บัญชามังกรเดือด - บทที่ 674 สวนหลังบ้าน
บัญชามังกรเดือด บทที่ 674 สวนหลังบ้าน
“เธอ———.”
เจียวเหลียงไม่คิดเลยว่าหานหลิงยังคงปกป้องฉินเทียนไว้จนถึงตอนนี้ ทั้งยังใช้เหตุผลที่เขาไม่สามารถแก้ต่างได้อีกด้วย ในฐานะลูกผู้ชายแล้ว เขามีแต่ต้องทำตามข้อตกลงระหว่างเขากับหานหลิงเท่านั้น
แววตาของเจียวเหลียงเต็มไปด้วยไฟแค้น เขาแค้นจนอยากให้ดวงตาของเขามีอำนาจมากพอจะสังหารคนได้ เขาจะได้ใช้สายตาอาฆาตของตนเองจ้องมองภาพของฉินเทียนดิ้นทุรนทุรายตายลงไปในตอนนี้เลย
หานไท่สบถด้วยความไม่พอใจ ”หานหลิง พรุ่งนี้เธอจะกลายเป็นคู่หมั้นอย่างเป็นทางการของพี่เหลียงแล้วนะ กล้าดียังไงมาปกป้องคนอื่นแบบนี้”
“พี่เหลียงบอกฉันว่า เขาจะแต่งงานกับเธอก่อนสิ้นปี พอปีหน้า เธอจะกลายเป็นคนของตระกูลเจียว ทำไมวันนี้เธอถึงมาหักหน้าพี่เหลียงแบบนี้ล่ะ นี่มันไม่เหมาะสมเลยสักนิด”
หานหลิงพูดตอบกลับอย่างเย็นชาว่า “นี่มันเรื่องของฉันกับเจียวเหลียว ไม่ใช่เรื่องของหานไท่ นายไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้”
จากนั้น หานหลิงหันกลับไปถามเจียวเหลียงต่อ “ว่าไง เจียวเหลียง จะเอายังไง”
เจียวเหลียงกัดฟันแน่น เขารู้ดีว่าการปล่อยฉินเทียนไปในวันนี้เหมือนการปล่อยเสือเข้าป่า แต่ถ้าเขาลงมือกับฉินเทียนตอนนี้ เขาก็จะไม่ได้แต่งงานกับหานหลิง แถมฉินเทียนยังมาทำท่าทางกวนโมโหเขาอีก เขาอยากซัดฉินเทียนด้วยมือตัวเองให้หมอบลงไปกิงบนพื้นจริงๆ
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เจียวเหลียงก็สูดลมหายใจเข้าปอดเพื่อสงบสติอารมณ์ เขารู้แล้วว่าจะจัดการยังไงกับสถานการณ์ในตอนนี้
“ไม่จำเป็น ฉันจะปล่อยมันไป” เจียวเหลียงตอบพลางแสยะยิ้มชั่วร้าย “ข้อตกลงของเราคือเราจะไม่มีเรื่องกันที่นี่ ให้ที่นี่เป็นที่พักผ่อนสุดท้ายของหูเฟย แต่ถ้าเป็นที่อื่น นั่นไม่ได้อยู่ในข้อตกลงของเรา”
หานหลิงตัวสั่น สายตาแข็งกร้าวจ้องมองไปที่เจียวเหลียงด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย รวมถึงความแค้น ความโมโห ความอึดอัดใจ และความอับจนหนทาง เธอคิดไว้ว่าจะหาทางช่วยพี่น้องของหูเฟยให้ได้ อย่างน้อยก็ช่วยไม่ให้ถูกทำร้ายจนตายที่นี่ ไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นการขุดหลุมกลบฝังฉินเทียนที่นี่แทน
“เจ้าคนแซ่ฉิน” เจียวเหลียงหันไปพูดกับฉินเทียนด้วยรอยยิ้มและแววตาชั่วร้าย “ฉันจะรอแกอยู่ข้างนอก ถ้าแกกล้าออกจากที่นี่ไปเมื่อไหร่ แกตายแน่ ฉันจะฆ่าแกให้ตายแน่”
หานหลิงเบิกตากว้าง เธอรู้แล้วว่าแผนการของอีกฝ่ายคืออะไร และเธอจะช่วยฉินเทียนได้ยังไง
“ฉินเทียน รีบไปซะ” หานหลิงร้องตะโกน พลางรีบเข้าไปยืนที่ประตูทางเข้าสวน เธอรู้ดีว่าพวกของเจียวเหลียงไม่กล้าลงมือกับเธอ ไม่กล้าแตะต้องเธอ มีเพียงจังหวะนี้เท่านั้นที่ฉินเทียนจากสามารถวิ่งผ่านตัวเธอแล้วหลบหนีออกจากคฤหาสน์นี้ได้
เธอร้องตะโกนบอกและคาดหวังว่าฉินเทียนจะรีบหลบหนีไป อย่างน้อยหากเขารอดไปได้ก็จะกลับมาจัดการคนพวกนี้ได้ในภายหลัง แต่เธอก็นิ่งงันทันทีเมื่อพบว่าฉินเทียนไม่ขยับ ไม่ใส่ใจไยดีต่อพวกเจียวเหลียงเลย ไม่มีแม้แต่อาการหวาดกลัวด้วยซ้ำ
ทว่าทันใดนั้น เธอก็เข้าใจแล้วว่าฉินเทียนมาที่นี่เพื่ออะไร
“หนีเหรอ ทำไมฉันต้องหนีล่ะ” ฉินเทียนยิ้มเยาะที่มุมปาก “หูเฟยเป็นพี่น้องของฉัน ที่นี่เสมือนบ้านของฉัน ฉันมาที่นี่เพื่อจะล้างแค้นให้หูเฟย รวมถึงคนที่หันหลังให้เขาในเวลาที่เขาลำบากด้วย”
สีหน้าของหานหลิงเปลี่ยนไปในพริบตา เธอรู้ว่าฉินเทียนยิ้มเยาะเธอ เข้าใจตัวเธอผิดไปว่าเธอทอดทิ้งหูเฟย และเลือกที่จะแต่งงานกัยเจียวเหลียงเพื่อทรัพย์สมบัติของตระกูลเจียว
เธอนิ่งงัน ถอนหายใจแรง ท่าทางเร่งรีบของเธอหายไปแล้ว แต่น้ำตากลับเริ่มปริ่มขึ้นมาที่ดวงตาของเธอแทน เธอรู้ดีว่าคนรักของเธอมีพี่น้องเช่นนี้ ถือว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว
“ฉินเทียน ตามฉันมา”
หานหลิงเดินไปดึงแขนฉินเทียน จากนั้นก็ออกเดินนำไปตามทางเดินขนาดเล็กที่ดูเหมือนได้รับการดูแลอย่างดีและมีการใช้งานโดยตลอดท่ามกลางสภาพทรุดโทรมของสวนและลานหินแห่งนี้
ไป๋เสวี่ยมองหานหลิงที่ออกเดินนำไปก่อน ตามด้วยฉินเทียนที่กำลังเกดินตามหานหลิงออกไป แล้วกวาดตามองโดยรอบเพื่อตัดสินใจว่าเธอจะทำยังไงต่อในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วราวพลิกฝ่ามือแบบนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทางคนของเจียวเหลียงที่ไม่ขยับหนีไปไหนหรือตั้งท่าจะทำอะไรที่ดูเป็นอันตราย และเมื่อประเมินได้ว่าการอยู่กับฉินเทียนน่าจะปลอดภัยกว่าการอยู่กับหานไท่ เธอก็รีบวิ่งตามหานหลิงและฉินเทียนออกไปทันที
ต่อให้ไป๋เสวี่ยจะกลัวแค่ไหน แต่การไปอยู่กับหานหลิงและฉินเทียนนั้นปลอดภัยต่อสวัสดิภาพทุกประการของตัวเธอมากกว่าอยู่ต่อหน้าหานไท่และลูกน้องอันธพาลของเขา
หานหลิงเดินนำทางคนทั้งสองมายังสถานที่แห่งหนึ่ง เธอเดินนำทางราวกับคุ้นเคยอย่างดีกับโครงสร้างของที่แห่งนี้ คุ้นเคยราวกับคนที่มาที่แห่งนี้บ่อยครั้ง คุ้นเคยราวกับรู้ว่าอะไรอยู่ที่ไหน ทั้งที่สถานที่นี้รกร้างและขาดการดูแลมานานแล้ว
สุดทางเดินทางหานหลิงนำทางมา พื้นที่บริเวณนั้นดูน่าสะพรึงกลัว เต็มไปด้วยร่องรอยเพลิงไหม้รุนแรง เหลือแต่เพียงซากปรักหักพังเท่านั้น แม้แต่พันธุ์ไม้เลื้อยที่งอกงามอย่างดีในบริเวณประตูทางเข้าคฤหาสน์ยังไม่มีร่องรอยการรุกรานเข้ามาสู่พื้นที่นี้ต่างอย่างไร
ที่นี่เป็นบริเวณที่ไฟลุกไหม้รุนแรง เผาไหม้สิ่งต่าง ๆ มากมายจนเป็นจุล ร่องรอยของไฟไหม้รุนแรงยังคงเด่นชัดบนพื้นดินและซากกำแพงที่หลงเหลืออยู่
เพลิงโหมไหม้ที่รุนแรงในคืนนี้ราวกับสัตว์ร้ายที่ตื่นจากการหลับใหล กวาดต้อนชีวิตผู้คนและสัตว์เลี้ยงไปมากมาย แย่งชิงทุกสิ่งไปย่างไม่ปรานี แย่งชิงไปจนกระทั่งเหลือไว้แต่เพียงความเสียหายรุนแรงและความสูญเสียในบริเวณที่เพลิงไหม้โหมกระหน่ำเท่านั้น
หานหลิงตาแดงก่ำ น้ำตาไหลรินออกมาที่หางตา เธอระลึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้นทุกครั้งที่เธอมายืนอยู่ตรงจุดนี้ เธอไม่เคยห้ามความเสียใจไว้ได้ และเธอจะไม่มีวันห้ามไม่ให้ตัวเองเสียใจด้วย
เมื่อน้ำตาไหลออกมาถึงแก้มทั้งสองข้างแล้ว หานหลิงยกมือขึ้นปาดน้ำตา แล้วกว่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ฉันรู้ว่านายไม่รู้เรื่องราวทั้งหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เรื่องมันเกิดขึ้นตรงนี้” หานหลิงค่อยๆ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยท่าทีเศร้าโศกปนอาการสะอื้นไห้ “คืนนั้น เพลิงไหม้ที่ตำแหน่งนี้ หูเฟยพาคนอื่นๆ วิ่งออกมาจากคฤหาสน์ แต่เขาหนีเพลิงไหม้ที่ล้อมรอบคฤหาสน์ของเขาไม่ได้ เขาหนีไม่พ้นเปลวเพลิงพวกนั้น”
“ยี่สิบแปดคนในคฤหาสน์ สิบห้าคนตายในกองเพลิง อีกสิบสามคนตายที่ลานหน้าคฤหาสน์”
เพียงแค่วาจาสั้นๆ ไม่กี่คำที่สื่อออกมาอย่างตรงไหนตรงมา และภาพร่องรอยหลักฐานเหตุการณ์ร้ายแรงในครั้งนั้น ฉินเทียนก็สามารถทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่จุดนี้ในคืนวันนั้นได้ เพลิงไหม้ที่รุนแรงขนาดนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้เองตามปกติ หูเฟยและสกุลหูไม่มีทางหลบหนี้ได้ เมื่อเพลิงโหมกระหน่ำที่ร้อนแรงเหล่านี้มาถึงตัวพวกเขา พวกเขาก็ได้แต่ต้องรับชะตากรรม ทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดทรมานจากการถูกเผาทั้งเป็นในสถานที่แห่งนี้
ฉินเทียนนิ่งงัน เขาดูสงบนิ่งผิดไปอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นเขาก็ถามขึ้นมาว่า “ศพของเขาฝังอยู่ที่ไหน”
“ด้านหลังนั่น” หานหลิงชี้บอก ก่อนจะเดินนำทางคนทั้งสองไปยังสุสานทำมือที่เธอสร้างขึ้นทางด้านหลังของสถานที่ตรงนี้
เธอเดินนำทางทั้งสองไปทางสวนหลังคฤหาสน์ ที่ยังคงสวดสดงามราวกับภาพในอดีตนั้นยังไม่เปลี่ยนแปลง ที่นี่ไม่มีใครเข้ามายุ่งเพราะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่หลักของตัวคฤหาสน์ สวนดอกไม้ขนาดเล็กๆ แห่งนี้เลยจึงรอดพ้นจากเปลวเพลิงในคืนนั้นมาได้
และเพราะไม่มีใครอยู่ที่นี่ ไม่มีใครดูแลที่นี่ ที่นี่จึงดูรกร้าง พืชพันธุ์ต่างๆ เติบโตขึ้นตามธรรมชาติโดยปราศจากคนดูแล แต่ร่องรอยความงดงามของสถานที่แห่งนี้ยังคงอยู่ และต้นไม้ที่เติบโต้อย่างไร้การดูแลนี้ยังช่วยปกปิดบางสิ่งจากผู้ที่บังเอิญเข้ามาที่นี่อีกด้วย
ไป๋เสวี่ยและฉินเทียนกวาดตามองไปรอบๆ ด้วยท่าทางที่ต่างกัน ฉินเทียนแสดงกิริยาต่าง ๆ ด้วยอาการสำรวม สงบนิ่ง และเคารพ เขารู้แล้วว่าที่นี่คือที่ไหนและหานหลิงพาเขามาที่นี่ทำไม ในขณะที่ไป๋เสวี่ยกวาดตามองด้วยความอยากรู้ ก่อนจะสะดุ้งสุดตัวและอุทานออกมาเมื่อพบว่าที่นี่คือที่ไหน
เนินดินแต่ละแห่งที่ปกคลุมด้วยพันธุ์ไม้ต่างๆ มีป้ายไม้ปักอยู่ หากไม่สังเกตก็แทบจะไม่พบร่องรอยเหล่านี้ เนินดินแต่ละแห่งนั้นคือสุสานของสมาชิกตระกูลหูแต่ละคน ชื่อที่เขียนบนป้ายไม้นั้นบ่งชี้ว่าหลุมไหนเป็นของใคร และบ่งชี้ว่าพวกเขาได้รับการดูแลเช่นใดหลังการจากไปของพวกเขา
ในอดีต หูเฟย พ่อแม่ของหูเฟย และพ่อบ้านชรา ล้วนแต่เป็นคนที่ทำให้เขารู้สึกว่าที่นี่คือบ้านของเขา บ้านที่เขาสามารถกลับมาเยือนได้ทุกเมื่อที่ต้องการ บ้านที่มีแต่เสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับทุกคน
ถึงแม้พวกเขาจะจากไปแล้ว แต่ใบหน้า ท่าทาง เสียงพูด เสียงหัวเราะ และเรื่องเล่าต่างๆ ของพวกเขายังคงอยู่ที่นี่ ฉินเทียนรู้สึกราวกับเขายังเห็นภาพเหล่านั้น เห็นความทรงจำเหล่านั้นในทุกที่ของคฤหาสน์หลังนี้ ในตอนนั้น เขาต้องจากไป ไม่อาจปกป้องที่แห่งนี้ได้ ในยามที่เขากลับมาที่นี่ มิตรสหายและครอบครัวของพวกเขาก็จากโลกนี้ไปตลอดกาล เหลือเพียงสุสานที่สร้างขึ้นตามยถากรรมอยู่เบื้องหน้าสายตาของเขาเท่านั้น
ฉินเทียนที่นิ่งสงบมาตลอดเริ่มสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาเริ่มสั่นไหวและแดงก่ำด้วยความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ในขณะนี้ เขาตระหนักได้แล้วว่าสิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคืออะไร และเขาจะไม่ทนต่อไปอีกแล้ว
เมื่อเห็นท่าทางสั่นสะท้านด้วยความแค้นและความเศร้าของฉินเทียน หานหลิงรีบเข้ามาปลอบ กุมมือเขาพลางพูดว่า “ฉินเทียน นี่คือที่พักผ่อนสุดท้ายของพวกเขา”
“หลังจากนายทำความเคารพพวกเขาแล้ว นายรีบไปซะ” หานหลิงพูดด้วยน้ำเสียงเด็ดเดี่ยวมั่นคง เธอตัดสินเรื่องนี้มานานแล้ว และมั่นใจหูเฟยในปรโลกต้องเห็นด้วยแน่นอน “รีบไปให้ไกลจากที่นี่ กลับไปที่ญี่ปุ่น ใช้ชีวิตที่นั่น ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
จนถึงตอนนี้ หานหลิงยังคงคิดว่าฉินเทียนถูกขับไล่ไสส่งไปที่ญี่ปุ่น พื้นที่แสนโหดร้ายและทารุนแห่งหนึ่งของโลก และฉินเทียนต้องฟันฝ่าเลือดตาแทบกระเด็นเพื่อเอาตัวรอดกลับมาที่นี่ กลับมาหาเพื่อนสนิทที่นับถือกันเป็นพี่น้องของเขา และเมื่อฉินเทียนได้พบกับที่พักสุดท้ายของหูเฟยแล้ว ฉินเทียนควรกลับไปที่นั่น อย่าได้คิดล้างแค้น เพราะไม่มีทางเลยที่ฉินเทียนจะรอดจากที่นี่ไปได้
ไม่ว่าจะเก่งกล้าแค่ไหน ต่อให้เป็นเจ้าป่าที่ร้ายกาจก็ยังแพ้พ่ายต่องูเจ้าถิ่น การกลับมาที่นี่เพียงลำพังของฉินเทียนไม่ต่างอะไรกับการส่งเนื้อเข้าปากเสือ
หานหลิงปล่อยเวลาสักพักให้ฉินเทียนสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เธอรู้ดีว่าทุกคนต้องใช้เวลารับมือกับการสูญเสีย ยิ่งผูกพันยิ่งเศร้าสลด ยิ่งรู้สึกอ่อนแอและยิ่งต้องใช้เวลาทำใจยาวนานขึ้น
ทุกอย่างในที่แห่งนั้นดูเงียบงันไร้สรรพเสียง ฉินเทียนใช้เวลาครู่หนึ่งก่อนจะสูดลมหายใจลึกเข้าปอด แล้วกลับสู่สภาวะปกติของตนเอง เขาหันไปถามหานหลิงว่า
“เธอเป็นคนฝังพวกเขาที่นี่เหรอ”
“ใช่ ฉันทำได้แค่นี้ ที่นี่ต้องทำความสะอาดเยอะมาก และฉันไม่มีกำลังมากพอจะทำแบบนั้นได้ ฉันทำได้แค่ฝังพวกเขาไว้ นำดอกไม้และของเซ่นไหว้มาคารวะสุสานของพวกเขาบ้างเป็นบางครั้งเท่านั้น”
ฉินเทียนพยักหน้ารับรู้ เขาสังเกตเห็นดอกไม้ป่าและผลไม้สองสามลูกบนหลุมศพของพ่อแม่ของหูเฟย ของพวกนี้ยังคงสดใหม่อยู่ ท่าทางหานหลิงคงแวะมาที่นี่บ่อยครั้งกว่าที่คิด
“มาทางนี้สิ” หานหลิงพูด พลางออกเดินนำมาทางบ้านไม้หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก
มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าคนสวนของคฤหาสน์หลังนี้อาศัยอยู่ในสวนด้านหลังที่ห่างไกลจากตัวคฤหาสน์มากจนเปลวเพลิงไม่ได้กล้ำกรายไปทางบ้านไม้หลังน้อยหลังนี้เลย แต่ถึงแม้คนสวนจะรอดชีวิตมาได้ เขาก็ไม่สามารถทำงานที่เขารักได้อีกแล้ว เขาดูท่าทางสิ้นหวัง หมดหวัง และดูชรากว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก
เมื่อฉินเทียนเข้าใกล้บ้านไม้หลังนั้น ทันใดนั้นเขาก็เห็นรอยเท้าจำนวนมากในบริเวณโดยรอบ นี่ไม่ใช่รอยเท้าของหานหลิง ทั้งยังมีกลิ่นอายของคนจำนวนมากอยู่ข้างใน เขาเปลี่ยนสีหน้าไปในทันที แววตาท่าทางเปลี่ยนเป็นจริงจังตึงเครียดขึ้นมา
“ที่นี่มีคนอยู่กันนะ”
“เดี๋ยว หมายถึงใคร” หานหลิงถามด้วยความมึนงง
เธอไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายสังเกตเห็นอะไร ทำไมจึงมีสีหน้าเปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่แทนที่ฉินเทียนจะตอบกลับ เขากลับเดินตรงเข้าไปผลักประตูไม้เข้าไปในตัวบ้าน
ภายในโถงรับแขกของบ้าน เสียงกรีดร้องเอะอะโวยวายดังขึ้นไปทั่ว แม้แต่ฉินเทียนยังอดไม่ได้ที่จะสาวเท้าถอยกลับจากสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดตรงหน้า
ภาพที่เขาเห็นขณะเปิดประตูเข้ามาในบ้านไม้คือกลุ่มขอทานหลายสิบคนที่กระจุกตัวอยู่ทั่วบริเวณ มีทั้งคนแก่และเด็กหนุ่มสาว มีทั้งคนพิการและเด็กน้อยน่าสงสาร ทุกคนต่างอยู่ในสภาพซอมซ่อ เนื้อตัวและใบหน้าสกปรก เต็มไปด้วยคราบต่างๆ
“เคาป๋อ พาคนของคุณมาเงินก้อนนี้ไปนะ”
หานหลิงหยิบเงินก้อนหนึ่งออกมาวางไว้ตรงที่โต๊ะใกล้ๆ ชายขอทานคนหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากฝากฝังไหว้วานอีกฝ่ายด้วยท่าทางลังเลและรอยยิ้มขมขื่น
“ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลหูเฟยและครอบครัวของเขาที่พักผ่อนอยู่ที่นี่ ถ้าหูเฟยรับรู้ได้ เขาคงดีใจมาก เขาต้องเฝ้าดูและอวยพร ปกป้องคุณแบบที่คุณปกป้องดูแลพวกเขามาตลอดแน่นอน”
หานหลิงยิ่งพูดยิ่งน้ำเสียงสั่นสะท้าน เธอรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเธอทำได้แค่ฝากฝังกับคนที่เธอคิดว่าไว้ใจได้เท่านั้น
“เคาป๋อ ฉันต้องรบกวนคุณแล้วค่ะ ไม่แน่ว่าฉันอาจไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว มีบางอย่างที่ฉันอยากพูดและขอรบกวนให้คุณช่วยทำแทนฉันด้วย”
“หลังจากฉะนเดินออกจากที่นี่ไปในวันนี้ ช่วยจุดธูปไหว้หูเฟยแล้วบอกเขาว่า ฉันกำลังจะหมั้น แต่ฉันไม่กล้าพอจะบอกเขาตรงๆ ฉันรักเขา อยากใช้ชีวิตกับเขา อยากเป็นภรรยาของเขา แต่ชาตินี้ฉันไม่มีโอกาส ขอให้ชาติหน้าฉันได้แต่งงานชดใช้ให้เขาแทน”
ฉินเทียนได้แต่นิ่งเงียบ ปรากฏว่าหานหลิงไม่เพียงแต่เอาเงินมาให้ขอทานเหล่านี้ ยังขอให้ขอทานเหล่านี้ช่วยดูแลสุสานของครอบครัวตระกูลหูที่ฝังอยู่ในบริเวณใกล้ๆ กันนี้ด้วย
ถึงแม้หูเฟยจากโลกนี้ไปแล้ว สำหรับหานหลิง หูเฟยยังอยู่ในใจของเธอเสมอ
ฉินเทียนตระหนักได้ว่าเขาเข้าใจหานหลิงผิดอย่างมหันต์
แต่ทว่าสิ่งที่เขารับรู้ได้จากขอทานเหล่านี้ค่อนข้างแปลก เขาสัมผัสได้ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในแววตาของพวกเขา สัมผัสได้ถึงจิตสังหารเลือนลางด้วย ซึ่งถือได้ว่าผิดปกติจากสิ่งที่ควรจะรับรู้ได้จากขอทานตามปกติทั่วไป และยิ่งผิดปกติมากที่ขอทานมารวมกันขนาดนี้ในบ้านหลังนี้
แต่ให้ตาย เขาไม่มีเวลาสนใจเรื่องนั้นในตอนนี้แล้ว
ทันทีที่หานหลิงพูดจาสั่งเสียไหว้วานจบ เธอก็หมุนตัวหันหลัง เดินออกไปจากบ้านไม้ ตรงไปยังประตูข้างสวนหลังคฤหาสน์แห่งนี้
“หานหลิง”
เขาทำได้เพียงรีบวิ่งไล่ตามหานหลิงออกไปเท่านั้น