บัญชามังกรเดือด - บทที่ 782 ชนะครั้งหนึ่ง
บัญชามังกรเดือด บทที่ 782 ชนะครั้งหนึ่ง
หูเฟยพยักหน้า แล้วกล่าวอย่างข่มขืนว่า “ฉันน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว”
“ช่วงไม่กี่ปีมานี้ ดูเหมือนว่าเสี่ยวเทียนจะเกิดเรื่องที่ทำให้เปลี่ยนไปมาก แต่ความจริงแล้วธาตุแท้ยังคงไม่เปลี่ยนไป เขาก็ยังคงเป็นคนดื้อรั้นเช่นนี้ เมื่อเป็นเรื่องของตัวเอง ก็ไม่อยากที่จะรบกวนผู้อื่น”
“เมื่อวานนี้เขาตั้งใจที่จะดื่มให้เมา แล้วพาทีมของเขาจากไปกลางดึก เนื่องจากไม่อยากที่จะให้เรื่องนี้ มารบกวนพวกเรา”
“ไม่ได้ ฉันจะต้องไปเขาต้าหวางในทันที!”
“หัวหน้า พาพวกเราไปด้วย!”
“พวกเราอยากที่จะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพี่เทียน ตายหมื่นครั้งไม่ปฏิเสธ!” ฉีลิ่วและโหวชงต่างก็กล่าวด้วยความตื่นเต้น
พวกเขาตำหนิตัวเองเป็นอย่างมาก เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ เป็นเพราะเมื่อวานกลางดึกนั้นง่วงมากเกินไป จนทนไม่ไหวงีบไปครู่หนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้พวกของฉินเทียนแอบหนีไปได้
ถ้าหากว่าพวกเขาไม่งีบหลับ ไม่เช่นนั้นพวกของฉินเทียนก็คงจะไปไม่ได้ และก็คงไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากเพียงลำพังด้วย
ในความจริง นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดมากจนเกินไปแล้ว
ด้วยความสามารถของฉินเทียนและลูกน้องของเขาเหล่านั้น ตราบใดที่เขาคิดจะจากไป อย่านับประสาอะไรกับฉีลิ่วและโหวชงเลย ต่อให้มีคนคอยเฝ้ามากกว่าอีกอีกสิบเท่า พวกเขาก็ยังสามารถหลบออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็นได้อยู่ดี
ฉินชวนส่ายศีรษะแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “หูเฟย ในเมื่อแส้มังกรได้ตัดสินใจไปแล้ว คุณคิดว่า เขาจะให้พวกเราหาเขาเจอหรือไม่?”
“เขาต้าหวางใหญ่เกินไป”
“อีกทั้งมันยังอยู่ใกล้กับกองบัญชาการใหญ่เมืองฉินของตระกูลฉินอีกด้วย หากพวกเราไปแล้ว ก็มีเพียงแต่เพิ่มปัญหาให้เขาเท่านั้น”
“เช่นนั้นต้องทำอย่างไรดี?”หูเฟยไม่สบายใจ
ฉินชวนกระซิบกระซาบว่า “พวกเราทำได้เพียงแค่เคารพการตัดสินใจของแส้มังกร แล้วอยู่ที่นี่ต่อไป และรอฟังข่าวดีเถอะ!”
หูเฟยรู้เรื่องจริงว่าจะเช่นนี้ ถึงแม้จะไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่ทว่าเขาก็ต้องพยักหน้ารับด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
เขากัดฟันพลางกล่าวราวเสียงกระซิบว่า “เสี่ยวเทียน ฉันเชื่อนาย ว่าจะต้องได้รับชัยชนะกลับมาอย่างแน่นอน!”
“หากว่าเกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้นกับนายก็ตาม ฉันจะต่อสูงกับตระกูลฉินเก่าด้วยชีวิต!”
…
ในเวลาตอนเช้าตรู่ ในหมูบ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากเขาต้าหวางมากที่สุดแห่งหนึ่ง ได้ให้การต้อนรับกลุ่มคนพิเศษกลุ่มหนึ่ง
นี่ก็คือห้าพญายมแห่งนรกที่นำโดยฉินเทียน รวมไปถึงชิงเฉิน ผีหวูฉางและชุยหมิง ซึ่งรวมทั้งหมดแล้วมียี่สิบเอ็ดคน
พวกเขาอยู่ที่ร้านขายอาหารเช้าแห่งหนึ่ง และรับประทานอาหารเช้ากันอย่างสงบเงียบ หลังจากนั้น ก็จองโรงแรมขนาดเล็กที่อยู่ใกล้เคียงแห่งหนึ่ง เพื่อเข้าไปพักผ่อนกัน
หลังจากนั้น แม้แต่เงาของพวกเขาก็ไม่ปรากฏขึ้นบนถนนอีกเลย อาหารและเครื่องดื่ม หลังจากสั่งซื้อแล้วต่างก็เป็นบริกรที่เป็นคนส่งอาหารเข้าไป
จนกระทั่งถึงวันที่สาม ในตอนที่ฟ้าสาง ฉินเทียนถึงได้นำทุกคนเดินออกมาจากโรงแรม แล้วตรงออกไปนอกเมือง
หลังจากการเก็บตัวเป็นเวลาสามวัน และใช้ชีวิตอย่างอยู่ดีกินดี ทำให้พวกเขาแต่ละคนเต็มไปด้วยพลัง แล้วภายในแววตาของพวกเขาก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อันสูงส่ง
วันแห่งการแข่งขันล่าสัตว์ ในที่สุดก็มาถึงแล้ว
ฉินเทียนได้นำพาทุกคน มายืนอยู่นอกแท่นหินธรรมชาติของเขาต้าหวาง และมองไปที่ความกว้างใหญ่ของภูเขาใหญ่ตรงหน้า ทั้งยังได้ฟังเสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าและนกล่าเหยื่อที่ดุร้ายที่อยู่ไกลออกไปอย่างคุ้นเคย
เขาทอดถอนใจอย่างหดหู่ และดูเหมือนว่าความคิดจะย้อนกลับมายังอดีต
สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากกองบัญชาการใหญ่เมืองฉินของตระกูลฉินเพียงหนึ่งร้อยแปดสิบไมล์เท่านั้น เกือบจะเทียบเท่ากับเป็นที่ดินส่วนตัวของตระกูลฉินเก่า
และการล่าสัตว์ เป็นประเพณีเก่าแก่ของตระกูลฉินเก่ามานานหลายปีแล้ว มันมีส่วนประกอบของความบันเทิง แต่ที่มากกว่านั้นคือการฝึกทหาร
และรวมไปถึงการต่อสู้เพื่ออำนาจ
กฎเฉพาะ นั่นก็คือภายในสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งบนภูเขา ผู้ตัดสินจะวางสิ่งของที่เฉพาะเจาะจงบางอย่างเอาไว้ และผู้ที่เข้าร่วมการล่าสัตว์จะเข้าไปเพื่อค้นหาสมบัติ
และนี่ไม่ใช่แค่การล่าสมบัติในความหมายธรรมดาเท่านั้น
สัตว์ร้ายนานาชนิดปรากฎตัวตามป่าเขาก็เป็นอุปสรรคอีกประการหนึ่ง
นอกจากนี้ อุปสรรคที่สำคัญที่สุด ก็ยังมีการมาถึงของคู่แข่งฝ่ายตรงข้าม เนื่องจากว่าทุกคนสามารถที่จะลอบโจมตีได้
มีหนทางที่โชคลาภจะเข้าข้างผู้กล้าที่เป็นผู้ชนะ จนสุดท้ายนั่นผู้ชนะก็คือคนที่เอาสมบัติมาและเดินออกไปจากภูเขาได้
ก่อนหน้านี้ที่เก็บตัวพักผ่อนอยู่ในหมูบ้านเล็ก ๆ เหลิ่งหยุนเคยเสนอว่า บอกว่าพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากเวลาสองสามวันนี้ เข้าไปสำรวจสถานการณ์ในภูเขาก่อนได้
อย่างน้อยก็เพื่อที่จะได้ทำความคุ้นเคยกับภูมิประเทศสักหน่อย
ฉินเทียนปฏิเสธคำขอนี้ เนื่องจากว่าสถานการณ์ภายในภูเขาลูกนี้ เขานั้นมีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี
และในอดีต สถานะของเขาก็เป็นถึงลูกชายและหลานชายคนโตของตระกูลฉินเก่า เขาจะเข้าร่วมกิจกรรม เขาจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมดังกล่าวน้อยครั้งได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว ทุกสิ่งก็ล้วนแล้วแต่ไม่เป็นที่พอใจ
คิดไม่ถึงว่า ตัวเองจะต้องแตกแยกจากออกจากครอบครัว และหนีออกไปจากบ้าน และต้องเร่ร่อนไปทั่งตลอดหลายปีมานี้ วันนี้ ก็กลับมายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง
อีกทั้งยังจะต้องใช้วิธีการเดียวกัน มาตัดสินผู้ชนะ
พูดตามความรู้สึกที่แท้จริงแล้ว เขาอยากที่จะปฏิเสธกิจกรรมการล่าสัตว์นี้ เพียงแต่ว่า ในเมื่อฉินเปียวเสนอออกมาแล้ว เขาก็ไม่อาจไม่เข้าร่วมได้
เนื่องจากว่า เขาต้องการที่จะเอาชนะฉินเปียว และบังคับให้ฉินเปียวตอบคำถามมาคำถามหนึ่ง
คำถามนั้น ก็เกี่ยวข้องกับหมาป่าหอน
เมื่อสามวันก่อน ที่คฤหาสน์ของสกุลหู ในงานแต่งงานของหูเฟยและฮันหลิง หม่าหงเทาท้าทายหยางต้าว และได้ทำการตัดนิ้วของหยางต้าวไปสามนิ้ว
ในเวลานั้นหยางต้าวยังไม่เชื่อ เตรียมที่จะยื่นมือไปหยิบอะไรบางอย่างออกมา แต่ถูกฉินเปียวต่อว่าแล้วขัดขวางไว้ก่อน
ฉินเทียนคาดเดาว่า หลังจากที่หยางต้าวพ่ายแพ้ไปแล้ว จะต้องโกรธเนื่องจากความอับอาย จนอยากที่จะฉีกหมาป่าหอน
นี่ก็ทำให้ฉินเทียนหนักแน่นมากยิ่งขึ้น เป็นไปได้มากว่าฉินเปียวมีความคิดที่จะบงการอยู่เบื้องหลังของหมาป่าหอน
เช่นนั้นฉินเปียวกับวิหารเทพสังหารมีความเกี่ยวข้องอะไรกันแน่?
เพื่อให้ได้รับคำตอบ เขาจึงต้องเข้าร่วมเล่นเกมตามที่ฉินเปียวกำหนดไว้ เนื่องจากเขารู้ว่า คนที่เรียกว่าน้องชายคนนี้ ชอบการแข่งขันเป็นที่สุด
มีเพียงแต่ต้องได้รับชัยชนะในสถานที่ที่เขาภาคภูมิใจที่สุด เขาถึงจะสามารถยอมรับความพ่ายแพ้ได้ และพูดความจริงออกมาได้
และเกมล่าสัตว์นี้ ก็เป็นสิ่งที่ฉินเปียวชื่นชอบมากที่สุด อีกทั้งยังเชี่ยวชาญมากที่สุดอีกด้วย
เขามักจะพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า ในโลกนี้ เกมล่าสัตว์ที่น่าสนใจมากที่สุด ไม่ใช่การล่าสัตว์ แต่เป็นการล่าคน
โลกในมุมมองของเขา คนกับสัตว์นั้นเหมือนกัน ล้วนแล้วแต่เป็นเป้าหมายที่ถูกการล่าเท่านั้น
ฉินเทียนจำต้องยอมรับว่า ผู้ชายคนนี้มีแผนชั่วมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีสถานะเป็นพี่ชายคนโต แต่ทว่าท่ามกลางกิจกรรมมากมายหลายครั้งเช่นนี้ เขาแทบจะไม่เคยชนะมาก่อน…
แต่ทว่าในครั้งนี้ เขารู้สึกว่า มันถึงเวลาที่จะชนะครั้งแรกแล้ว
ความคิดที่ซับซ้อน ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นของเครื่องยนต์
ฉินเทียนและทุกคนต่างก็หันไปมองพร้อมกัน แล้วมองเห็นว่าถนนบนภูเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก มีควันและฝุ่นฟุ้งกระจายออกมา และมีรถออฟโรดดัดแปลงเจ็ดหรือแปดคัน ที่ส่งเสียงร้องคำรามกำลังพุ่งเข้ามา
หากเข้าไปใกล้สักหน่อย ก็จะสามารถมองเห็นบนตัวถังรถ ต่างก็ถูกพ่นสีด้วยลวดลายพยัคฆ์ที่ดุร้ายอยู่
บนตัวของพยัคฆ์ ขี่ด้วยผียักชาตัวสีเขียวหน้าตาอัปลักษณ์
เถียหนิงซวงกัดฟันพลางกล่าวว่า “ผู้ชายคนนี้ก้าวร้าวเกินไปแล้ว วันนี้พวกเราจะต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย!”
หลังจากนั้นไม่นาน ขวบนรถที่ร้องคำรามก็มาถึงข้างแท่นหิน ประตูรถถูกเปิดออก และฉินเปียวก็กระโดดลงมาจากรถก่อน
เขาไม่ได้มาเข้าร่วมการล่าสัตว์นานแล้ว อีกทั้ง ผู้แข่งขันฝ่ายตรงข้าม ยังเป็นพี่ชายต่างมารดาของเขาอีกด้วย
สามารถมองออกได้ว่า ฉินเปียวมีความตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ภายในแววตาของเขา เปล่งประกายแวววาวด้วยความกระสับกระส่าย
ราวกับเป็นสัตว์ป่า ที่ร้อนอกร้อนใจ อยากจะเลือกใครสักคนที่อยากจะกลืนกินเข้าไป
“เด็ก ๆ วันนี้พวกเราอยากที่จะทำอะไรกันดี?”เขาตะโกนถามขึ้นมาด้วยเสียงดังก้อง
เบื้องหลังของเขา มีชายชุดดำกว่ายี่สิบคนที่มีรอยสักรูปผียักษ์อยู่บนหน้าอกร้องตะโกนออกมาว่า “ล่าสัตว์!”
“ล่าสัตว์!”
พวกเขามองไปที่ฉินเทียนและคนอื่น ๆ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เป็นเหมือนกับผีดูดเลือดกลุ่มหนึ่ง ที่มองเห็นเลือดมนุษย์ที่รสชาติอร่อย
ภายใต้การจ้องมองที่โหดร้ายของพวกเขา ทำให้เถียหนิงซวงและเหลิ่งหยุน ต่างก็ตัวสั่นเทาเล็กน้อย
มันไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่ดูเหมือนว่าผู้ช่วยเหล่านี้จะสูญเสียความเป็นมนุษย์ไปแล้ว…
“พูดได้ดี!”
“พวกเราต้องการล่าสัตว์!”
ฉินเปียวหัวเราะออกมาอย่างภาคภูมิใจ แล้วก็ได้นำพาทุกคน พุ่งเข้าไปที่แท่นหิน