บัญชามังกรเดือด - บทที่ 790 สถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
บัญชามังกรเดือด บทที่ 790 สถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
“ไม่เจอฉินเทียนเลยครับ”
“ฉันคิดว่า ฉินเทียนต้องใช้วิธีเดียวกันกับพวกเราแน่นอน โดยแบ่งคนออกเป็นหลายๆ กลุ่ม แล้วส่งคนมารบกวนพวกเรา ส่วนตัวเขาคงนำคนของเขาไปตามหาอิฐฉินยังที่อื่นด้วยตัวเองอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินคำถามของฉินเปียวแล้ว หลิวเหมิงก็ตอบอย่างเสียงดังด้วยสีหน้าอันนิ่งเฉย
“ใช่ครับ!”หม่าเมี้ยนกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ และตอบอย่างหนักแน่น
“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฉินเทียนจะกระจายกำลังออกเป็นทีม ส่วนเขานำคนออกตามหาอิฐฉินด้วยตัวเอง แต่ยังไงแล้วพวกเขาก็เสียแรงเปล่าอยู่ดี!”
“เขาไม่รู้หรอกว่า คุณชายเปียวได้อิฐฉินมาครอบครองและเป็นผู้โบกธงแห่งชัยชนะไปนานแล้ว”
“ยินดีกับชัยชนะครั้งใหญ่ของคุณชายด้วย!” เลี่ยวเจี๋ยตะโกนด้วยความตื่นเต้น
ฉินเปียวตอบอย่างภูมิใจว่า “แม้ครั้งนี้จะได้รับความเสียหาย แต่สามารถชนะฉินเทียนได้ ต่อให้ต้องเสียสละมากกว่านี้อีกกี่เท่า ยังไงก็นับว่ามันคุ้มค่า ”
“รอฉันได้ไขกระดูกของเขามาก่อนเถอะ จากนั้นจะไม่มีใครหยุดแผนการของฉันได้อีก”
“พวกนายทุกคนล้วนแต่เป็นฮีโร่!”
“หลังจากกลับไปแล้ว ฉันจะตกรางวัลให้อย่างงาม!”
“ขอบคุณมากครับคุณชาย!”
“คุณชาย อย่ารอช้าอีกเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
“เอาอิฐฉินไปมอบให้กับท่านอาวุโสถงจิ่ง จากนั้น ปล่อยให้เขาออกหน้า ไปเอาไขกระดูกของฉินเทียนมา!”
ทุกคนต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ เมื่อนึกถึงรางวัลที่จะได้รับ พวกเขารู้สึกว่า ความยากลำบากที่ได้รับก่อนหน้านี้ มันช่างคุ้มค่าเสียเหลือเกิน
พวกเขาห้อมล้อมฉินเปียว และเดินมุ่งหน้าออกไปข้างนอกอย่างมีความสุข
ขอบเขตและระยะเวลาที่ถงจิ่งกำหนดไว้ให้ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นของเกมล่าสัตว์ คือรัศมีหนึ่งร้อยกิโลเมตร กับเวลาอีกเจ็ดสิบสองชั่วโมง
ภายในหนึ่งร้อยกิโลเมตรนี้ สถานที่ที่โหดที่สุด คือหุบเขาหมาป่านั่นเอง ส่วนตำแหน่งของหุบเขาหมาป่านั้น มันก็อยู่ใกล้กับด้านในสุดด้วยเช่นกัน
ตอนขาไปฉินเปียวและคนอื่นๆ รีบมุ่งหน้าไปยัง หุบเขาหมาป่า สมาชิกทั้งหมดต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แถมยังไม่มีอุปสรรคใดๆ ตอนนั้นพวกเขายังใช้เวลาตั้งสิบกว่าชั่วโมงเลย
แต่ตอนนี้เมื่อนึกถึงขากลับ หลังจากผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดเป็นเวลานาน ทุกคนต่างรู้สึกอ่อนแรงกันไปหมด ฉะนั้นคงใช้เวลาไม่น้อยไปกว่าตอนขามาแน่นอน
โชคดีที่ ยังพอมีเวลาอีกเหลือเฟือ พวกเขาได้อิฐฉินมาและกุมชัยชนะเอาไว้ได้แล้ว เลยไม่ต้องรีบร้อนอะไรมากนัก
วันนี้เป็นวันที่สามแล้ว
พระอาทิตย์ขึ้น และความอบอุ่นของแสงอาทิตย์ก็ปกคลุมไปทั่วภูเขาต้าหวางอย่างสุดลูกหูลูกตาอีกครั้ง เหลือเวลาอีกเพียงสองชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่การแข่งขันจะสิ้นสุดลง
ในที่สุด พวกเขาก็เดินทางมาถึงปากทางภูเขาต้าหวางด้านนอกของหุบเขาฮุ่ยเฟิง
“คุณชาย ถ้าผ่านหุบเขาฮุ่ยเฟิงไป ก็ถือว่าออกจากภูเขาแล้ว!”
“พอคิดว่าฉินเทียนและคนของเขายังตามหาของกันอยู่ในเขา เหมือนแมลงวันไม่มีหัว ดูเลื่อนลอยไม่มีหลักแหล่ง ฉันรู้สึกมีความสุขจัง!”
“จริงด้วย คุณชายช่างฉลาดหลักแหลมซะเหลือเกิน!”
“ฉินเทียนคิดจะต่อสู้กับคุณ ดูเขาช่างไร้เดียงสาเสียเหลือเกิน!”
“ขยะยังไงก็เป็นขยะอยู่วันยังค่ำ! เปลี่ยนธาตุแท้ของมันไม่ได้หรอก!”
เลี่ยวเจี๋ย หลิวเหมิงกับหม่าเมี้ยนหัวหน้าทีมทั้งสามคน ดีใจกันอย่างลิงโลด ต่างประจบสอพลอกันไม่หยุด
ฉินเปียวกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้วและถามด้วยความสงสัยว่า “พวกเธอได้กลิ่นอะไรไหม?”
“มันโชยมาจากด้านหน้าของหุบเขาฮุ่ยเฟิง”
กลิ่นหรือ?
ทุกคนต่างชะงักไปชั่วขณะ ผู้ที่มีจมูกเป็นเลิศก็เริ่มมีปฏิกิริยาขึ้นมา
“กลิ่นเนื้อย่าง?”
“จริงด้วย กลิ่นเนื้อย่าง!”
“คุณชาย มีคนกำลังปิ้งย่างเนื้อกันอยู่ข้างหน้า กลิ่นหอมมากเลย!”
ลมโชยมา และลมนั้นก็หอบเอากลิ่นหอมๆ อันยั่วยวนของเนื้อย่างมาด้วย จนชายกลุ่มหนึ่ง กลืนน้ำลายลงคอเฮือกใหญ่ทันที
คร็อก!
คร็อกคร็อก!
เสียงแปลกๆ ดังขึ้น ทุกคนต่างก้มหน้าลงด้วยความเคอะเขิน เพราะเสียงที่ได้ยินคือเสียงท้องร้องของพวกเขานั่นเอง
การเข่นฆ่าและการวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตราวๆ เกือบเจ็ดสิบชั่วโมง พวกเขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนกันเลย แม้แต่อาหารยังได้กินแค่เพียงอาหารแห้งไม่กี่คำ กับน้ำอีกนิดหน่อยเท่านั้น
นั้นเป็นแค่การเพิ่มกำลังได้นิดหน่อยแค่นั้น มันไม่ทำให้อิ่มท้องเลยสักนิด
เมื่อเทียบกับกลิ่นหอมๆ ของเนื้อย่างแล้ว ช่างแตกต่างกันราวสวรรค์กับนรกเสียจริง
“ใครกำลังย่างเนื้ออยู่หน่ะ?” สีหน้าของฉินเปียวมีท่าทีจริงจัง
เลี่ยวเจี๋ยตอบอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันรู้แล้ว ต้องเป็นราชาถงจิ่งแน่ๆ!”
“ท่านอาวุโสผู้นั้นจะต้องรู้ว่าคุณชายได้รับชัยชนะกลับมา เลยคิดอยากประจบคุณชาย ดังนั้นจึงให้คนเตรียมย่างเนื้อเอาไว้ให้ข้างหน้า!”
“จริงสิ! ต้องเป็นเขาแน่ๆ!”
“คุณชาย พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
“ราชาถงจิ่งเลี้ยงต้อนรับพวกเรา!” ชายกลุ่มนั้น ต่างพากันดีใจกันยกใหญ่
ได้รับชัยชนะกลับมาทั้งที พวกเขาไม่เพียงแค่อยากจะกินเนื้อเท่านั้น แต่พวกเขายังอยากจะดื่มเหล้าอีกด้วย!
กินให้อิ่มดื่มให้พอ!
จากนั้นค่อยไปเอาไขกระดูกของฉินเทียนกันต่อ!
ฉินเปียวพูดอย่างเย้ยหยันว่า “ท่านอาวุโสถงจิ่งผู้นี้ เป็นคนค่อนข้างเจ้าเล่ห์มาตลอด ก่อนหน้านี้ฉันกับแม่พยายามจะดึงเขามาเป็นพวกอยู่หลายครั้ง แต่เขาก็ดูพูดจาคลุมเครือไม่ชัดเจน”
“ในที่สุด ตอนนี้ก็รู้สถานการณ์ชัดเจนแล้วสินะ”
“ตระเตรียมเนื้อย่างให้กับคุณชายของเรา นับว่าเขามีใจให้เราแล้วหล่ะ”
“ไปกันเถอะ!”
เขารีบเดินมุ่งหน้าไปด้วยความดีใจ
กลิ่นหอมยั่วยวนนั้น ทำให้เหล่าชายฉกรรจ์ที่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปแล้ว กลับมามีแรงอีกครั้ง
พวกเขาพากันตะโกนโห่ร้อง และรีบมุ่งหน้าเดินไปหุบเขาฮุ่ยเฟิง อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด พร้อมกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจไปตลอดทาง
ในหุบเขาฮุ่ยเฟิง วิวทิวทัศน์สวยงาม ฮวงจุ้ยเหมาะสม หลบลมสะสมพลังได้เป็นอย่างดี
ใต้ร่มไม้นั้น เขาใช้ก้อนหินและไม้สน ทำเป็นราวปิ้งย่างและมีที่ปิ้งย่างจัดเตรียมไว้อยู่หลายอัน
ถ่านไฟได้ดับมอดลงแล้ว บนเตามีสัตว์ที่ล่ามาได้ย่างอยู่จนเกรียม เหลือเพียงแค่กระดูกบางส่วนเท่านั้น
บรรดาคนที่กินอิ่มสบายท้อง เป็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่รวมตัวกันอยู่ตรงนั้น บ้างก็นั่งอยู่บนพื้นหญ้า บ้างก็นั่งอยู่บนก้อนหิน และบ้างก็นั่งพิงต้นไม้กันอยู่
ด้วยท่าทางสบายๆ แคะฟันไปพลาง พูดคุยหยอกล้อกันไปพลาง
สบายอารมณ์กันจัง!
ช่างเป็นภาพปิกนิกในชานเมืองที่แสนงดงามเสียจริง!
ด้านข้างของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ทั้งซ้ายและขวา ถูกนั่งประกบด้วยหญิงสาวหน้าตาสวยสองคน
“พี่เหลิ่งหยุน เธอปล่อยให้หมาป่าไล่ล่าเธอแบบนั้นได้ยังไงกัน?”
“เธอล่อให้หมาป่าจำนวนมากขนาดนั้นเข้า หุบเขาหมาป่า ไปได้จริงๆ หรือ?” หญิงสาวที่อยู่ด้านซ้าย ดวงตาสวยงามเป็นประกาย ราวกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เธอคนนั้นก็คือ เถียหนิงซวง
คุณหนูใหญ่ของตระกูลเถีย ห้าพญายมแห่งนรก
ส่วนหญิงสาวที่อยู่ด้านขวานั้นก็คือเหลิ่งหยุนนั่นเอง เธอหัวเราะและพูดว่า “เรื่องนี้หน่ะหรือ มันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเจ๊เอง”
“พวกเธอรู้ไหมว่าหมาป่าเกลียดอะไรมากที่สุด?”
คำถามนี้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ และพวกเขาต่างพร้อมใจกันเอ่ยถามออกมาว่า “อะไรหรือ?”
นางอุบปากไว้ และหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดว่า “เกลียดคนที่ด่ามันเป็นหมาที่สุดไงหล่ะ!”
“ฉันชี้ไปที่จมูกของราชาหมาป่าและด่ามันว่า แกมันก็เยี่ยงหมาตัวหนึ่ง อกตัญญู ไม่ตายดีหรอก!”
“ราชาหมาป่าโกรธมาก มันเรียกพวกออกมาหลายร้อยตัว และวิ่งไล่ตามฉัน”
ทุกคนต่างตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นจู่ๆ ก็หัวเราะออกมากันอย่างเสียงดัง
“เยี่ยงหมาตัวหนึ่ง!”
“คุณเหลิ่ง ด่าได้ดีมาก!”
……
บรรดาฉินเปียวและคนอื่นๆ ที่พึ่งเข้ามาถึงตรงปากทางนั้น เมื่อเห็นฉากนี้ และยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นแบบนี้ ทุกคนต่างก็อึ้งกันไปหมด
พวกเขาเบิกตาโต สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อและคาดไม่ถึง ต่างยืนนิ่งอึ้งไปอยู่นาน
“นังแม่มด เธอนี่เอง!”
“เป็นเธอเองที่ยั่วยุฝูงหมาป่าและใส่ร้ายพวกเรา!” เลี่ยวเจี๋ยโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนตะโกนออกมา!
ภายใต้ความตื่นเต้น จู่ๆเขาก็หัวร้อนขึ้นมาทันที จนอยากจะวิ่งไปจับตัวเหลิ่งหยุนเอาไว้
“หยุดก่อน!” ฉินเปียวตะโกนขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอันเยือกเย็น
ท่าทีของเขา นับว่ายังสงบอยู่ เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างช้าๆ
นอกจากราวปิ้งย่างแล้ว ยังมีพื้นที่ปูไว้สำหรับนอนอีกด้วย ทุกสิ่งทุกอย่างแสดงให้เห็นว่า ที่นี่ไม่ใช่แค่ที่พักผ่อนชั่วคราวอย่างแน่นอน และคนพวกนี้ก็อยู่ที่นี่มานานแล้วแน่ๆ
ฉินเปียวถลึงตาจ้องมองฉินเทียนที่นั่งอยู่ตรงกลางเป็นดาวล้อมเดือนอยู่ตรงนั้น และถามด้วยความสงสัยว่า “แกอยู่ที่นี่ตลอดเลยหรือ?”
“แกไม่ได้เข้าหุบเขาไปเพื่อหาอิฐฉินหรอกหรือ?”
ฉินเทียนเหลือบมองอิฐทองที่อยู่ในมือของฉินเปียว และพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ในเมื่อมีคนสามารถนำอิฐทองออกมาได้ แล้วทำไมฉันจะต้องเข้าไปหาด้วยตัวเองอีกหล่ะ?”
“ทัศนียภาพที่นี่สวยงาม แถมยังเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดสำหรับการตั้งแคมป์ ถ้าพลาดไป มันไม่น่าเสียดายไปหน่อยหรือ”
“พี่น้องทั้งหลาย พวกเธอว่าจริงไหม?”