บัญชามังกรเดือด - บทที่ 789 ฝ่าวงล้อม
บัญชามังกรเดือด บทที่ 789 ฝ่าวงล้อม
ก่อนหน้านี้มีอยู่ครั้งหนึ่ง ฉินเปียวพาคนของเขามาที่นี่เพื่อจับคน และนำกลับไปเป็นทาสสัตว์เพื่อใช้ในการฝึกซ้อม ตอนนั้น ราชาหมาป่าหัวเสือและบรรดาหมาป่าตัวผู้ส่วนใหญ่ที่มีพละกำลังต่อสู้อย่างดุร้ายนั้นต่างไม่อยู่บ้านกัน
หลังจากการเข่นฆ่าจบลง พวกเขาก็เจอถ้ำแห่งหนึ่ง เลยเข้าไปหลบซ่อนตัวและพักผ่อนกันอยู่ในนั้น
ภายในถ้ำแห่งนั้นมีพื้นที่กว้างมาก และปากทางเข้าก็เล็กมากด้วย ต้องค่อยๆ มุดเข้าไป และปิดปากถ้ำเอาไว้ ต่อให้หมาป่ามีมากกว่านี้ ก็ไม่มีทางเข้ามาได้
ตอนนี้ ฉินเปียวตระหนักดีว่า ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะเปิดไพ่ไม้ตายใบสุดท้ายออกมา ดังนั้น จึงทำได้แค่หลบไปชั่วคราวเท่านั้น
ไม่นานนัก พวกเขาก็หาถ้ำนั้นเจอ และรีบวิ่งหนีเข้าไปในนั้นทันที
เลี่ยวเจี๋ยและคนของเขาจำนวนหนึ่ง ทำการขนย้ายก้อนหินก้อนใหญ่มาสองก้อน เพื่อนำไปปิดปากทางเข้าถ้ำเอาไว้ได้ครึ่งหนึ่ง ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว หมาป่าที่อยู่ข้างนอกก็ไม่มีทางเข้ามาได้แน่ๆ
แม้มันคิดอยากจะมุดผ่านช่องว่างเข้ามาก็ตาม แต่ก็คงเข้าได้แค่หัวเท่านั้นแหละ
ราชาหมาป่าหัวเสือร้องโหยหวนขึ้น การต่อสู้เข่นฆ่าผ่านไปค่อนคืน ฝูงหมาป่าที่ตาแดงๆ ก็เริ่มที่จะสงบลงกันบ้างแล้ว
พวกมันนอนเรียงแถวอยู่ด้านหน้าปากถ้ำ ตราบใดที่มีคนเดินออกมาจากด้านในล่ะก็ พวกมันก็พร้อมที่จะต่อสู้อย่างดุเดือดขึ้นมาอีกครั้ง
ซู่ซู่ซู่!
ฝนยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
ท่ามกลางบรรยากาศบริเวณนั้น มีกลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลคละคลุ้งไปกับฝุ่นดิน เมื่อผ่านไปสักพัก มันก็จางลง และแทนที่ด้วยความบริสุทธิ์
หมาป่าพวกนั้นนอนหมอบอยู่บนพื้น ปล่อยให้น้ำฝนเทรดตัว ราวกับรูปปั้นหินแกะสลักที่คอยปกป้องคุ้มครองสถานที่อย่างไรอย่างนั้นเลย
“คุณชาย กินอะไรสักหน่อยเถอะ”
“รอฟ้าสาง!”
“หลังจากฟ้าสางแล้ว หมาป่าเหล่านี้ก็จะสูญเสียพละกำลังการต่อสู้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราค่อยหาโอกาสหนีออกไป”
“ไม่แน่ว่า ถึงตอนนั้น หลิวเหมิงกับหม่าเมี้ยนอาจจะนำกำลังเสริมมาช่วยแล้วก็ได้” เลี่ยวเจี๋ยหยิบอาหารแห้งและน้ำออกมา
ฉินเปียวไม่ได้รับไว้ สีหน้าของเขาดูซีดขาวและดูอ่อนเพลีย แต่แววตาทั้งคู่ที่มองออกไปท่ามกลางความมืดนั้น กลับมีประกายแห่งความดุร้ายปรากฏขึ้น
“เยี่ยม!”
“ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!”
“คิดไม่ถึงเลยว่า ฉันจะประเมินค่าพี่ชายคนนี้ของฉันต่ำเกินไป!”
“แบบนี้สิมันถึงจะสนุก!” มุมปากของเขา เผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา
หลังจากพูดจบ เขาไม่เพียงไม่รีบร้อนกับสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านั้น ตรงกันข้ามเขากลับมีท่ามีผ่อนคลายเสียด้วยซ้ำ
เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำไหล ช่วงเวลากลางคืนผ่านพ้นไป และในที่สุดรุ่งเช้าก็มาถึง
หมาป่าที่เฝ้าอยู่ด้านนอก ในที่สุดก็มีท่าทีเหนื่อยและอิดโรย และบางตัวหลับตานอนไปแล้วก็มี
ไม่รู้ว่าเป็นการหลับจริงๆ หรือว่าแค่งีบไปเท่านั้น
“คุณชาย ตอนนี้ว่าเป็นไง?”
“พวกเรากัดฟันฮึดวิ่งออกไปกันเถอะ!” เลี่ยวเจี๋ยแนะนำเบาๆ
ฉินเปียวไม่ได้มองอย่างเต็มตา เขาพูดเพียงเบาๆ ว่า “ฝูงหมาป่าจงใจจะแสดงความอ่อนแอให้พวกเราเห็น ถ้าพวกเราออกไปตอนนี้ พวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้อันโหดเหี้ยมของพวกมันมากกว่าเดิมอย่างแน่นอน”
“รอไปก่อน!”
“ครับ!” เลี่ยวเจี๋ยไม่กล้าพูดอะไรต่อ และพักผ่อนต่อไปพร้อมกับสมาชิกในทีม
จนกระทั่งช่วงเวลาพลบค่ำ ในที่สุดก็มีเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกตกใจดังขึ้นบริเวณด้านนอกหุบเขา
“คุณชาย พวกคุณอยู่ข้างในใช่ไหม?”
“พวกเรามาแล้ว!”
“คุณชาย!”
ทุกคนต่างพากันตกใจ
“หลิวเหมิงกับหม่าเมี้ยน!”
“พวกเขามาเป็นกำลังเสริมให้พวกเราแล้ว!”
“คุณชาย ตอนนี้พวกเราทั้งด้านนอกด้านในกำลังตีขนาบประสานกันอยู่ ต้องซัดฝูงหมาป่าพวกนี้ได้อย่างสิ้นซากแน่นอน!”
ตอนนี้ฉินเปียวถึงได้ลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าอันไร้ความรู้สึก เขากวาดตามองไปรอบๆ อย่างช้าๆ และพูดว่า “เอาสมาชิกที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ โยนออกไปข้างนอกซะ”
อะไรนะ?
เมื่อได้ยินคำสั่งนี้แล้ว บรรดาผู้คนทั้งหลายต่างพากันตกใจกันยกใหญ่
“คุณชาย แต่พวกเขาล้วนแต่____” เลี่ยวเจี๋ยรีบร้อนจะอธิบาย แต่เมื่อหันไปเห็นแววตาอันเย็นชาอย่างไม่แยแสของฉินเปียวแล้ว เขาก็อ้าปากค้าง และพูดอะไรไม่ออกอีกเลย
“พวกเขาล้วนแต่อะไร?”
ฉินเปียวตอบอย่างเย็นชาว่า “ปกติฉันสอนพวกนายไว้ว่ายังไงกันบ้าง?”
“พวกนายคิดยังไงกับหมาป่าข้างนอกพวกนั้น พวกมันไม่ได้ออกล่าสัตว์ตั้งนานขนาดนี้ แต่ทำไมถึงยังมีเรี่ยวแรงอยู่อีกหล่ะ?”
“นั่นเป็นเพราะว่า พวกมันใช้ซากศพของสหายพวกมันเอง เพื่อเติมพลังไงหล่ะ!”
“พวกนายคิดว่าการทำเช่นนี้มันโหดร้ายเกินไปหรือ? ตรงกันข้าม การเสียสละตัวเอง เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์ได้มีโอกาสยืนหยัดต่อไป ฉันว่า นั่นเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจที่สุดสำหรับหมาป่าที่ตายไปแล้วพวกนั้นซะด้วยซ้ำ!”
“ตอนนี้ การพาพี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บไปด้วย มันมีแต่จะถ่วงให้พวกเราก้าวช้าลงไปอีก”
“แต่หากโยนพวกเขาออกไป เพื่อล่อให้ฝูงหมาป่าเข้ามารุมแย่งกัน แบบนี้พวกเราถึงจะมีโอกาสหนีรอดออกไปได้”
“ลูกผู้ชายอกสามศอก ถ้ามัวอืดอาดยืดยาด แม้แต่เรื่องเล็กๆ แค่นี้ก็ทำไม่ได้ งั้นอนาคตจะติดตามฉันไปต่อสู้กับคนอื่นได้ยังไง?”
“ครับ!”
“คุณชายช่างชาญฉลาดยิ่งนัก!” เลี่ยวเจี๋ยคุกเข่าลง และกล่าวด้วยความหวาดกลัว
เขากัดฟันและพูดว่า “โยนพวกเขาสามคนออกไปข้างนอกเดี๋ยวนี้!”
“อย่านะ!”
“หัวหน้า คุณชาย อย่าโยนพวกเราออกไปแบบนี้!”
“พวกเราอยากมีชีวิตอยู่ต่อ!”
“พวกเราไม่อยากตาย!”
“ขอร้องพวกท่าน ได้โปรดให้โอกาสพวกเราอีกสักครั้ง พวกเรายังสู้ไหว!”
สมาชิกในทีมทั้งสามที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส กล่าวขอร้องเสียงดังอย่างสติหลุดวิญญาณเตลิด
อย่างไรก็ตาม ท่าทีของฉินเปียวไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสายตาของเขา ทั้งสามคนนี้ไม่ได้มีค่าและไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไปแล้ว
หากจะว่าไป คุณค่าสุดท้ายที่ยังพอมีเหลืออยู่บ้าง นั่นก็คือการใช้ร่างกายของพวกเขา เพื่อไปล่อฝูงหมาป่าพวกนั้น ซึ่งนั้นจะเป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นได้หนีรอดออกไปได้
เขาจับสมาชิกในทีมคนหนึ่ง เสียงกรีดร้องดังขึ้น เขาถูกจับโยนออกไป โดยผ่านช่องว่างของก้อนหินทางปากถ้ำนั้น
ท่ามกลางเสียงร้องอันน่าเวทนา ร่างของสมาชิกในทีมคนนั้นก็ร่วงหล่นลงท่ามกลางฝูงหมาป่า
แววตาของฝูงหมาป่าเริ่มแดงขึ้น ชั่วพริบตาเดียวก็พลุ่งพล่านขึ้นมา พวกมันกระโจนกันเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
สมาชิกในทีมคนนั้นถูกรุมกัด เสียงร้องอันน่าเวทนานั้นทำให้ทุกคนต่างตกใจกลัว ส่วนสมาชิกในทีมที่ได้รับบาดเจ็บอีกสองคนที่กำลังจะถูกโยนออกไปนั้น ก็มีอาการกลัวจนขาอ่อนและทรุดลงไปอยู่กับพื้น
เลี่ยวเจี๋ยกัดฟัน จับพวกเขามา และโยนพวกเขาออกไป
ฝูงหมาป่าเริ่มชุลมุนกันอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกัน หลิวเหมิงกับหม่าเมี้ยนนำสมาชิกในทีมที่เหลือ ทำการเข่นฆ่าโอบเข้ามาจากด้านนอก
“ไป!”
ฉินเปียวเตะก้อนหินที่อยู่ปากถ้ำจนกระเด็น และวิ่งนำหน้าออกไป
ด้านนอกสองทาง ด้านในอีกหนึ่งทาง โจมตีขนาบข้างทั้งสามทาง จนในที่สุดฝูงหมาป่าก็แตกกระเจิง ฉินเปียวและคนอื่นๆ สุดท้ายก็หนีออกไปได้
พวกเขาวิ่งหนีกันออกมาจนรุ่งสาง สุดท้ายก็ได้ยินเสียงหอนของหมาป่าดังมาจากทางด้านหลัง และฝูงหมาป่าก็หยุดไล่ตามไปในที่สุด
เสียงดังตึง สมาชิกในทีมคนหนึ่งอดทนต่อไปไม่ไหว เขาล้มลงและหมดสติลงไปกับพื้น
“เกมใกล้จะจบแล้ว ยังพอมีเวลาอีกสักครู่”
“คุณชาย พวกเราพักสักหน่อยก่อนดีไหม?” เลี่ยวเจี๋ยแนะนำเบาๆ
ฉินเปียวพยักหน้า ให้ทุกคนพักกันที่นี่ ถึงตอนนี้ค่อยพอมีโอกาสเริ่มนับจำนวนคนที่เหลือ
ตอนที่พวกเขาเข้ามา มีกลุ่มทาสสัตว์สามกลุ่ม รวมกับฉินเปียวแล้ว ทั้งหมดยี่สิบห้าคน ตอนนี้ เมื่อรวมผู้บาดเจ็บอีกสองคนแล้ว จะเหลือแค่สิบสี่คนเท่านั้น
ในบรรดาผู้สูญหายทั้งหมดสิบเอ็ดคนนั้น มีอยู่ห้าคน ที่ถูกหมาป่ากัดตายภายใน หุบเขาหมาป่า
แล้วที่เหลืออีกหกคนหล่ะ?
ดวงตาของฉินเปียวเป็นประกาย เขาจ้องมองไปยัง หลิวเหมิงกับหม่าเมี้ยนและเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า “เกิดเรื่องอะไรกับพวกเธอกันแน่? รายงานมาสักหน่อยเถอะ”
“ขอครับ!”
หลิวเหมิงกับหม่าเมี้ยนเมื่อต้องเผชิญหน้ากับแววตาอันเย็นชาของฉินเปียว ขาของพวกเขาก็อ่อนแรง จนเกือบจะคุกเข่าลง ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขาคุ้นเคยกับอารมณ์ของฉินเปียวเป็นอย่างดี ดังนั้นก่อนที่จะมาพบกับฉินเปียว พวกเขาเลยเตรียมรวบรวมคำพูดมาเรียบร้อยแล้ว
ดูเผินๆ ที่พวกเขาไปหาฉินเปียว เหมือนจะเป็นการช่วยเหลือ แต่จริงๆ แล้วหล่ะ หรือว่าเพื่อหาที่หลบภัยกันแน่นะ?
เนื่องจากกลุ่มของพวกเขาทั้งสอง ล้วนแต่ถูกนักฆ่าลึกลับก่อกวนอย่างมากทั้งลำบากและรันทด นอกจากสองคนแรกที่ถูกเหลิ่งหยุนฆ่าตายอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวแล้ว
ยังมีสมาชิกในทีมอีกสี่คน ที่สูญหายไปจากการถูกก่อกวนและถูกตามไล่ล่า
สิ่งที่ทำให้พวกเขาโกรธจนแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือดนั่นคือ หากพวกเขาคิดไว้ไม่ผิด ศัตรูของพวกเขาทั้งสองนั้น ต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆ
“เรียนคุณชาย พวกเราได้รับคำสั่งให้สกัดฉินเทียนเอาไว้ และได้เกิดทำการต่อสู้กับทีมของเขาขึ้นอย่างดุเดือด”
“แม้ว่าพวกเราจะได้รับบาดเจ็บและล้มตายลง แต่พวกเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่ต่างกันสักเท่าไรนัก!”
ทั้งสองจะกล้าพูดได้ยังไงว่า ถูกคนเพียงคนเดียวลอบจู่โจมจนทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงขนาดนี้ ถ้าพูดเช่นนั้นล่ะก็ เกรงว่าฉินเปียวจะโกรธจนอยากฉีกร่างพวกเขาออกแน่ๆ
ดังนั้น แทนที่จะพูดว่าศัตรูเพียงคนเดียว พวกเขาเลยพูดว่าเป็นทีมหนึ่งทีมแทน
ฉินเปียวขมวดคิ้ว และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “เจอฉินเทียนแล้วหรือยัง?”