บัญชามังกรเดือด - บทที่ 651 เมืองฮั่นจง
บัญชามังกรเดือด บทที่ 651 เมืองฮั่นจง
นอกจากเฉินเอ้อร์กั่ว ฉินเทียนและเหลิ่งหยุน ก็ไม่ได้เจอกับโฉ่วนีมานานแล้ว ทุกคนต่างพร้อมหน้ากันมาด้วยความยินดี
หลังจากนั้นคลื่นสงัดลมสงบ ไม่นานก็มาถึงเมืองใต้
โฉ่วนีให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ฉินเทียนและคนอื่นๆ พักแรมอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามวัน ใช้วิธีเพื่อหาเบาะแสในตอนนั้น แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรเลยสักนิดเดียว
เดิมที ฉินเทียนเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเท่าไรนัก
เหลิ่งจุ้นและซากุราโกะ ได้หยุดพักที่เมืองใต้ระหว่างทางที่ลี้ภัยหนีมาในตอนนั้น น่าจะเป็นฝั่งของเทพลักซ่อนที่จงใจปรุงยานั้นออกมา
จุดประสงค์เพื่อนำทางให้เขาไปทางทะเล จากนั้นก็ใช้โจรสลัดเป็นที่กำบัง แล้ววางแผนใช้ปืนใหญ่ เพื่อทำให้พวกเขาหลับใหลไปตลอดกาลในห้วงทะเลลึกอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
สามวันต่อมา ทุกคนต่างร่ำลากัน เฉินเอ้อร์กั่วเดินทางไปยุโรปเพื่อทำธุระของบริษัท ส่วนฉินเทียนพาเหลิ่งหยุน โดยสารเที่ยวบินระหว่างประเทศมุ่งตรงสู่ฮั่นจง
เมืองฮั่นจง ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากในดินแดนแถบตะวันตกเฉียงเหนือ
สถานะเป็นรองแค่ เมืองชิ่ง สำนักงานใหญ่ของตระกูลฉินเท่านั้น
เครื่องบินค่อยๆ ลงจอดอย่างนุ่มนวลที่สนามบินนานาชาติ
เมืองฮั่นจง ผู้คนมากมายต่างเดินกันออกมา มองดูทิวทัศน์ไกลๆ อันคุ้นเคย อากาศที่ชื้นๆ แปรเปลี่ยนความทรงจำอันฝังลึกที่อยู่ในใจ
จู่ๆ ฉินเทียนก็รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ใกล้บ้านเกิดของตนขึ้นมา
แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่เมืองฉิน แต่ก็เคยเป็นสถานที่ที่เขาเคยใช้ชีวิตมาก่อน
ผ่านมาเพียงไม่กี่ปี แต่กลับรู้สึกเหมือนว่าผ่านไปยาวนานเป็นศตวรรษ
ในวันนี้ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินนี้อีกครั้ง ความทรงจำต่างๆ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ความทรงจำเหล่านั้นที่ถูกฝังมานานนับศตวรรษ ค่อยๆ ปรากฏแจ่มชัดขึ้นมาในสมองของเขา
ราวเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เวลานี้ ความรู้สึกต่างประเดประดังเข้ามาพร้อมกันหมด
“เธอไม่ชอบที่นี่ใช่ไหม? งั้นพวกเราทำธุระเสร็จก็รีบกลับกันเถอะ” เหลิ่งหยุนพูดเบาๆ อยู่ข้างๆ เขา
หลังผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ ผู้หญิงนิสัยหยิ่งยโสคนนี้ ก็กลายเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเช่นกัน
อย่างน้อยก็เวลาที่อยู่ต่อหน้าฉินเทียน เขาก็ไม่มีท่าทีดุดันอีกต่อไป แถมยังดูอ่อนโยนขึ้นอีกด้วย
ฉินเทียนพยักหน้า พูดเบาๆ ว่า “ที่นี่คือฮั่นจงเป็นเมืองเอกของเมือง บ้านเกิดของพ่อเธอ คือเมืองเหลียงโจว ห่างจากที่นี่ออกไปหลายร้อยกิโลอยู่เหมือนกัน ”
“พวกเราตรงไปที่เหลียงโจวกันเถอะ”
พวกเขาเรียกแท๊กซี่จากสนามบิน หลังจากที่อธิบายทางให้กับคนขับแล้ว พวกเขาไม่ได้เข้าไปในเมือง แต่ใช้ทางด่วนรอบเมือง เลี่ยง ฮั่นจง ตรงไปยัง เหลียงโจวทันที
อันที่จริงแล้ว ฉินเทียนเองกลับอยากจะเข้าไปดูในเขตเมืองอยู่เหมือนกัน
เขายังจำมหาวิทยาลัยที่เคยเรียนในตอนนั้นได้ ซึ่งอยู่ข้างๆ ทะเลสาบในเขตชานเมืองทางตะวันตก
และก็ยังมี ฮันหลิง
เมื่อนึกถึง ฮันหลิงขึ้นมา หัวใจของฉินเทียนก็ถูกแทงจนเจ็บปวดขึ้นอีกครั้ง เพราะว่าเขานึกถึงหูเฟยอีกด้วย
เรื่องราวของตระกูลหู จนถึงวันนี้ก็ยังไม่บรรลุผลสำเร็จ เขาสัญญากับฮันหลิง ว่าจะรีบกลับมาที่นี่โดยเร็วที่สุด เพื่อสืบสวนหาความจริงและล้างแค้นให้กับพี่ชายที่แสนดีของเขา และเพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้กับตระกูลหู
แต่ตามหาบัญชาแห่งตะวันตกไม่เจอ ภารกิจของเขาก็เลยยังไม่บรรลุผลสำเร็จลงไปได้
ดังนั้น เขาจึงยับยั้งชั่งใจตัวเอง และไม่โทรศัพท์หาฮันหลิง
ยิ่งเข้าใกล้บ้านเกิดของพ่อกับแม่เรื่อยๆ และยังเป็นสถานที่ที่พวกท่านเสียชีวิตอีกด้วย ท่าทีของเหลิ่งหยุนก็เงียบสงบลงเช่นกัน เขามองทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่ค่อยๆ ทิ้งห่างออกไปอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกเหงาขึ้นมาในใจบ้างเล็กน้อย
บรรยากาศภายในรถเงียบสงัด ทั้งสองต่างครุ่นคิดเรื่องของตน โดยไม่พูดคุยอะไรกันต่อ
หลังจากขับรถมาหลายชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเหลียงโจว เมื่อมองไปรอบๆ ที่นี่ก็คือเทือกเขาฉินหลิงอันสลับซับซ้อนนั้นเอง
ฉินเทียนบอกให้คนขับกลับไปได้ และให้เงินแก่คนขับเป็นสองเท่า เขาเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับเหลิ่งหยุน
ยี่สิบปีที่แล้ว ที่นี่มีหมู่บ้านอยู่มากมาย จากพัฒนาการตามยุคสมัย การปิดภูเขาเพื่ออนุรักษ์การปลูกป่า ประกอบกับการดำเนินชีวิตที่ไม่ค่อยสะดวกนัก หมู่บ้านส่วนใหญ่เลยย้ายไปอยู่เมืองใกล้ๆ นี้กันหมด
ป่าเขาอันเงียบสงัด พบเห็นนกและสัตว์ป่าได้ทุกที่ ทำให้คนรู้สึกเหมือนราวกับหวนคืนสู่ธรรมชาติ
“ถึงแล้วหล่ะ!”
หลังจากเดินทางมาราวหนึ่งชั่วโมง เหลิ่งหยุนก็พาฉินเทียนมาถึงด้านหลังของภูเขาแห่งหนึ่ง
เขายืนอยู่บนก้อนหินและชี้ไปยังบ้านโบราณจำนวนหลายหลังที่อยู่ด้านล่างนี้ และพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “กระท่อมเล็กๆ พวกนี้ มีชื่อว่าหมู่บ้านเหลิ่งเซ่อ”
“พ่อของฉันเกิดและโตที่นี่”
ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ไม่แปลกเลยที่ฐานที่มั่นในญี่ปุ่นของพวกเธอ ถึงมีชื่อว่าร้านเหลิ่ง ที่แท้มาจากที่นี่นี่เอง”
เหลิ่งหยุนหัวเราะและตอบว่า “ฉันยังคิดว่าสักวันหนึ่ง จะกลับมาใช้บั้นปลายชีวิตที่นี่”
“ตามฉันมา!”
“สถานที่อันสันโดษของพ่อแม่ฉัน ยังมีด้านบนด้วยนะ”
เขาเคลื่อนไหวตัวอย่างรวดเร็วในป่า ดูแล้วราวกับนางฟ้าผู้งดงามเลยก็ว่าได้
ไม่นาน ก็มาถึงภูเขาที่คนทั่วไปเข้ามาไม่ถึงแห่งหนึ่ง
เสียงน้ำไหลจากบ่อน้ำข้างๆ มีหน้าผาน้ำตกธรรมชาติแห่งหนึ่ง เป็นบ่อมรกตสวยงามราวกับเป็นดวงดาวที่ตกลงมาจากท้องฟ้า
เนินเขาที่ไม่ไกลจากบ่อมรกตนั้น มีหลุมฝังศพอยู่หลุมหนึ่ง บนป้ายหินเขียนไว้ว่า : หลุมฝังศพของเหลิ่งจุ้นและภรรยา
เนื่องจากไม่มีคนมาทำความสะอาดเป็นเวลานาน บนหลุมฝังศพจึงมีหญ้าและวัชพืชขึ้นอยู่จนเต็มไปหมด
เมื่อฉินเทียนเห็นตัวอักษรนั้นก็พยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง นี้คือลายมือของอาจารย์เอง”
เหลิ่งหยุนก้มหน้าและเริ่มจัดการกับวัชพืชที่อยู่บนหลุมฝังศพ จากนั้นก็ไปเก็บช่อดอกไม้กำใหญ่มาวางไว้ที่หน้าหลุมฝังศพนั้น
ฉินเทียนไว้อาลัยเป็นเพื่อนเขาอยู่สักพัก อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “สถานที่อันสันโดษของพวกเขา อยู่ใกล้ๆ แถวนี้ไหม?”
“ตามฉันมา!” เหลิ่งหยุนยืนขึ้นและเดินนำฉินเทียนข้ามผ่านเนินเขาไป ด้านหน้าเป็นป่าไผ่อันเขียวขจีแห่งหนึ่ง
กลางป่ามีบ้านไม้หลังหนึ่งสภาพทรุดโทรม อันเนื่องจากไม่ได้ซ่อมแซมมาเป็นระยะเวลานานหลายปี ประกอบกับร่องรอยการตัดไม้อย่างเห็นได้ชัด สภาพช่างทรุดโทรมอย่างยิ่ง
เมื่อผลักประตูเข้าไป ลมหายใจเปื้อนฝุ่นก็ซัดสาดเข้ามา
ฉินเทียนมองไปรอบๆ และพบว่าการตกแต่งภายในเป็นไปอย่างเรียบง่ายมากๆ เฟอร์นิเจอร์เพียงไม่กี่ชิ้นในนั้น รวมทั้งเตียง โต๊ะและเก้าอี้ ล้วนแต่เป็นงานไม้ทำมือทั้งสิ้น
คิดแล้วก็พอรู้ได้ว่า หลังจากที่เหลิ่งจุ้นพา ซากุราโกะมาใช้ชีวิตอย่างสันโดษที่นี่แล้ว แม้ว่าการใช้ชีวิตของเขาจะเป็นไปด้วยความยากจน แต่เขาก็ทำทุกอย่างด้วยตัวเองและเต็มไปด้วยความสุข
“เธอว่า ถ้าบัญชาแห่งตะวันตกอยู่ในมือของพ่อเธอจริงๆ ถ้าเช่นนั้นเขาจะซ่อนมันไว้ที่ไหนหล่ะ”
ฉินเทียนเดินสำรวจและพูดอย่างขมวดคิ้วไปพลาง
เหลิ่งหยุนส่ายหน้าและพูดว่า “ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เธอหาเองแล้วกันนะ”
“ฉันจะเก็บกวาดทำความสะอาดที่นี่ก่อน มาครั้งนี้ ฉันอยากจะอยู่สักสองสามวัน”
พูดพลาง เขาก็พับแขนเสื้อขึ้น และเริ่มทำความสะอาดห้องนั้นทันที
ฉินเทียนหันไปหันมาอยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่พบอะไร เมื่อเห็นว่าเหลิ่งหยุนกำลังยุ่งอยู่คนเดียว เขาก็เลยเริ่มรู้สึกเกรงใจ
“ฉันช่วยเธอเอง”
“เสี่ยวหยุน เธอจะพักอยู่ที่นี่จริงๆ หรือ?”
“ฉันว่านะ บ้านหลังนี้ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยแล้ว ดูสิ คานไม้ไผ่มันหักหมดแล้ว”
เขาพูดพลางและชี้ไปยังคานไม้ไผ่แท่งหนึ่งที่ยื่นออกมาจากหลังคาบ้าน
เหลิ่งหยุนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา และตอบเบาๆ ว่า “งั้นเธอก็เปลี่ยนให้ฉันสิ”
“ตกลง”
ฉินเทียนตอบตกลง หลังจากพูดจบ จู่ๆ ก็รู้สึกขึ้นมาว่า คานไม้ไผ่ลำนี้มีบางอย่างที่ผิดปกติ
หลังคาบ้านหลังนี้ทำจากไม้ไผ่ที่มีความหนาเท่ากันหลายสิบลำผูกติดกัน แต่ละลำมีสัดส่วนที่พอดี ราวกับแพไม้ไผ่ยังไงยังนั้น
แต่ลำที่แยกออกมานั้น ดูเหมือนมันจะเกินไปนิดหน่อย
เขากระโดดขึ้นไปและใช้มือจับไม้ไผ่ที่แยกออกมาแท่งนั้น
เนื่องจากไม้ไผ่นั้นมันเก่าเกินไป ผุเปื่อยไปหน่อย ดังนั้นจึงเกิดเสียงและหักลงมา
“ดู เห็นไหม ฉันบอกแล้วว่ามันไม่เหมาะที่จะพักอาศัยแล้ว….มันเปราะมากเกินไป แค่จับก็หักแล้ว”
“ฉันเปลี่ยนให้เธอทั้งหมดเลยดีกว่า”
พอฉินเทียนพูดจบ จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไม้ไผ่ที่หักอยู่ในมือนี้ มันหนัก ราวกับว่ามีน้ำหนักอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่ไม้ไผ่อยู่ข้างในนั้น
เขาตื่นเต้นและเอามือคว่ำลงด้านล่าง
เสียงก๊อกแก๊กดังขึ้น เหล็กชิ้นหนึ่งที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นก็หลุดออกมา