บัญชามังกรเดือด - บทที่ 672 โรงแรมเหล็ก
บัญชามังกรเดือด บทที่ 672 โรงแรมเหล็ก
สีหน้าของฉินเทียนดูมืดมนมากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานมานี้ในญี่ปุ่น เขาพบกับทั้งหานหลิงและเจียวเหลียง ในตอนนั้น หานหลิงถูกบังคับให้อยู่กับเจียวเหลียง เธอไม่เต็มใจเลยแต่ต้องฝืนใจอยู่
ตระกูลเจียวกลายเป็นราชาเหล็กแห่งฮั่นจง เจียวเหลียงไปที่ญี่ปุ่นเพื่อร่วมงานกับซานสุ่ยกรุ๊ป
แต่ไม่คาดคิดเลยว่าซานสุ่ยกรุ๊ปตัดสินใจร่วมมือกับฉินเทียนแทน
เจียวเหลียงเสียเงินมหาศาลไปกับสองแห่งและหลบหนีไปด้วยความอับอาย
ฉินเทียนให้เงินกับเธอสองก้อนหลังจากที่รู้ว่าหานหลิงตกอยู่ในสภาวะเช่นไรในช่วงที่ผ่านมา เขารู้สึกว่ากับทั้งสองตระกูล หานหลิงและตระกูลหานตกลงยุติความบาดหมางกัน และพวกเขาไม่ต้องอยู่ภายใต้ตระกูลเจียวอีกต่อไป
เขาไม่คิดเลยว่าหานหลิงยังคงตัดสินใจหมั้นหมายกับเจียวเหลียง
ทําไมกัน
หานหลิงเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เธอกลายเป็นสาวจอมวางแผนไปแล้วเหรอ
ด้านหนึ่งเอาเงินของเขาไป อีกด้านหนึ่งก็มองถึงตัวเงินและตัดสินใจแต่งเข้าตระกูลที่มั่งคั่งอย่างตระกูลเจียว เธอคิดจะแต่งงานเพื่อความมั่งคั่งในฐานะสมาชิกตระกูลเจียวแบบนั้นเหรอ
ถ้ามันเป็นความจริงล่ะ ให้ตายสิ เขารู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันที
ให้ตายสิ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้หรือไงกัน หรือว่านี่จะเป็นแผนการแฝงตัวเข้าตระกูลเจียว ร่วมมือกับเขาเพื่อสืบหาความลับการล่มสลายของตระกูลหู สืบหาต้นเหตุแห่งโศกนาฏกรรมของหูเฟยและหูเจีย ยิ่งครุ่นคิด ฉินเทียนก็ยิ่งกังวล ยิ่งสับสนกับหลายเรื่อง
ทันใดนั้น ลูกน้องของหานไท่ก็พูดขึ้นว่า “เฮ้ย คนแซ่ฉิน เห็นแก่ที่เคยเป็นเพื่อนเรียนด้วยกัน จะยกเว้นนะเว้ย รีบปล่อยมือซะ”
“กล้าดียังไงมาแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงของลูกพี่”
หานไท่เห็นภาพที่ฉินเทียนจับมือไป๋เสวี่ยค้างไว้ ไม่ยอมปล่อย เขาจึงโมโหและพุ่งเข้าไปหาฉินเทียน ตั้งใจจะชกให้คว่ำทั้งที่เขายังมีอาการเมาเหล้าอยู่
ฉินเทียนรู้ดีว่าคนพวกนี้เป็นแค่อันธพาลไม่เอาอ่าว เก่งกับคนในโรงเรียนและคนอ่อนแอกว่า ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย มีดีแค่ตัวใหญ่ แรงเยอะ เป็นพวกใช้กำลังเข้าว่า เป็นคนดังในโรงเรียนได้เพราะเป็นนักกีฬาฝีมือดีที่เด่นการใช้แรงเท่านั้น
สำหรับคนทั่วไป ไม่มีใครที่ไม่กลัวพวกอันธพาลพวกนี้
“ระวังหมัดของหานไท่นะ” ไป๋เสวี่ยตะโกนร้องด้วยความตกใจ
คนรอบข้างตกใจหวาดกลัวและถอยห่างออกไป แม้แต่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นยังตกใจจนต้องถอยหลบเพราะกลัวจะถูกชกด้วยหมัดที่มีความเร็วและความรุนแรงขนาดนี้ แต่ฉินเทียนยังคงนิ่งอยู่ที่เดิม
ไม่ว่าทุกคนจะตกใจและเป็นกังวลแค่ไหน ก็สายเกินไปที่ฉินเทียนจะหลบได้เพราะหมัดนั้นรวดเร็ว รุนแรง และมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตาเดียว เสียงหมัดแหวกอากาศตอกย้ำถึงความรุนแรงของหมัดนั้น แต่เมื่อหมัดนั้นใกล้จะกระทบใบหน้าของฉินเทียน เขากลับนิ่งเฉย ทำแค่ขมวดคิ้วแต่ไม่ได้มองไปทางที่กำปั้นพุ่งตรงมา เขาไม่สะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพียงแค่ยื่นมือออกมาคว้ากำปั้นที่พุ่งเข้ามาเท่านั้น
หมับ
หานไท่รู้สึกได้ว่ามันผิดปกติ เขารีบใช้เคล็ดวิชาหมัดเหล็กที่เคยร่ำเรียนมา แต่ไม่ว่าเขาจะถ่ายทอดพลังลงไปในหมัดขวามากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ไม่สะทกสะท้าน แถมพลังที่ส่งออกไปยังหายไปราวกับเขาชกและถ่ายทอดพลังไปสู่ปุยนุ่น ไร้พิษภัย ไร้อันตราย แต่โจมตีด้วยพลังก็ทำอะไรไม่ได้
บ้าอะไรกัน ความคิดมากมายวิ่งไปมาในหัวของหานไท่ คนที่รับหมัดของเขาได้ในสภาพนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา ต้องเป็นสุดยอดฝีมือที่รับการโจมตีได้อย่างไร้ร่องรอย แต่ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเป็นสุดยอดฝีมือได้แน่นอน เจ้าคนกระจอกคนนี้ไม่มีทางเป็นสุดยอดฝีมือได้ในไม่กี่ปีเด็ดขาด
บัดซบเอ๊ย หานไท่ได้แต่ก่นด่าตัวเองและหาทางแก้ไขสถานการณ์ แต่คนอย่างหานไท่ทำเป็นแค่อัดพลังลงไปในหมัดให้มากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งหานไท่เห็นใบหน้าที่สงบนิ่งของฉินเทียน หมัดของเขายิ่งเหมือนไร้เรี่ยวแรง
มันต้องมีเรื่องผิดพลาดแน่นอน ฉินเทียนไม่มีทางเป็นแบบนี้
มันต้องเป็นภาพลวงตา!
แต่ไม่ว่าหานไท่จะออกแรงมากแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถขยับมือ ดันกำปั้นเข้าปะทะใบหน้าของฉินเทียน หรือดึงมือข้างขวาออกจากอุ้งมือของฉินเทียนได้เลย
“เฮ้ย แกทำอะไรกับหมัดของฉันกันแน่วะ” เขากัดฟันถามออกไป น้ำเสียงสั่นไหวด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลายภายใต้อารมณ์ที่ดูเกรี้ยวกราดรุนแรง
ฉินเทียนเยาะเย้ย: “แค่ดื่มเหล้านิดหน่อยก็ทำเป็นลืมแล้วว่าฉันเป็นใคร ขนาดเพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียนที่คอยช่วยเหลือกันมา แกยังกล้าทำได้ขนาดนี้ ไม่เกรงใจ ไม่นึกถึงความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันเลย เลวสถุนยิ่งกว่าสวะเสียอีก”
“เอาล่ะ ตอนนี้ ขอโทษไป๋เสวี่ยซะ”
“แกว่าอะไรนะ” หานไท่ถึงกับตกตะลึง
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าฉินเทียนจะกล้าขัดขืนคำสั่งเขา ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะกล้าอวดดีขนาดนี้ต่อหน้าเขาและลูกพี่ของเขา และยิ่งไม่เคยคิดมาก่อนว่าฉินเทียนกล้าลงมือกับเขาแบบนี้ ไม่คิดว่ากล้าลงมือต่หน้าลูกพี่ของเขาแบบนี้ด้วย
“ไอ้บัดซบ บ้าไปแล้วเรอะ”
ยิ่งเห็นท่าทางของฉินเทียน หานไท่เริ่มลนลาน เขาตัดสินใจตะคอกซ้ำไปอีกว่า “รู้ไหมว่ากูเป็นใคร”
ลูกพี่ฉันคือหานไท่ คนของเจียวหลิง ลูกพี่ของอันธพาลแถบนี้นะ แม้แต่ตำรวจยังต้องเกรงใจเลย ผู้ชายที่เขาติดตามและทำงานให้ไม่ใช่คนธรรมดาที่คนอย่างฉินเทียนจะขัดขืนได้
“บัดซบเอ๊ย” หานไท่คำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว เขาทุ่มพลังทั้งหมดไปที่หมัดขวา หวังว่าจะใช้พลังทั้งหมดทะลวงอุ้งมือของฉินเทียน และชกเข้าที่หน้าของอีกฝ่ายให้ได้
ความคิดทั้งหมดของหานไท่เต็มไปด้วยความเกรงขามของหานไท่ เขาไม่คิดเลยว่าหนอนแมลงที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนจะกล้ากำแหงขนาดนี้กับเขาและลูกพี่ของเขา ความคิดทั้งหมดนี้ทำให้สภาพของเขาดูเหมือนสุนัขบ้าที่พร้อมจะอาละวาดได้ตลอดเวลา
“แย่ละสิ”
“รีบปล่อยมือ อยากตายหรือไง ไอ้หนู”
“อันตราย ท่าทางพวกมันตั้งใจจะฆ่าจริงๆ นะ”
“รีบหนีเร็วเข้า เดี๋ยวพวกมันฆ่าเอาหรอก”
เสียงเอะอะโวยวายด้วยความตื่นตระหนกของผู้คนที่รายล้อมอยู่ทำให้ตู้รถไฟตู้นั้นดูโกลาหล แม้แต่คุณตำรวจวัยกลางคนก็ไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้ ผู้คนมายมากต่างเอาใจช่วยและเป็นกังวลแทนฉินเทียน พวกเขาเห็นท่าทางของกลุ่มอันธพาลนี้แล้วพากันหวาดกลัวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นกับคนทั้งสอง
แม้แต่ตำรวจวัยกลางคนยังร้องออกมาระล่ำระลักว่า “ใจเย็นๆ อย่าพลีพลามนะ”
หานไท่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ฉินเทียนแนะนำตัวกับทุกคนนั้นด้วยความไม่พอใจ เขาหงุดหงิดตั้งแต่ที่ไป๋เสวี่ยพยายามหนีมาถึงตู้โดยสารตู้นี้ ยิ่งเห็นท่าทางของไป๋เสวี่ยกับฉินเทียน เขายิ่งอารมณ์เสีย อารมณ์คุกรุ่นของเขายิ่งปะทุหนักตอนที่เห็นลูกน้องเสียท่า หนังตาของเขาเริ่มกระตุกด้วยความหงุดหงิด จากนั้นเขาก็ตะคอกใส่ฉินเทียนว่า
“เฮ้ย ฉินเทียน ปล่อยหานไท่ซะ”
พอหานไท่พูดจบ ฉินเทียนทำเพียงแค่เหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะออกแรงที่มือของเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ท่าทีไม่แยแสของฉินเทียนทำให้หายเชาโมโหสุดๆ หนังตากระตุก คิ้วขมวด สีหน้าดุดันพร้อมฆ่าคน
“ถ้าไม่ขอโทษ วันนี้มึงไม่รอดแน่”
พูดจบเท่านั้น หายไถก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ถ่ายทอดจากฝ่ามือที่รับหมัดของเขาไว้ พลังนั้นรุนแรงขึ้น กำปั้นของเขาสัมผัสได้ถึงแรงบีบและความร้อนที่พุ่งสูงขึ้น ความร้อนที่แผ่เข้ามาในหมัดของเขาราวกับว่าเขาชกหมัดเข้าไปที่เตาเผาโลหะหลอมเหลว เตาเผาที่มีความร้อนสูงมากพอจะหลอมเหล็กกล้าให้เป็นของเหลวเพื่อขึ้นรูปใหม่
อ๊ากกกกกกกกก
หานไท่ร้องโหยหวนออกมา เขารู้สึกเหมือนหมัดของเขากำลังหลอมละลาย ความร้อนจากหมัดยังทำให้แขนของเขาร้อนผ่าวราวกับถูกไฟเผา
“ม่ายยยยย ช่วยด้วยยยยยยย” หายไถร้องโหยหวนออกมา จากนั้นเขารีบส่งเสียงอ้อนวอน หวังว่าอีกฝ่ายจะรามือ น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้และสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดของเขาทำให้ทุกคนสัมผัสได้ว่าเขากำลังเจ็บปวดอย่างยิ่ง เจ็บปวดจนเกินจะทนไหว ซึ่งเป็นสีหน้าที่ผู้คนโดยรอบไม่คิดว่าเขาจะแสดงสีหน้าออกมาเช่นนี้ในเวลานี้
สีหน้าเจ็บปวด ใบหน้าแดงก่ำ น้ำตาที่ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่เพราะความเจ็บปวดที่ได้รับ เส้นเลือดปูดโปนที่แขนขวาจนเด่นชัด ร่างกายที่สั่นสะท้านจนต้องคุกเข่าทรุดตัวลงกับพื้นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ กิริยาท่าทางราวกับความเจ็บปวดที่มือขวาสะเทือนไปทั่วร่าง ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบตะลึงจนตาค้าง
“อ้าว ตอนนี้ขอโทษได้หรือยัง” ฉินเทียนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่ทุกคนที่ได้ยินรู้ดีว่าฉินเทียนกำลังเยาะเย้ยหานไท่อยู่อย่างชัดเจน
“ได้ ฉันขอโทษ” หานไท่พยายามเค้นเสียงพูดจนจบประโยคด้วยความเจ็บปวด ยิ่งเขาพยายามฝืนสะกดความเจ็บปวดเพื่อพูดออกมาให้ชัดเจน เขายิ่งรู้สึกทรมานและอับอายมากเท่านั้น
“ฉันขอโทษที่ควบคุมตัวเองไม่อยู่ ฉันขอโทษที่หงุดหงิดง่ายเกินไป ฉันขอโทษที่หัวเสียกับเรื่องไร้สาระจนเผลอตั้งใจทำร้ายนาย”
หายไถรีบพูดออกมาอย่างรวดเร็วด้วยความหวังว่าจะทำให้เขาพ้นจากควาสมเจ็บปวดนี้ได้ในทันที แต่เมื่อเขาพูดจบแล้วเหลือบมองสีหน้าของฉินเทียน เขาก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พอใจกับการขอโทษของเขามากเท่าไหร่
“ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้องล่ะ ฉันสำนึกผิดแล้ว” หานไท่คร่ำครวญอ้อนวอนอีกครั้ง พลางทรุดตัวลงทำท่ากราบกรานขอขมาต่อหน้าผู้คนมากมายที่มุงดูอยู่
ฉินเทียนหัวเราะหึอย่างเย็นชา ก่อนจะปล่อยมือของหานไท่ เขาตั้งใจแค่สั่งสอนอีกฝ่ายเท่านั้น ทันทีที่หานไท่พูดคำว่าเขาสำนึกผิดแล้วและตั้งใจคุกเข่ากราบขอขมา ฉินเทียนจึงตัดสินใจปล่อยมืออีกฝ่าย ทั้งยังดึงพลังความร้อนที่ส่งไปยังมือของอีกฝ่ายคืนมาด้วย
เมื่อฉินเทียนปล่อยมือแล้ว หานไท่รีบดึงมือขวากลับมากุมไว้ทันที เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจและทรมานเขาเพิ่มขึ้น แค่ความเจ็บปวดจากการถูกบีบและความร้อนที่ส่งผ่านมาก็แทบทำให้มือของเขาแหลกเละจนสุกแล้ว ถ้าต้องเผชิญอีกครั้ง เขาก็ไม่รู้ว่าจะรักษามือข้างนี้ไว้ได้อีกไหม
ใบหน้าของฉินเทียนยังคงราบเรียบเช่นเดิม แววตาว่างเปล่าที่มองผ่านมาทำให้หานไท่สะดุ้ง และทำให้หานไท่สำนึกได้ว่าตัวเองไร้พลังต่อต้านอีกฝ่าย ความแข็งแกร่งของฉินเทียนในตอนนี้แตกต่างจากสภาพของฉินเทียนที่ดูอ่อนแอจนต้องอาศัยบารมีคนอื่นในสมัยเรียนนั้นอย่างสิ้นเชิง เขาไม่นึกฝันมาก่อนด้วยซ้ำว่าฉินเทียนในตอนนี้จะแข็งแกร่งขนาดนี้
“พี่ไท่ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“พี่ไท่ มันลงมือกับพี่แบบนี้ ให้พวกเราเล่นมันเลยไหมครับ”
ลูกน้องหานไท่ที่ตามมาสมทบไม่ได้เห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด พวกเขาเห็นเพียงแค่หานไท่ถูกเล่นงานจนต้องทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นเท่านั้น พวกเขาตั้งใจจะล้างแค้นให้รุ่นพี่ในแก๊ง เตรียมใจที่จะเล่นงานอีกฝ่ายถึงที่สุดแม้ว่าจะต้องเจ็บตัวบ้างก็ตาม
ตลอดเวลาที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดนี้ขึ้น หานไท่ได้แต่อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาได้สติกลับคืนมาตอนที่ลูกน้องแสดงท่าทางเอะอะและตั้งท่าพร้อมบวก พร้อมจะเข้าไปรุมกระทืบฉินเทียน หานไท่กลืนน้ำลายตัวเองลงคอด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน เขาคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาและลูกน้องแห่กันเข้าไปเล่นงานฉินเทียนในตอนนี้ แน่นอนว่าเขาไม่เหลือความกล้ามากพอจะต่อต้านอีกฝ่าย
เมื่อใช้เวลารวมสติและใช้สมองครุ่นคิดอย่างรวดเร็วเพื่อหาทางรอดแล้ว หานไท่กัดฟันพูดว่า “ไป๋เสวี่ย ฉันขอโทษ ฉันดื่มมากไปจนควบคุมตัวเองไม่อยู่”
“ได้ ฉันให้อภัยนาย”
ไป๋เสวี่ยโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของหานไท่ เธออยากให้เรื่องราวจบลงอย่างรวดเร็วและจบลงไปในทิศทางที่ดีต่อตัวเธอและคนที่เกี่ยวข้อง เมื่ออีกฝ่ายตัดสินใจขอโทษกันต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เธอก็ไม่ถือสาราวเรื่องอะไร นอกจากขอให้หานไท่อยู่ห่างๆ เธอไว้เท่านั้นพอ
“คราวหน้า นายก็ระวังหน่อย อย่าไปทำแบบนี้กับใครเข้าอีกล่ะ”
“เฮ้ย ไปกันได้แล้ว เร็วเข้า”
หานไท่สั่งลูกน้องตัวเองล่าถอยหลังจากที่หานไท่ขอขมาไป๋เสวี่ยแล้ว แต่เขากลับหันมาจ้องมองฉินเทียนด้วยความโมโหแทน เขาคิดว่าฉินเทียนเป็นพวกชอบเก็บงำฝีมือ ตั้งใจพวกเขาทำให้เสียหน้าเพราะฉินเทียนต้องการหาเรื่องหัวหน้าของเราโดยตรง ต้องการเป็นศัตรูกับตระกูลเจียว
“เจ้าคนแซ่ฉิน คราวนี้ ถือว่าแกโชคดีนะ”
“แกจะไปที่เมืองฮั่นใช่ไหม เดี๋ยวเจอกันที่นั่นเมื่อไหร่ แกจะได้รู้ดีว่าใครเหนือกว่าใคร”
เมื่อหานเขาตัดสินในพาลูกน้องของตนเองล่าถอยไปท่ามกลางสายตาและเสียงนินทาของผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สถานการณ์ตึงเครียดที่เกิดขึ้นในตอนนี้จึงหายไป เหลือแต่เพียงสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่ไม่มีใครพูดอะไร ต่างคนต่างแยกย้ายกันกลับไปทำกิจกรรมของตนเองตามเดิม
ความสงบกลับคืนสู่ตู้รถไฟตู้นี้อีกครั้ง
เมื่อนั่งอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองคน สีหน้าท่าทางของไป๋เสวี่ยก็กลับมาแสดงท่าทางเศร้าราวกับสาวงามที่นั่งจมอยู่กับความทุกข์ของตัวเองอย่างเงียบงันอีกครั้ง แล้วเธอก็นึกบางเรื่องออก จึงรีบหันมาถามฉินเทียนทันที
“ฉินเทียน นายกำลังจะไปเมืองฮั่นเหรอ”
“ใช่ ทำไมเหรอ” ฉินเทียนตอบกลับอย่างราบเรียบ นี่คือสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะทำทันทีที่ได้ยินว่าหานหลิงจะแต่งงานกับเจียวเหลียง “เธอก็จะไปงานหมั้นของหานหลิงด้วยไม่ใช่เหรอ”
“นายห้ามไปงานหมั้นนี้นะ ตั้งใจฟังให้ดี งานหมั้นนี้มีไว้เพื่อจัดการพวกที่เหลืออยู่ของหูเฟย ถ้านายไป พวกมันจะเล่นงานนายถึงตายแน่ ต่อให้นายเอาชนะหานไท่ได้ ก็ไม่รอดอยู่ดี”
ฉินเทียนนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไป๋เสวี่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไร ต่อให้พวกมันมามากแค่ไหน เธอก็ปลอดภัยแน่นอน”
“อีกอย่างนะ หานหลิงเป็นเพื่อนเก่าของเรา เธอกำลังจะหมั้น พวกเราควรไปอวยพรในฐานะเพื่อนไม่ใช่เหรอ พอรู้ข่าวแบบนี้ ฉันไม่ไปงานหมั้นของหานหลิงไม่ได้หรอก”
ไป๋เสวี่ยพยักหน้ารับคำพูดของฉินเทียนอย่างเป็นกังวล เธอรู้สึกว่าฉินเทียนเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนไปจนเธอรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนละคนกับผู้ชายนิ่งๆ ที่เธอรู้จักสมัยเรียน แต่เธอบอกไม่ได้ว่าฉินเทียนเปลี่ยนไปยังไง เปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน แต่เธอรู้สึกปลอดภัยและไว้ใจเขา
พูดง่ายๆ คือ การนั่งถัดจากฉินเทียนบนรถไฟขบวนนี้ทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจขึ้นมาก
เพื่อนสมัยเรียน ถ้าตอนนั้นไม่มีโอกาสทำความคุ้นเคยกันแบบนี้ ตอนนี้ก็รีบใช้เวลาที่มีทำความคุ้นเคยกันให้มากขึ้นสิ เวลาไม่รอใคร
ไป๋เสวี่ยตั้งใจใช้เวลาที่มีบนรถไฟขบวนนี้อย่างคุ้มค่า จนกว่ารถไฟจะเทียบชานชาลาและถึงที่หมายของพวกเขาทั้งสองคน
เวลาผ่านไปอย่างเงียบงันบนขบวนรถไฟ เมื่อความตึงเครียดหายไป ความผ่อนคลายและความเหนื่อยล้าก็เข้ามาเยือน ไป๋เสวีร่ยผล็อยหลับไปเช่นเดียวกับผู้โดยสารส่วนใหญ่บนรถไฟขบวนนี้
เธอหลับใหลไปในท่านั่งพิงฉินเทียน เมื่อรถไฟจอดที่ชานชาลา ฉินเทียนจึงสะกิดปลุกเธอให้ตื่นขึ้น เธอสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมา จากนั้นเมื่อรับรู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและทำอะไรอยู่ ใบหน้าเรียวงามของเธอก็แดงก่ำด้วยความอาย เธอไม่กล้าหันไปมองหน้าฉินเทียนที่นั่งมองเธออยู่นานแล้ว
“ไปบ้านตระกูลหาน ไปตามหาหานหลิงกันก่อนเถอะ”
เธอรีบกล่าวระล่ำระลัก
“ไปที่บ้านของหานเพื่อตามหาหานหลิงก่อน!”
เธอก้มศีรษะลงและรีบลุกออกไป ก้าวลงรถไฟไปกับผู้โดยสารคนอื่นๆ ทันที
ด้านนอกสถานี หานไท่และพวกพากันจับจ้องมองไปที่ฉินเทียนและไป๋เสวี่ยอย่างไม่วางตา แววตาเคียดแค้นราวกับไฟเผาและแววตากระหายเลือดดั่งมัจจุราชที่เล็งเหยื่อไว้แล้วปรากฎขึ้นในดวงตาของพวกเขา ไม่มีใครกล้าหยามพวกเขามากขนาดนี้ และพวกเขาไม่มีทางปล่อยให้ฉินเทียนรอดไปได้ง่ายๆ แน่นอน
“ไอ้คนแซ่ฉิน ถ้าแน่จริง มึงมาที่โรงแรมเหล็ก กูจะต้อนรับอย่างสาสมเลย กูกับพี่เจียวเหลียงจะทำให้มึงลืมไม่ลงแน่นอน”
หานไท่มองเหยื่อทั้งสองอย่างไม่คลาดสายตา
โรงแรมเหล็ก (เถียลู่กวน) ตั้งชื่อตามคำว่า “เหล็ก (เถีย)” ซึ่งเป็นป้ายชื่อแสดงศักดิ์ฐานะแสนสำคัญของตระกูลเจียวในเมืองฮั่น
พิธีหมั้นของหานหลิงและเจียวเหลียงจัดขึ้นที่นี่ เพราะพวกเขาอยากจัดขึ้นที่นี่ ไม่ได้มีความหมายแอบแฝงแต่อย่างใด แต่มันกลายเป็นสถานที่สำคัญที่เจียวเหลียงตั้งใจจัดการกับพวกพ้องที่เหลือรอดของหูเฟย
งานใหญ่กําลังจะจัดขึ้นที่นี่!