บัญชามังกรเดือด - บทที่ 786 นายแพ้อีกแล้ว
บัญชามังกรเดือด บทที่ 786 นายแพ้อีกแล้ว
“มีการดักซุ่มโจมตี!”
“ระวัง!”
“เร็ว รีบหลบก่อน!”
บรรดาเหล่าทาสสัตว์ทั้งหลายต่างกรีดร้องด้วยความตกใจจนเกิดความโกลาหลกันไปหมด ต่างคนต่างหาที่หลบซ่อนใกล้ๆ เพื่อเอาตัวรอดกัน
เมื่อครู่กริชขว้างพุ่งเข้ามามากมายกันอย่างอุตลุด จนพวกเขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีจำนวนคนเท่าไรกันแน่
หลังจากรออยู่นาน ก็ยังไม่เห็นฝ่ายตรงข้ามออกมาโจมตีแต่อย่างใด หลิวเหมิงและหม่าเมี้ยนเริ่มใจเย็นลง และเริ่มปรึกษาหารือกันอย่างเบาๆ
พวกเขาเป็นทาสสัตว์ที่มีฝีมือโดดเด่นที่สุดของฉินเปียว ความชั่วร้ายในใจของพวกเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา ทั้งสองต่างนำทีมของตน กระจายตัวสร้างเป็นค่ายกลสามเหลี่ยมขึ้น และค่อยๆ เดินเข้าใกล้ทั้งสองทิศทางที่มีมีดบินออกมาอย่างช้าๆ
ราวกับถางหญ้าเพื่อเข้าล้อมตีกระต่าย
ขณะที่พวกเขากำลังเข้าใกล้ก้อนหินใหญ่นั้น จู่ๆ เสียงปัง ปังก็ดังขึ้น มีคนคนหนึ่งกระโดดออกมาจากด้านหลังของก้อนหินใหญ่สองก้อนนั้น
พวกเขาต่างตกใจเป็นกระต่ายตื่นตูม และรีบวิ่งหนีโกยแนบเข้าป่าไป
“รีบตามไป อย่าให้พวกมันหนีไปได้!”
“แมร่งเอ๊ย ที่แท้มีแค่สองคน!”
“เหล่าหม่า พวกเราจัดการกันคนละหนึ่งก็แล้วกัน!” หลิวเหมิงตะโกนอย่างตื่นเต้น
เขากวัดแกว่งมีดเล่มใหญ่ และนำทีมของตน ไล่ตามพวกนั้นไปอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนอีกฟากหนึ่งหม่าเมี้ยนไม่รอช้า รีบมุ่งหน้าไปยังอีกทาง เพื่อไล่ล่าพวกที่ลอบจู่โจมนักฆ่าของพวกเขา
“น้องชิงเฉิน น้องชุยหมิง ขอให้พวกนายโชคดี”
“วางใจเถอะ คนของวิหารเทพ จะไม่ยอมวิหารพญายมของพวกคุณแน่ๆ”
หลังจากที่ทุกคนแยกย้ายกันไป เหลิ่งหยุนก็ปรากฏตัวออกมาจากด้านหลังของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
เธอไม่ได้ไปช่วยชิงเฉินหรือชุยหมิง แต่ดวงตาสวยงามอันเย็นชาคู่นั้น กลับมองไปยังทางที่ฉินเปียวหายตัวไป เธอกัดฟัน และรีบไล่ตามไปด้วยความว่องไวราวกับนกนางแอ่น
ชิงเฉินและชุยหมิง ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่นำทีมของตนเอง
ส่วนเธอเหลิ่งหยุน ต้องการที่จะกระตุกหนวดเสือของหัวหน้าโจรอย่างฉินเปียวให้ได้!
พูดตามตรง หากเป็นการต่อสู้กันแบบซึ่งๆ หน้า โดยการเผชิญหน้ากับบรรดาทาสสัตว์ที่โหดเหี้ยมอย่างไม่มีความเป็นมนุษย์เช่นนี้ ทั้งสามคนรวมเหลิ่งหยุนด้วยแล้ว ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาอยู่ดี
แต่ในเมื่อฉินเทียนกล้าส่งพวกเขาทั้งสามบุกเดี่ยวเข้าไปเพื่อทำภารกิจที่สำคัญแบบนี้แล้ว นั่นแสดงว่าต้องมีเหตุผลแน่นอน
แม้ว่าทาสสัตว์จะมีความสามารถในการต่อสู้แบบซึ่งหน้าอย่างฉกาจฉกรรจ์ แต่เรื่องการลอบสังหารในป่านั้น พวกเขายังด้อยอยู่อีกเยอะ
ส่วนเหลิ่งหยุน ชุยหมิง และชิงเฉิน ล้วนแต่เป็นผู้คร่ำหวอดเรื่องการลอบสังหาร อีกทั้งยังเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมอย่างมากอีกด้วย
การลอบสังหาร มันไม่ได้ให้ความสำคัญกับการต่อสู้แบบซึ่งหน้า คำว่าลอบนั้น มันหมายรวมความหมายไว้หลายอย่าง เช่น การปิดบังตัวตน การปรากฏตัวอย่างลึกลับโดยที่คนอื่นคาดไม่ถึง การจู่โจมอย่างฉับพลัน และการเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว
โดยเฉพาะเหลิ่งหยุน
ในฐานะราชินีงูทีมลอบสังหารของวิหารเทพ สายเลือดของนินจายังคงไหลเวียนอยู่ในตัวของเธอ
ในเรื่องการลอบสังหารรวมถึงการพรางตัวอย่างนินจาแล้ว จะว่าไป เขาคือคนที่มีบทบาทโดดเด่น เป็นคนที่รวมความสุดยอดไว้ในตัวอยู่แล้ว
ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ตกอยู่ในวงล้อม ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสาม มันเพียงพอแล้วที่จะตรึงกำลังของฉินเปียวกับคนอื่นๆ เอาไว้ได้
ฉินเทียนไม่ได้หวังว่าเหลิ่งหยุนกับพวกเขาทั้งสามนั้น จะลอบสังหารได้กี่คน แค่ตรึงกำลังพวกเขาเอาไว้ได้ มันก็เพียงพอแล้ว
เขากับหม่าหงเทาและคนอื่นๆ ที่มีฝีมือ ใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีในหุบเขาฮุ่ยเฟิง รอคอยนานกว่าสิบชั่วโมง กับการมาอย่างหมดเรี่ยวหมดแรงของฉินเปียวและคนอื่นๆ
ฉินเปียวคิดว่า ที่เขาส่งคนออกไปสองทีมนั้น มันก็มากพอที่จะขัดขวางและควบคุมทีมของฉินเทียนได้แล้ว
ดังนั้นทีมที่เขานำอยู่นั้น จึงไม่ได้รู้สึกกดดันอะไร และรุดหน้าอย่างรวดเร็วไปตลอดทาง
ผ่านไปประมาณสิบกว่าชั่วโมง พวกเขาก็เดินทางมาถึงหุบเขาแห่งหนึ่ง
ขณะนี้ ยามราตรีเยื้องกรายมาถึง ห่างไกลกันออกไปนั้นยังได้ยินเสียงหมาหอนที่ดังมาจากท่ามกลางหุบเขาใหญ่
แม้ว่าฉินเปียวกับทาสสัตว์พวกนี้ ล้วนต่างรอดชีวิตมาจากท่ามกลางการเข่นฆ่าของสัตว์ร้าย
แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเสียงนั้นแล้ว พวกเขาต่างอดที่จะรู้สึกกลัวไม่ได้เหมือนกัน
“ถ้าเป็นไปอย่างที่คิดไว้ ผู้อาวุโสถงจิ่งต้องซ่อนอิฐฉินก้อนนั้นไว้กลางหุบนี้อย่างแน่นอน”
“คุณชาย ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ฉันว่าพวกเราหาที่ตั้งแคมป์ใกล้ๆ ที่นี่กันก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าไปดีกว่าไหม?”
“ฟ้ามืดแล้ว ฝูงหมาป่าเริ่มออกล่าสัตว์กันแล้วด้วย”
เลี่ยวเจี๋ย หัวหน้าทีมหนึ่งของทาสสัตว์กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
ฉินเปียวมองไปยังหุบเขาที่อยู่ไกลออกไป แววตาของเขาเป็นประกาย ราวกับดวงไฟสองดวงที่อยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด
เขาพูดเย้ยหยันไปว่า “ทำไม กลัวหรือ?”
“อย่าลืมสิว่าพวกคุณเป็นทาสสัตว์คุณเข้าใจความหมายที่แท้จริงของทาสสัตว์กันไหม?”
เลี่ยวเจี๋ยตอบด้วยความหวาดกลัวว่า “ขอคุณชายได้โปรดชี้แนะ!”
เขามีความคิดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ พวกเขารู้สึกมาโดยตลอดว่าในสายตาของฉินเปียว พวกเขาแค่มีความพยายามเหมือนกับสัตว์ร้ายแค่นั้น
ดังนั้นฉินเปียวเลยเรียกพวกเขาว่าทาสสัตว์
แต่เขาไม่กล้าที่จะพูดแบบนั้นออกมา
ฉินเปียวพูดอย่างเย้ยหยันว่า “ทาสสัตว์แค่ชื่อก็รู้ความหมายแล้วว่า เอาสัตว์มาเป็นทาส ”
“พวกคุณฝึกฝนกันทุกวัน กำราบสัตว์ร้ายมามากมายขนาดไหน ตอนนี้ยังไม่เข้าใจหลักการข้อนี้อีกหรือ?”
เลี่ยวเจี๋ยตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของคุณชาย!”
เอาสัตว์มาเป็นทาส นั่นหมายความว่า พวกเขาเป็นนายของสัตว์นั่นเอง ไม่ได้หมายความว่าเป็นทาสเหมือนสัตว์สักหน่อย
นึกไม่ถึงเลยว่าในใจของฉินเปียว สถานะของพวกเขาจะสูงส่งถึงเพียงนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกตื้นตันใจเป็นอย่างมาก
“คุณชายได้โปรดสั่งการ!”
“เพื่อคุณชายแล้ว พวกเรายอมบุกป่าลุยไฟ ต่อให้ตายเป็นหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธ!”
เลี่ยวเจี๋ยเป็นผู้เกริ่นนำ จากนั้นคนในทีมทั้งหมดต่างพากันคุกเข่าและพูดตามกันอย่างเสียงดัง
ฉินเปียวยิ้มอย่างภูมิใจ “ไม่ต้องรีบร้อนหรอก”
“ทุกคนพักผ่อนกันก่อนเถอะ”
เพื่อที่จะกำจัดฉินเทียนและทีมของเขาแล้ว พวกเขาเดินทางอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบจะสิบชั่วโมง แทบจะไม่ได้หยุดพักในหุบเขารกร้างอันน่ากลัวและอันตรายแห่งนี้เลย
แม้ว่าพวกเขาจะดุดันโหดเหี้ยมมากแค่ไหน แต่ก็ต่างหมดเรี่ยวหมดแรง หิวข้าวจนไส้แทบขาดกันอยู่นานแล้วเหมือนกัน
การเดินทางเข้าหุบเขาในเวลานี้ หากต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับเหล่าฝูงหมาป่าเหล่านั้น พวกเขาอาจตกเป็นอาหารเข้าปากหมาป่าพวกนั้นไปได้โดยง่าย
เมื่อได้ยินฉินเปียวพูดดังนั้นแล้ว เลี่ยวเจี๋ยและสมาชิกในทีมของเขาก็ต่างพากันดีใจ
พวกเขาหาสถานที่ใกล้ๆ แห่งนั้นเพื่อตั้งแคมป์พักผ่อน พวกเขากลัวว่าการล่าสัตว์หรือการปิ้งย่างเนื้อจะเป็นการเปิดเผยตำแหน่งที่อยู่ของตัวเอง รวมถึงจะเป็นการดึงดูดเหล่าฝูงหมาป่าในหุบเขาได้อีกด้วย ดังนั้น พวกเขาจึงหยิบเพียงอาหารแห้งและน้ำที่พกมาด้วยกินกันแค่นั้นพอ
หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว ก็เหลือคนทำหน้าที่ยืนยามรักษาการณ์ไว้สองคน ส่วนคนอื่นๆให้พักผ่อนกันตามอัธยาศัย
ความหมายของฉินเปียว เหตุผลข้อแรกคือสมาชิกทุกคนต้องมีร่างกายที่สมบูรณ์ ถึงจะมีแรงมากพอที่จะไปจัดการกับฝูงหมาป่าได้
แม้ว่าเขาและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาจะโหดเหี้ยมดุร้ายมากเพียงใด แต่เขาก็รู้ถึงความร้ายกาจของฝูงหมาป่าในหุบเขานี้เป็นอย่างดีเช่นกัน
ก่อนหน้านี้จากการสำรวจของพวกเขา ในหุบเขาแห่งนี้มีหมาป่าอย่างน้อยหนึ่งพันตัวรวมตัวอยู่
บรรดาหมาป่าเหล่านี้ ทั้งหมดอพยพมาจากไซบีเรียอันไกลโพ้น ซึ่งมันจะมีนิสัยดุร้ายกว่าปกติมาก
เรียกได้ว่าบริเวณภูเขาต้าหวางทั้งหมด เป็นสถานที่ที่อันตรายที่สุดเลยก็ว่าได้
โดยปกติหมาป่าจะออกล่าสัตว์ในเวลากลางคืน ฉินเปียวคิดจะรอให้หมาป่าออกไปจากหุบเขาเสียก่อน อย่างน้อยบางส่วนหรือไม่ก็ออกไปซะส่วนใหญ่ก่อนจะดีกว่า
เมื่อถึงตอนนั้น ความกดดันที่จะต้องเผชิญหน้าคงลดลงไปได้มาก
ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันก็ยังเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดอยู่ดี ท่าทีภายนอกของเขาดูเคร่งขรึม แต่จริงๆ แล้วความบ้าคลั่งที่อยู่ในใจของเขา มันพร้อมที่จะกระโจนออกมาตั้งนานแล้ว
เขาตื่นเต้นมาก!
ส่วนเหตุผลอีกข้อหนึ่ง นั่นคือ จนถึงตอนนี้ เขาเองก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง
เขาส่งทีมออกไปสองทีมเพื่อไปสกัดฉินเทียนและทีมของเขาไว้ อันที่จริงเหมือนจะให้ออกไปก่อกวนฉินเทียนสักหน่อย
เขาไม่ได้คาดหวังว่าทีมของหลิวเหมิงกับหม่าเมี้ยน จะสามารถสกัดฉินเทียนกับทีมของเขาได้จริงๆ หรอก
แต่นี้ก็นานแล้วนะ ทำไมฉินเทียนยังหาที่นี่ไม่เจออีกหล่ะ?
การต่อสู้กับหมาป่านั้น แม้ว่ามันจะสนุกน่าสนใจก็ตาม แต่หากเพิ่มฉินเทียนเข้าไปด้วย การเข่นฆ่าแบบสามฝ่าย มันจะยิ่งเพิ่มความสมบูรณ์แบบมากขึ้นไปอีกไหม?
เมื่อคิดถึงนี่ ฉินเปียวอดไม่ได้ที่จะเม้มปาก แววตาของเขามองออกไปตามทางที่เดินมาด้วยแรงปรารถนาบางอย่าง
เขาอยากให้ฉินเทียนและคนของเขารีบตามมาถึงเร็วๆ
หุบเขาหมาป่า เพิ่มความสนุกสนานให้กับบรรดาฝูงหมาป่า มันช่างเป็นสนามรบที่ยอดเยี่ยมที่สุด
น่าเสียดายแค่ว่า ม่านราตรีอันเงียบสงัดแห่งนี้ แม้แต่เงาของฉินเทียนกับทีมของเขาก็ยังไม่เห็นเลยสักนิด?
บางทีหลังจากที่พวกเขาสั่งให้ หลิวเหมิงกับหม่าเมี้ยนไปทำการสกัดฉินเทียน พวกเขาเลยเปลี่ยนไปทางไปหาที่อื่นกันซะแล้ว
เมื่อมองออกไปรอบๆภูเขาต้าหวาง นอกจากหุบเขาหมาป่าแห่งนี้แล้ว ยังมีที่ไหนที่เหมาะกับการซ่อนของอันล้ำค่าเช่นนี้อีกด้วยหรือ?
“ครั้งนี้ นายแพ้อีกแล้ว พี่ชายที่แสนดีของฉัน” ฉินเปียวบ่นพึมพำกับตัวเอง และแววตาทั้งคู่ก็ปรากฏความเหี้ยมโหดดุร้ายออกมา
ขอเพียงแค่เขาชนะ ก็จะได้ไขกระดูกของฉินเทียนมา!
ถ้าฉินเทียนที่ไม่มีไขกระดูกแล้ว ก็จะกลายเป็นขยะไปโดยปริยาย และจะไม่มีวันได้รับความสนใจจากเขาอีกแล้ว!