บัญชามังกรเดือด - บทที่ 774 หน้ากากเหล็ก
บัญชามังกรเดือด บทที่ 774 หน้ากากเหล็ก
จากนั้น ฉินเทียนพลันกลับมาจัดเตรียมแผนการอื่น ๆ ในทันที ไม่นานนัก วันแต่งงานของหูเฟยและหานหลิงก็มาถึง พร้อมกับฉินเทียนที่พาเหล่าห้าพญายมแห่งนรก เช่าเครื่องบิยบินตรงไปยังเมื่องฮั่นในทันที
ทั้งหวูฉาง ชุยหมิงเหลิ่งหยุนและเหล่าห้าพญายมแห่งนรก รวมไปถึงลูกน้องที่มากฝีมืออีก รวม ๆ แล้วมีกันประมาณยี่สิบกว่าคน
ฉินเทียนรู้สึกว่า เขาน่าจะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเดิมพันกับตระกูลของตัวเองแล้ว
เมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินเมืองฮั่นอย่างช้า ๆ นั้น ทั้งฉีลิ่วและโหวชงก็ได้นำรถประมาณสิบคัน มาเตรียมรอรับพวกเขาเอาไว้แล้ว
“พี่เทียน มันใกล้จะได้เวลาแล้ว พวกเรารีบไปเร็วเขา!”
วันมงคลเช่นนี้ ทุกคนย่อมรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา
ไม่นานนักพวกเขาก็พากันมาถึงคฤหาสน์ของตระกูลหู ซึ่งปัจจุบันคือคฤหาสน์ของราชาสิบสาม เมื่อมองไปรอบๆ นั้น พลันมีแสงไฟประดับประดาเอาไว้มากมายเพื่อเพิ่มความมงคล
คฤหาสน์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ได้ไม่นาน พลันได้รับการตกแต่งราวกับนกฟีนิกซ์ที่เกิดใหม่จากเถ้าถ่าน ทั้งยังให้ความมีชีวิตชีวามากมายอีกด้วย
แขกเรือมากมาย มาจากทั่วทุกสารทิศและทุกสาขาอาชีพ
“แส้มังกร!” ฉินชวนพลันพุ่งเข้ามาหาแต่ไกล ๆ
เมื่อได้มาเห็นฉินชวนและเหล่าพี่น้องในกลุ่มมังกรซ่อนรูปนั้น ทั่วร่างของทุกคนพลันสวมใส่เครื่องแบบออกรบ ทั้งยังคงสีหน้าที่เคร่งขรึมเอาไว้ ทำเอาฉินเทียนอดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “ลำบากพวกนายทุกคนแล้ว”
“ช่วงนี้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้างไหม?”
“ไม่ครับ” เป็นฉินชวนที่รายงานขึ้นมา “ทางฝั่งของตระกูลฉิน ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ ”
“ทว่า พวกเราก็ยังคงตั้งการ์ดรับอยู่เสมอครับ ในเมื่อวันนี้เป็นวันมงคลของราชาสิบสามและหานหลิง เพื่อป้องกันปัญหาผู้อื่นเข้ามาสร้างความวุ่นวาย ผมจึงได้นำพี่น้องประมาณสองร้อยกว่านายเข้ามาคุ้มกันที่นี่ด้วยครับ”
“ ใครก็ตามที่กล้าเข้าสร้างปัญหา ก็อย่าปล่อยให้มันกลับออกไปได้ !”
“ไม่จำเป็น” ฉินเทียนพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ช่วงระยะเวลายังไม่ถึงหนึ่งเดือนนั้น ฉันเชื่อว่าตระกูลฉินจะไม่มาสร้างปัญหาให้อย่างแน่นอน”
“นอกจากพวกเขาแล้วฉันก็นึกไม่ออกว่า จะมีใครกล้าเข้าก่อปัญหาอีก วันนี้เป็นวันมงคลของราชาเถียสิบสามทั้งที เหล่าพี่น้องของพวกเราทำงานหนักมาหลายวันแล้ว ไปบอกทุกคนให้ถอดชุดรบออกซะ แล้วเปลี่ยนเป็นชุดลำลองแทน”
“แยกย้ายกันไปพักผ่อนได้!”
“คิดเสียว่าทุกคนในวิหารเทพอวยพรให้กับราชาเถียสิบสามแล้วกัน!”
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว เหล่าพี่น้องทุกคนต่างก็มีสีหน้าเปื้อนความยินดีไปในทันที
ฉินชวนพลันพูดออกมาเสียงดังว่า “พี่น้องเรา ยังไม่รีบมาขอบคุณความเมตตาของแส้มังกรอีก !”
“ขอบคุณแส้มังกรที่เมตตา!” ทุกคนโห่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
ก่อนหน้านั้น พวกเขายังมีสีหน้าที่เคร่งเครียดราวกับอยู่ในสนามรบอยู่เมื่อมีฉินเทียนอยู่ที่นี่แล้วนั้น พวกเขาพลันเปลี่ยนมาพักผ่อนในช่วงวันหยุดอย่างสบายใจในทันที พร้อมกับถอดชุดรบที่หนักอึ้งออกทีละชุด แล้วสวมเสื้อผ้าลำลองที่ใหม่เอี่ยมเข้าไป
หลังจากผ่านการทำงานหนักมาหลายวันแล้วนั้น
“ใกล้ถึงเวลาแล้ว เชิญท่านประธานขึ้นมาเป็นประธานในงานแต่งงานด้วยขอรับ!” พ่อบ้านชราพลันเดินเข้ามาและเชิญฉินเทียนด้วยความเคารพ
ฉินเทียนจึงทำหน้าที่ของตนเองในทันที พร้อมกับเดินหน้าเชิดมุ่งไปที่เวทีงานแต่งงาน
แขกเรือมากมายที่มาจากทั่วทุกที่นั้น
เมื่อฉินเทียนเดินมาถึงเวทีแล้วนั้น เขาเพียงทำทีกวาดสายตามองไปอย่างช้า ๆ ก็พลันพบกับหูรั่วหลันที่นั่งอยู่ด้านหน้าในทันที
ที่จริงแล้ว งานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ในวันนี้แท้จริงแล้วเจ้าบ่าวควรจะเป็นพี่ชายของเธอ แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยคนอื่นไปแล้ว เธอเลยไม่รู้ว่า ตอนนี้เธอควรจะรู้สึกอย่างไรดี
หากพูดตามตรงแล้ว เธอเองก็ไม่ได้รังเกียจอะไรในเถียโถวแต่เธอก็ภาวนาให้หานหลิงได้พบกับคู่ครองที่ดีเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีอารมณ์หลากหลาย มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราไม่สามารถควบคุมมันได้
จริงๆ แล้ว ถ้าหากเป็นไปได้นั้น เธอก็ไม่อยากจะมาอยู่ที่นี่เลยจริงๆ แต่ด้วยฐานะและตัวตน ในยามนี้เธอได้กลายมาเป็นประธานแห่งหอการค้าเมืองฮั่นแล้วนั้น ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องนั่งอยู่ที่นี่เหมือนเป็นเครื่องมือเฉกเช่นคนอื่น ๆ
ภายใต้ความสนใจของทุกคนนั้น เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาว!”
หานหลิงที่สวมชุดแต่งงานสีขาวอย่างสวยงามเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ นั้น พร้อมทั้งได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมชั้นไป๋เสวี่ย ที่ค่อย ๆ ช่วยประคองเดินเข้ามา
ผู้คนต่างส่งเสียงโห่ร้องชื่นชมออกมาในทันที
“เจ้าสาวสวยมาก!”
“ขอแสดงความยินดีกับเจ้าสาวด้วย!”
“ยินดีด้วยหานหลิง!”
“สุขสันต์วันวิวาห์ร้อยปี ออกลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง!”
จากนั้น เสียงเชียร์จู่ ๆ ก็หยุดลงทันที เนื่องจากมีคนเห็นอีกด้านหนึ่งนั้น มีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมา
นั่นก็คือเจ้าบ่าวในวันนี้
เขาที่มีรูปร่างสูงใหญ่พลันสวมใส่ชุดสูทสีขาว เดิมทีเขาก็เป็นชายหนุ่มที่รูปงามอยู่แล้ว ทว่า เมื่อมีหน้ากากเหล็กขึ้นมาปิดบังใบหน้านั้น มันกลับทำลายภาพลักษณ์ทั้งหมดไปในทันที
คนหนึ่งเป็นเจ้าสาวที่สวยมากส่วนอีกคนคือเถียโถวที่มีหน้ากากแปลกประหลาดแปะอยู่บนใบหน้า
ทั้งเจ้าสาวและเจ้าบ่าวในตอนนี้พลันทำให้รู้สึกได้ถึงความไม่ค่อยเข้ากัน หลาย ๆ คน ล้วนแต่รู้กันดีอยู่แล้วว่า เพราะอะไรหานหลิงถึงถูกบังคับให้แต่งงาน
พวกเขาต่างก็รู้สึกว่า ถ้าหากเถียโถวไม่ใช่ราชาเถียสิบสามแห่งวิหารเทพนั้น เขาย่อมไม่มีทางเหมาะสมที่จะคู่กับหานหลิงแน่นอน
“ถ้าหากไม่มีหน้ากากเหล็กคงจะดี…”
“ทำไมเขาต้องสวมหน้ากากเหล็กตลอดเวลาด้วยล่ะ? เขาต้องหน้าตาน่าเกลียดแค่ไหนกัน ถึงไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงออกมา…”
ในฝูงชนพลันมีเสียงกระซิบกระซาบดังขึ้น
เมื่อเห็นเถียโถวเกิดความลังเลใจนั้น ฉินเทียนส่งสายตาให้กำลังใจแทน พลางพูดออกมาเสียงดังอีกครั้งว่า “เชิญเจ้าบ่าว!”
เถี่ยโถวพลันมองเจ้าสาวของตัวเองราวกับอยู่ในห้วงความฝัน ความกระตือรือร้นพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา พร้อมทั้งกลืนน้ำลายลงและก้าวขาขึ้นไปบนเวทีในทันที
“ช่วงนี้นายไปอยู่ที่ไหนมา?”
“ฉันคิดว่า วันนี้นายจะไม่มาซะแล้ว…” เมื่อเห็นเถียโถวนั้น หานหลิงก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบถาม
ภายในน้ำเสียงนั้น พลันเจือไปด้วยการบ่นโอดครวญออกมา นั่นเป็นเพราะว่าเธอรู้สึกว่าเธอไม่มีค่าและไม่ได้รับความเคารพ
เดิมทีการแต่งงานครั้งนี้เป็นการเดิมพันของเธอ เป็นเพราะหูเฟยเธอถึงได้ยอมตกลงแต่งงานในครั้งนี้
เมื่อก่อนเธอคิดเสมอว่า เถี่ยโจวเป็นคนที่น่าเชื่อถือ ทว่า หลังจากที่เขาหายตัวไปหลายวันนั้น พลันทำให้หานหลิงรู้สึกผิดหวังในตัวเขามากเช่นกัน
เถี่ยโถวกลืนน้ำลายลงคอ ราวกับไม่รู้จะอธิบายออกมาอย่างไร พลางมองไปที่ฉินเทียนเพื่อร้องขอความช่วยเหลือ
ฉินเทียนแย้มยิ้มกล่าวออกมาว่า “ในเวลานี้ ขอเชิญเจ้าสาวช่วยถอดหน้ากากฝ่ายชาย”
ห้ะ?
ทุกคนพลันอึ้งไปครู่หนึ่ง พร้อมกับเผยท่าทีงุนงงและสงสัยออกมา หมายความว่าอย่างไรกัน ให้เจ้าสาวเปิดหน้ากากของเจ้าบ่าว?
ฉินเทียนกำลังสับสนอยู่งั้นเหรอ?
หานหลิงอดไม่ได้ที่จะกระซิบบอกว่า “ฉินเทียน นายพูดผิดแล้ว”
“นายไม่จำเป็นต้องทำพิธีให้มันซับซ้อนมากมายก็ได้ แค่รีบ ๆ ประกาศว่างานแต่งงานจบลงแล้วก็พอ”
“ฉันเหนื่อยแล้ว อยากกลับห้องไปนอนพักผ่อน”
เมื่อคิดไปถึงคืนนี้ที่เธอจะต้องร่วมหอกับชายตรงหน้า ภายในใจก็อดที่จะรู้สึกมีต่อต้านขึ้นมาไม่ได้ ราวกับว่าตัวเองเหมือนกับร่างกายไร้วิญญาณ
“ดูเหมือนว่า ผมจะบอกไม่ชัดเจน…” ฉินเทียนแย้มยิ้มและกล่าวออกมาอีกครั้งว่า “ตอนนี้ เชิญเจ้าสาวถอดหน้ากากเหล็กให้กับเจ้าบ่าวครับ”
ห้ะ?
หน้ากากเหล็ก?
ทุกคนพลันรู้สึกสับสนไปในทันที ราวกับเมฆหมอกที่อึมครึม
“ฉินเทียน นายกำลังทำอะไรอยู่?”
“ฉันไม่อยากมาฟังคำพูดล้อเล่นของนายหรอกนะ!” หานหลิงเอ่ยออกมาด้วยท่าทีโกรธเล็กน้อย
ฉินเทียนพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า ” หานหลิงเธอจะได้เป็นเจ้าสาวของเถียโถวแล้ว สำหรับตัวตนที่แท้จริงของสามีเธอเธอไม่อยากจะรู้จริง ๆ เหรอ ว่าแท้จริงแล้วเขามีรูปร่างแบบไหน ?”
“ฉันไม่ได้คิดจะล้อเล่น เอาล่ะ เธอก็ลองถอดหน้ากากเหล็กของเขาออกมา แล้วเธอก็จะรู้เองว่าเขาเป็นใคร”
ในขณะนี้ทั้งทุกคนรวมไปถึงหานหลิงเอง ก็เข้าใจความหมายของฉินเทียนแล้ว
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ในที่สุดเถี่ยโถวหน้ากากเหล็กคนนี้ ก็จะยอมถอดหน้ากากออกในวันแต่งงาน?
ทุกคนต่างก็สงสัยว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไร
ถึงแม้ว่าภายในใจของหานหลิงจะยังคงติดอยู่กับหูเฟยที่ตายไปแล้ว แต่ก็เป็นดั่งที่ฉินเทียนพูด ในความเป็นจริงแล้ว เธอเองก็กำลังจะกลายมาเป็นภรรยาของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน
ผู้ชายคนนี้ จะกลายมาเป็นสามีของเธอ และยังต้องร่วมหอกับเธอในคืนนี้อีกด้วย
เธอเองก็นึกสงสัยเช่นกัน ว่าชายที่อยู่ตรงหน้านั้น จะมีหน้าตาเป็นเช่นไร
“หานหลิง เปิดเร็วเข้า!”
“ให้พวกเราดูสามีของเธอหน่อยเถอะ!”ด้านล่างของเวที พลันเป็นเหลิ่งหยุนที่โห่ร้องออกมา
“ถูกต้อง เร็วเข้า พวกเรามาดูโฉมหน้าที่แท้จริงของราชาสิบสามกันเถอะ!” ผู้คนตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
หานหลิงพลันลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกัดฟันและเอื้อมมือออกไปเปิดหน้ากากเหล็กออกมา
หน้ากากเหล็กที่ทำจากเหล็กบริสุทธิ์นั้นมีน้ำหนักพอสมควร หานหลิงจึงได้แต่กัดฟันและใช้แรงถอดมันออกมา
เดิมทีที่เป็นเพียงเพราะความอยากรู้อยากเห็นนั้น ทำให้เธอกวาดตามองใบหน้าเขาอย่างไม่ตั้งใจ ทว่า เมื่อเห็นใบหน้าที่แท้จริงแล้วนั้น ทำเอาเธอถึงกลับตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง