ พวกเขาจะไม่ว่าอะไรหรอก”
ฉินเทียนเห็นว่าหยางยู่หลันดูยังกังวลใจ เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “แม่ครับ ยังมีเรื่องอื่นอีกหรือเปล่า?”
หยางยู่หลันลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเอ่ย “ฉินเทียน คุณเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพันธมิตรฉู่ไหม?”