บัญชามังกรเดือด - บทที่ 673 คฤหาสน์ตระกูลหู
บัญชามังกรเดือด บทที่ 673 คฤหาสน์ตระกูลหู
ฉินเทียนไม่ได้ไปกับไป๋เสวี่ยไปที่บ้านตระกูลหานเพื่อตามหาหานหลิง เขาคิดว่าต่างฝ่ายต่างแยกกันเพื่อความปลอดภัยดีกว่า เพราะไม่ว่ายังไงในเมืองนี้ ฉินเทียนเป็นเป้าที่ใหญ่กว่าไป๋เสวี่ย การที่ทั้งคู่ไปด้วยกันอาจทำให้เธอโดนลูกหลงไปด้วย
เมื่อแยกทางกัน เขาบอกไป๋เสวี่ยให้บอกหานหลิงว่า ถ้ามันจำเป็น ถ้าเพื่อพวกพ้อง ต่อให้แลกด้วยอะไร เขาก็จะแบกรับความรับผิดชอบนั้นไว้เอง
“เธอรู้ใช่ไหมว่าจะหาฉันได้ที่ไหน” ฉินเทียนถามย้ำอีกครั้งก่อนแยกทางกัน เมื่อเห็นไป๋เสวี่ยพยักหน้ารับ เขาก็แสดงท่าทางพอใจออกมา
ให้ตาย เขาต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งจนได้
เขากําลังจะไปที่บ้านตระกูลเพื่อดูสถานการณ์และสภาพในขณะนี้
เพื่อนสมัยเรียนคนนั้น เพื่อนสนิทที่ตายแทนกันได้ ถึงเขาจะตายไปนานแล้วก็ตาม ฉินเทียนก็ไม่มีวันลืมได้ เขาตั้งใจมาที่นี่เพื่อแสดงความเคารพต่อเพื่อนผู้วายชนม์ และค้นหาเบาะแสที่อาจเหลืออยู่
ตระกูลหูเป็นพ่อค้าตระกูลแรกในตลาดการค้าของราชวงศ์ฮั่น และโดยธรรมชาติแล้ว ที่นี่ไม่ใช่สถานที่แปลกๆ ในการอยู่อาศัย หากแต่เป็นสถานที่ที่ผู้คนมากมายอยากมาอาศัยอยู่
คฤหาสน์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เชิงเขาและมีพื้นที่หลายสิบไร่
คฤหาสน์หลังนี้เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งของหูเฟย มีแต่คนที่เขาไว้ใจเท่านั้นที่หูเฟยยินดีพามาที่นี่ อีกทั้งที่นี่ยังมีกฎกติกาเข้มงวดเพื่อป้องกันคนไม่ดีที่ต้องการเข้ามาที่นี่ การได้มาเยือนที่นี่จึงบ่งบอกได้ถึงบุคลิกลักษณะของคนผู้นั้น
มันเป็นความจริงที่คฤหาสน์ตระกูลหูจ้างนักออกแบบในประเทศที่มีชื่อเสียงในการออกแบบตามสไตล์ของสวนซูโจว มีค่าใช้จ่ายมากกว่าหนึ่งพันล้านหยวนและใช้เวลาก่อสร้างให้เสร็จสมบูรณ์ถึงสามปี
หูเฟยชวนฉินเทียนมาเล่นที่คฤหาสน์แห่งนี้อยู่หลายครั้ง และตั้งใจจองห้องหนึ่งของคฤหาสน์แห่งนี้ไว้ให้ฉินเทียนด้วย
ดังนั้นฉินเทียนจึงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับคฤหาสน์ตระกูลหู เขาถือตัวเป็นคนใกล้ชิด เพื่อนสนิทของหูเฟย เพื่อนที่ตายแทนกันได้และทำสิ่งต่างๆ แทนกันได้ในหลายความหมาย
สิ่งที่ฉินเทียนได้รับไม่ใช่แค่ความกระตือรือร้นระหว่างเพื่อนพี่น้องที่สนิทกันอย่างเหนียวแน่น พ่อแม่ของหูเฟยให้ความรักความเอ็นดูพวกเขาด้วยเช่นกัน
ทุกสิ่งที่ได้มาย่อมมีเหตุผล ทั้งในส่วนของผู้รับ วิธีการได้รับ และสิ่งที่ได้รับ มิตรภาพและความทรงจำที่ดีของที่แห่งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเขาได้รับมา เขาย่อมต้องรักษาไว้ให้ดีที่สุด
ฉินเทียนครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆ ขณะเรียกรถแท็กซี่ไปยังคฤหาสน์ตระกูลหู แต่เมื่อเขาบอกที่หมายปลายทางแล้ว คนขับถึงกับส่ายหน้า ปฏิเสธการไปยังสถานที่อาถรรพ์แห่งนั้น ตกลงเพียงแค่จะพาไปส่งยังปากทางเข้าไปยังตัวคฤหาสน์ แต่จะไม่ขับเข้าไปในเขตพื้นที่ของคฤหาสน์โดยเด็ดขาด
ฉินเทียนเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคฤหาสน์แห่งนั้นจากการถามคนขับแท็กซี่ระหว่างเดินทางจากสถานีรถไฟไปยังคฤหาสน์ คนขับแท็กซี่เล่าสั้นๆ เพียงว่า ที่นั่นคือแดนอาถรรพ์แห่งการฆาตกรรม เพราะที่นี่มีผู้เสียชีวิตยี่สิบแปดคน ล้วนแต่เป็นคนของตระกูลหู ไม่มีใครรู้ว่าเป็นการลงมือของใครและทำไปเพื่ออะไร หลังจากถามเท่านั้นดังนั้นเขาจึงเสียชีวิตที่นั่นเพื่อตระกูลหูและยี่สิบแปดคนเสียชีวิตที่นั่นอย่างสยดสยอง สถานที่นั้นถูกชาวเมืองเรียกว่าดินแดนแห่งการฆาตกรรม
มีแม้กระทั่งข่าวลือว่า คฤหาสน์แห่งนี้มีวิญญาณจำนวนมากคอยเพ่นพ่านหลอกหลอนผู้บุกรุกในยามราตรีมาโดยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผู้คนบางกลุ่มตัดสินใจมาล่าท้าผีที่นี่แต่ก็ไม่มีใครยืนยันได้ว่าที่นี่มีวิญญาณเพ่นพ่านไปมาจริงตามคำร่ำลือ
ยังไม่นับว่าอาคารสถานที่ที่ปราศจากการดูแลย่อมทำให้สภาพสถานที่นั้นเสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาอย่างรวดเร็ว ยิ่งเป็นคฤหาสน์ท่ามกลางพืชไม้นานาพันธุ์ ยิ่งมีโอกาสที่พันธุ์ไม้ทั้งหลายจะเข้ายึดครองอาคารสถานที่นั้น เพิ่มความทรุดโทรมและความหลอนของสถานที่แห่งนั้นไปอีกระดับหนึ่ง
ดังนั้น ต่อให้เป็นเวลากลางวัน ไปกันเป็นกลุ่ม ก็ยังไม่มีใครที่อยากไปที่นั่น
ฉินเทียนซักถามคนขับแท็กซี่จนกระจ่างถึงเรื่องราวต่างๆ ของคฤหาสน์นี้ที่เกิดขึ้นหลังจากวันนั้น เมื่อรถแท็กซี่มาถึงปากทางเข้าคฤหาสน์ ฉินเทียนจึงชำระค่าโดยสารและลงจากรถ ยืนมองดูคนขับแท็กซี่ขับรถหายไปจนสุดสายตา จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้าไปเพียงลำพัง ตรงไปยังคฤหาสน์ที่ดูทรุดโทรมอย่างมากจนแทบไม่เหลือเค้าความยิ่งใหญ่ในอดีตที่ผ่านมา
“โจว ฟู่จวี่” ป้ายตระหง่านที่ทางเข้าคฤหาสน์ทำให้ฉินเทียนถอนหายใจ
เขายังจำวันวานอันยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองของคฤหาสน์แห่งนี้ได้ เมื่อเทียบกับอดีตในยามที่ตระกูลหูอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองแห่งนี้ ดูแลปกครองเมืองแห่งนี้อย่างยุติธรรม สภาพของตระกูลหูในขณะนี้ย่อมทำให้ผู้คนพากันเศร้าใจ ยิ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลหูมากเพียงใด ยิ่งรู้สึกสลดใจมากเท่านั้น
ประตูเหล็กสีดําขนาดใหญ่สองบานตั้งตระหง่านเบื้องหน้า ไม้เลื้อยบางส่วนพันธนาการบางส่วนของประตู ขณะที่ไม้เลื้อยบางส่วนทอดยาวไปตามทางเดินและพันธนาการส่วนต่างๆ ของสิ่งก่อสร้างโดยรอบ การเติบโตของพันธุ์ไม้เลื้อยเหล่านี้บ่งบอกว่าไม่มีผู้มาเยือนสถานที่แห่งนี้นานหลายปีแล้ว และบ่งบอกว่าที่นี่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจหรือให้การดูแลเลย
เมื่อมองไปยังช่องกุญแจประตู ถึงแม้จะไม่มีสนิทให้เห็นในส่วนที่มองเห็นได้ของประตูเหล็กหนาหนัก เนื่องจากโลหะทุกชิ้นในคฤหาสน์แห่งนี้เป็นโลหะคุณภาพดี เคลือบสีกันน้ำชั้นยอด ผ่านการทดสอบการกัดกร่อนของสนิมแล้ว แต่ฉินเทียนไม่แน่ใจเลยว่ารูกุญแจที่คล้องประตูหนาหนักนี้จะกันสนิมด้วยหรือไม่ สายโซ่ที่คล้องประตูหนาหนักไว้พร้อมแม่กุญแจตัวเขื่องเป็นสิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามาของสถานที่แห่งนี้ อาจจะมีสนิทชึ้นก็เป็นได้
จากปากคำของคนขับแท็กซี่ ที่นี่มีผู้บุกรุกในเวลากลางคืนหลายคนที่เข้ามาล่าท้าผี ทางการจึงนำกุญแจมาปิดล็อกทางเข้าออกต่างๆ ไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการบุกรุกอย่างโจ่งแจ้ง ฉินเทียนส่ายหน้ากับความเอาหน้าของทางการในการจัดการเรื่องนี้ เขาบิดแม่กุญแจเบาๆ และแม่กุญแจตัวเขื่องในมือก็แตกหักเป็นสองส่วน เปิดโอกาสให้ฉินเทียนแยกชิ้นส่วน ปลดสายโซ่ที่คล้องประตูอยู่ และเปิดประตูหนาหนักเบื้องหน้า
ทันทีที่ผลักประตูเบื้องหน้าออกเป็นช่อง สิ่งที่เห็นคือความรกร้างเต็มไปด้วยพืชพันธ์ต่างๆ และซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างเบื้องหน้าที่ถูกไม้เลื้อยหลายสายพันธุ์เข้ากลืนกินจนดูทรุดโทรมกว่าที่ควรจะเป็น
เดิมทีแล้ว คฤหาสน์นี้สร้างขึ้นในแบบของสวนซูโจว เต็มไปด้วยพันธุ์ไม้ต่างๆ รายรอบบริเวณ จากนั้นซ่อมแซมและต่อเติมคฤหาสน์ขึ้นให้ดูสมบูรณ์และสวยงามตามค่านิยมของวัฒนธรรมในสมัยนั้น และเสริมความสง่างามด้วยสิ่งก่อสร้างและของตกแต่งอีกมายมายตามบริเวณต่างๆ ของคฤหาสน์เพื่อเสริมความโอ่โถงสง่างาม ขับเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของตระกูลหู วัสดุที่ใช้ก่อสร้างและซ่อมแซมจึงเป็นวัสดุหายาก มีราคา และเปราะบางต่อเปลวเพลิงและการก่อวินาศกรรม ในขณะที่พันธุ์ไม้ในสวนของคฤหาสน์แห่งนี้เป็นพันธุ์ไม้ที่โดดเด่น หายาก และได้รับการดูแลอย่างดี
เมื่อเกิดเหตุร้ายขึ้นในคืนนั้น ไฟไหม้และการระเบิดในหลายบริเวณทำลายโครงสร้างเสาคานของอาคารไปมาก ส่งผลให้บางพื้นที่ถล่มลงมา หลังคาบางส่วนของคฤหาสน์หายไปจากแรงระเบิดและเพลิงไหม้ ส่วนที่เหลืออยู่ของหลังคาก็มีสภาพไม่สู้ดีนัก กระจกหน้าต่างที่ดูหรูหราแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ กระจายกลาดเกลื่อนบริเวณไปทั่วทั้งในและนอกคฤหาสน์
บริเวณสวนดอกไม้และลานหินโล่งกว้างอันสวยงามในอดีตได้กลายเป็นลานหินกว้างที่ซ่อมซอและสวนดอกไม้รกร้างที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อยและวัชพืชมากมาย สัตว์ขนาดเล็กอย่างกระต่ายและไก่ป่ากำลังใช้ชีวิตในพื้นที่ดังกล่าวอย่างเป็นสุข จิ้งจอกตัวน้อยนอนเล่นอยู่ไกลนัก พวกมันตื่นตระหนกและรีบแยกย้ายกันหลบตามพุ่มไม้และกอวัชพืชทันทีที่ได้ยินเสียงเท้าของฉินเทียนเหยียบก้อนกรวด
ฉินเทียนมองภาพนั้นด้วยความโศกเศร้า ในสมองของเขาเต็มไปด้วยความโอ่อ่าของตระกูลหู น้ำตาของเขาปริ่มขอบตา จมูกของเขาแน่นไปด้วยความเศร้า ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคับข้องใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขายังจดจำได้ถึงความยิ่งใหญ่ของตระกูลหูและความสวยงามของสถานที่แห่งนี้
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่เสียงฝีเท้าของคนจำนวนมากที่ตรงมาหาเขาจะดึงเขาออกจากภวังค์ เขาได้ยินเสียงคนตะโกนเรียก และเขารู้แล้วว่าพวกที่เพิ่งเข้ามาเป็นใคร
“ใช่ไหมล่ะ ไม่ผิดตัวแน่”
หานไท่พูดออกมา เขากล่าวกับคนกลุ่มใหญ่ที่เดินตามเขามาเพื่อจัดการกับฉินเทียน
“เชื่อหรือยัง มันไม่หนีไปไหนหรอก อย่างมันต้องมาที่นี่แน่นอน”
เสียดายที่คนพวกนี้รนหาที่จริงๆ ฉินเทียนได้แต่คิดอยู่ในใจ
“พี่เหลียง สวรรค์เปิดทางให้เราจัดการมันแล้ว พี่จะเอายังไงต่อ”
คนที่มาพร้อมกับสมุนจำนวนมากคือเจียวเหลียงจริงๆ
เมื่อเขานึกถึงญี่ปุ่น เขาก็รู้สึกราวกับสวรรค์ส่งอุปสรรคมาขัดขวางเขาอยู่เสมอ ในขณะนี้เขารู้สึกอึดอัดมากพอแล้ว พร้อมจะระเบิดออกมาจัดการกับพวกหนอนแมลงที่สวรรค์ส่งมาขัดขวางความสำเร็จของเขาแล้ว
เจียวเหลียงพูดด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ เสียงดุดันเกรี้ยวกราด “ไอ้บัดซบแซ่ฉินกล้ามาที่นี่จริงๆ มารนหาที่ตายแท้ๆ จัดการมันซะ วันนี้ ฉันต้องฆ่ามันให้ได้”
“ฉินเทียน แกอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย”
“จับตัวมันเร็วเข้า ถ้าทำผลงานได้ดี ลูกพี่ต้องให้รางวัลพวกเราแน่”
บอดี้การ์ดที่เจียวเหลียงเรียกตัวมาต่างพากันกระจายตัวล้อมกรอบฉินเทียนเอาไว้ หนึ่งในนั้นมาพร้อมกับไม้หน้าสามในมือ ท่าทางราวกับเสือจับจ้องลูกแกะ
“ให้ตายสิ หมดทางหนีแล้ว ฉินเทียน”
เจียวเหลียวร้องออกมาด้วยความลำพองใจ เขามั่นใจว่าคนที่เขาพามาทั้งหมดนั้นมีจำนวนและความสามารถมากพอจะจัดการฉินเทียนได้ในแบบที่ลืมไม่ลง ใบหน้าเขาแดงก่ำด้วยเลือดลมที่สูบฉีดระรัว แววตาแดงจ้าด้วยความอาฆาตและความคาดหวังถึงสิ่งที่ตนเองปรารถนาอยู่ในใจ
“เฮ้ย ถ้าแกคุกเข่าคารวะลูกพี่ พวกเราจะไว้ชีวิตแกให้”
“ก้มหัวคารวะลูกพี่สิวะ ไม่งั้นแกตายแน่”
“ไม่ก้มหัวคารวะก็ตายซะเถอะ ตายไปอยู่กับเจ้าหูเฟยนั่น”
พอพูดเช่นนั้นจบ เขาก็ดึงมีดออกมาจากข้างเอว ทำท่าทางข่มขู่อีกฝ่ายพลางยิ้มอย่างลำพองใจ พวกเขามีด้วยกันหลายสิบ ฝีมือการชกต่อยก็ดีเยี่ยม ไม่มีทางที่อีกฝ่ายจะเอาชนะได้แน่นอน
ฉินเทียนมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา จากนั้นจึงพูดว่า “ฉันไม่อยากลงมือกับพวกนายที่นี่เลย เห็นแก่หูเฟย ไสหัวไปซะ”
ฉินเทียนมั่นใจว่าถ้าเขาเอาจริง คนหลายสิบตรงนี้ไม่มีทางรอดมือเขาไปได้แน่ แต่ปัญหาคือการต่อสู้กันที่นี่จะเป็นการทำให้ที่นี่ต้องแปดเปื้อนไปด้วยเลือดของพวกอันธพาล ทำลายภาพลักษณ์อันยิ่งใหญ่ตระการตาและความบริสุทธิ์ปราศจากสิ่งโสโครกของที่นี่ไปจนหมด
ต่อให้พวกนี้เป็นสวะที่ไม่คู่ควรเรียกตัวเองว่ามนุษย์ แต่การให้เลือดของพวกนี้กระจายไปทั่วพื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นการไม่เคารพต่อสหายและผู้จากไป ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉินเทียนรู้สึกเสมอว่าหูเฟยและครอบครัวของเขายังคงอยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ และเขามีหน้าที่ทำให้ที่นี่สะอาดปราศจากมลทินจากคนพวกนี้
“เฮ้ย ไอ้นี่ปากดีวะ จะตายอยู่แล้วยังกล้าพูดแบบนี้อีก”
“เจียวเหลียง ให้คนของนายถอยไปได้ไหม ฉันอยากอัดมันด้วยตัวเอง”
หานไท่ถอดเสื้อคลุมออก กล้ามเนื้อใต้เสื้อผ้าของเขาแสดงชัดเจนถึงพลังที่แฝงอยู่ เขาพร้อมแล้วที่จะแสดงพลังกล้ามเนื้อที่ฝึกฝนมาให้ทุกคนได้เห็น
บนรถไฟนั่น อุ้งมือของฉินเทียนรับหมัดที่เขาออกไปไว้ได้ และทำให้เขาขยับตัวไม่ได้ ได้แต่ทนรับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเท่านั้น นั่นคือความอับอายที่มาพร้อมพลังอำนาจที่ทำให้เราหวาดกลัว กำปั้นของเขาในวันนั้นเจ็บปวดจนตัวสั่นไปหมด ร้อนผ่าวราวกับจุ่มน้ำร้อนมา และบวมแดงราวกับถูกบีบด้วยคีมขนาดยักษ์ ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นทำให้เขาสะท้ายไปด้วยความหวาดกลัวอยู่ครู่หนึ่ง
ใช่ แค่ครู่เดียว พอหลุดพ้นจากสถานการณ์นั้นมาได้ ความเจ็บปวดและความอับอายก็เอาชนะความหวาดกลัวนั้นได้ เขาคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแค่กลอุบายหรือภาพลวงตาเท่านั้น ไม่มีทางที่ฉินเทียนจะเก่งถึงขนาดนั้นได้แน่นอน
ในตอนนี้ ได้เวลาที่หานไท่จะพิสูจน์เรื่องนั้นแล้ว
เจียวเหลียงมองหานไท่ด้วยรอยยิ้ม เขามองออกว่าหานไท่ต้องการอะไร และเขาเองก็ยินดีจะให้หานไท่เป็นคนลงมือด้วย
“หานไท่ นายเหมาะกับการเป็นตัวแทนนักกีฬาชกมวยประจำโรงเรียนจริงๆ ขนาดเรียนจบมาหลายปี นายยังฝึกชกมวยไม่ขาดเลย คล่องแคล่วและหมัดหนักกว่าเดิมอีก”
“เอาเลย ลูกพี่ จัดการมันเลย”
“อย่าไปกลัวมัน ซัดมันให้ตายคาที่เลย”
“ซัดหยอกๆ จนมันยอมแพ้ แล้วค่อยส่งคนไปลากตัวไป๋เสวี่ยมาที่บ้านตระกูลหาน ส่งขึ้นเตียงลูกพี่ คิดว่าดีไหมครับ”
“ถ้าอยากได้นัก ถ้าชอบมันนัก พรุ่งนี้ก็มาสนุกกันที่งานหมั้นสิ”
พูดจบแล้ว เจียวเหลียงก็หัวเราะลั่นออกมา แววตาเปล่งประกายความพึงพอใจ
ถ้าเขาอยากได้ เขาต้องได้ นั่นคือสิ่งที่เป็นมาตั้งแต่เขาจำความได้ และจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป
ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้ามาขวาง มันต้องหายไปจากโลกนี้
แต่ทันใดนั้นเอง มีคนสิ่งเข้ามาพลางส่งเสียงอุทานด้วยความตกใจ
“อย่านะ”
ผู้หญิงอีกคนร้องเสียงดังลั่นด้วยความตื่นตระหนก “ห้ามทำร้ายเขานะ”
ทุกคนหันศีรษะไปมองผู้ที่เพิ่งเข้ามาในบริเวณนั้น และพบว่าผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องห้ามพวกเขาคือหานหลิงกับไป๋เสวี่ย สาวงามทั้งสองถึงกับเอาตัวเข้าเสี่ยงเพื่อหยุดไม่ให้พวกเขาลงมือกับฉินเทียน
“หานหลิง ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” เจียวเหลียงร้องถามอย่างแปลกใจ แต่สายตาของเขากลับเป็นประกายวาบทันทีที่นึกออกว่าเธอมาที่นี่ทำไม เขาถามต่อพลางแสยะยิ้ม “พรุ่งนี้วันหมั้นของเรา ตามธรรมเนียม เธอควรเก็บตัวอยู่บ้านไม่ใช่เหรอ”
หานหลิงมองทุกคนในบริเวณนั้น นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากขอร้องด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนว่า “เห็นแก่ฉัน ปล่อยฉินเทียนไปเถอะ”
“ทำไมฉันต้องปล่อยล่ะ” เจียวเหลียงถามกลับ “ทำไมฉันต้องละเว้นฉินเทียน ไอ้นี่มันแค่ขยะ ต่อให้รอดวันนี้ไปได้ เธอคิดเหรอว่ามันจะรอดไปได้ตลอด ที่นี่คือเมืองฮั่น เมืองภายใต้การปกครองของฉัน”
“ที่นี่คือเขตปกครองตะวันตกเฉียงเหนือ เขตปกครองนอกกฎหมายของฉัน ที่นี่ไม่มีใครใหญ่กว่าฉัน”
เจียวเหลียงเห็นหานหลิงนิ่งเงียบ เขาจึงรุกต่อว่า “หานหลิง อย่าลืมว่าเราทำข้อตกลงกันแล้วนะ”
หานหลิงได้ยินเจียวเหลียงเอ่ยถึงข้อตกลงแล้ว เธอได้แต่กัดฟันพูดออกไปว่า “นายก็ตกลงกับฉันไว้หมือนกันนะ นายสัญญาไว้ว่า ถ้าฉันตกลงแต่งงานกับนาย นายจะไม่รบกวนหูเฟยและวิญญาณบรรพชนตระกูลหูอีกอย่างเด็ดขาด”
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว หานหลิงจึงกล่าวต่อด้วยความไม่พอใจและคับแค้นใจ “นี่อะไรกัน ฉินเทียนถือเป็นพี่น้องคนหนี่งของหูเฟย นายจะลงมือกับฉินเทียนที่นี่ ลงมือกับพี่น้องคนสนิทของหูเฟยในพื้นที่ของคฤหาสน์สกุลหู นี่ไม่ใช่การรบกวนหูเฟยและวิญญาณบรรพชนตระกูลหูหรือไง”
เจียวเหลียงนิ่งงันกับเหตุผลข้อโต้แย้งของหานหลิง ใช่ เขาเถียงไม่ได้เลยในข้อนั้น
“ถ้านายไม่ปล่อยฉินเทียนไป ถ้านายไม่เลิกคิดจะจัดการคนใกล้ตัวของหูเฟยในพื้นที่คฤหาสน์สกุลหู” หานหลิงกล่าวด้วยความโมโหและคับแค้นใจถึงขีดสุด “ถือว่านายไม่ทำตามข้อตกลง”
“ถ้านายไม่ทำตามข้อตกลง งานหมั้นพรุ่งนี้เป็นอันยกเลิก”