บัญชามังกรเดือด - บทที่ 863 หลักคำสอนการครองเรือน
บัญชามังกรเดือด บทที่ 863 หลักคำสอนการครองเรือน
“ไปกันเถอะ!” เมื่อจิตใจของฉินเทียนสงบลงแล้วนั้น เขาจึงต้องการที่จะพาซูซูออกไปจากที่นี่ในทันที
“คุณย่า”
ผู้ใดจะไปรู้กันว่า ซูซูจะเอ่ยเรียกใครบางคนเสียก่อน
ย่า?
ทั่วร่างของฉินเทียนพลันตัวสั่นเทาไปในทันทีสำหรับเขาแล้วนั้น นี่เป็นชื่อเรื่องที่แปลกและละเอียดอ่อนมากไปในคราวเดียวกัน
นั่นแสดงให้เห็นถึงเขามีวัยเด็กที่โชคร้าย
ซูซูที่เพิ่งจะมาถึงที่นี่ได้ไม่นานนั้น เธอไปเรียกคุณย่าที่ไหนกัน?
เมื่อฉินเทียนมองตามสายตาของซูซูไปนั่น เขาก็อดที่จะหันหน้าไปมองรอบ ๆ ไม่ได้ พร้อมกับเห็นร่างไกล ๆ ร่างหนึ่ง
นายหญิงใหญ่พลันเดินเข้ามา พร้อมกับไม้เท้าสลักทองด้านบนหัวไม้ ข้างกันยังมีคนคอยคุ้มกันเดิมตามอีกหลายนาย ย่างกายเข้ามาหาทั้งสองคน ด้วยอายุของนางที่อยู่ในวัยชราแล้วนั้น ทว่าท่วงท่าการเดินกลับเต็มไปด้วยพลังอำนาจที่น่าเกรงขาม
“ดูเรื่องที่เจ้าทำ !”
ฉินเทียนพลันกัดฟันด้วยความโกรธเกรี้ยว นัยน์ตาของเขาพลันแดงก่ำไปในทันที ยามที่จะพุ่งตัวเข้าไปนั้น
ใครจะรู้กันว่า ซูซูที่อยู่ข้างกายกลับสะบัดตัวออกจากแขนของเขา ก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงชราที่อยู่ตรงหน้า หลังจากนั้น ก่อนจะเอ่ยคำนับด้วยความเคารพว่า ” หลานสะใภ้เข้าพบคุณย่า”
“คุณย่าควรจะนอนพักผ่อนให้เพียงพอนะคะ”
หญิงชราพลันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกแม้ว่าใบหน้าของนางจะยังบึ้งตึงอยู่นั้น ทว่าแววตาของนางกลับสื่อถึงความเมตตาและความห่วงใยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“เป็นย่าที่จัดการได้ไม่ดีพอ ทำให้หลานต้องตกใจเสียแล้ว”
“หนูไม่เป็นอะไรใช่ไหม รู้สึกไม่สบายท้องหรือเปล่า?”
“หมออยู่ไหน ? ทำไมยังไม่มาอีก !”
“หากเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลฉินสายเก่าของข้าเป็นอะไรไป ข้าจะตัดหัวพวกมันทิ้งซะ!”
เมื่อนายหญิงใหญ่โมโหโกรธเกรี้ยวออกมาเช่นนี้ องครักษ์ที่อยู่ข้างกายทั้งสองคนจึงรีบวิ่งตามหมอชุยมาในทันที
“คุณย่าคะ หนูสบายดีค่ะ คุณย่าอย่าโกรธไปเลยนะคะ ยิ่งโมโหมากไปจะไม่ดีต่อร่างกาย”
“ไปค่ะ เข่าไปนั่งในห้องกัน” ซูซูพลันจับมือต่งซวงจุนด้วยท่าทางเหมือนเด็ก ทั้งยังเผยให้เห็นถึงท่าทีเอาอกเอาใจนายหญิงใหญ่ในทันที
ฉินเทียนที่ยืนมองอยู่ด้านข้างนั้น ได้แต่เผยสีหน้างุนงงออกมา เมื่อเห็นว่าซูซูยื่นมือออกไปจับต่งซวงจุนนั้น เขาก็อดที่จะตกใจออกมาไม่ได้
ในตระกูลฉินสายเก่านั้น นายหญิงใหญ่นับว่าเป็นไทเฮาของวังหลังอย่างแท้จริง ไม่ว่าใครก็ไม่อาจมาแตะต้องตัวนางได้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนางรักในศักดิ์ศรีของตนเองหรือเป็นเพราะนางเป็นคนรักษาความสะอาด หากใครกล้ามาแตะต้องเสื้อผ้าของนางนั้น จะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงไปในทันที
ยิ่งไปกว่านั้นซูซูกลับเดินเข้าไปจับมือนาง
เหมือนเห็นเช่นนั้น ฉินเทียนเกือบจะวิ่งเข้าไปปกป้องซูซูอยู่แล้ว
ทว่า เหตุการณ์ต่อมากลับทำให้เขาต้องตกตะลึงอีกครั้ง
“ได้ได้ได้ ย่าจะฟังคำพูดของหลานสะใภ้ ย่าจะไม่โกรธ”
“ลูกสะใภ้ที่รักของย่าหลานจะต้องฟังคำย่านะหลานจะต้องนอนพักผ่อนให้เพียงพอและคลอดเด็กชายอ้วน ๆ ให้กับตระกูลฉินสายเก่าของเรานะ”
“พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ!”
เมื่อถูกซูซูจับมือเช่นนั้น ต่งซวงจุนก็รีบเดินตามเข้าไปข้างในเสมือนกับเท้ามิได้แตะพื้นไปในทันที พลางกล่าวว่า “ให้คลอดเด็กชายตัวอ้วนแก่ตระกูลฉิน” พร้อมกับแย้มยิ้มออกมาอย่างสดใสและรอยเหี่ยวย่นที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าในทันที
“ ทำไมคุณยังยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ? ยังไม่รีบเข้ามาทักทายคุณย่าอีกเร็วเข้า!”
“ฉันรู้ว่าคุณย่าเป็นผู้หญิงที่คอยดูแลและปกครองตระกูลฉินมานานหลายปี ฉันชื่นชมคุณย่ามาก ๆ เลย!”
“ฉันได้ตกลงกับคุณย่าเอาไว้แล้ว ต่อไปนี้ฉันจะกราบคุณย่ามาเป็นอาจารย์ และจะร่ำเรียนจากเธอให้มาก ๆ ”
เมื่อซูซูเดินผ่านฉินเทียนนั้น ก็พลันเห็นเขายืนตัวแข็งทื่อราวกับเด็กน้อย ซูซูจึงได้เอ่ยเตือนขึ้นมา
ใบหน้าของฉินเทียนพลันตกตะลึงไปในทันที
ผู้หญิงคือสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดในโลก?
ทำไมผู้หญิงสองคนที่อยู่ตรงหน้าถึงดูสนิทสนมกันจัง?
เหตุใดเขาที่เป็นคนสกุลฉิน กลับดูเหมือนเป็นคนนอกไปแล้วเล่า?
ถึงแม้ว่าฉินเทียนจะไม่ใคร่เต็มใจเท่าไหร่นัก แต่ในสายตาของเขาในยามนี้มีแต่ซูซู เขาจึงไม่อยากจะจากนางไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว
เมื่อซูซูและหญิงชราเดินเข้าไปในห้องนั้น ฉินเทียนที่ต้องคอยดูแลสะใภ้ ก็ได้แต่ทำตัวหน้าหนาเดินตามเข้าไปด้วยเช่นกัน
แม้แต่ราชาจินตูนที่มีใบหน้าเงียบขรึมก็เดินตามเข้ามาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง
ฉินเทียนรู้ดีว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันยังไม่จบสิ้น
ทว่า นายหญิงใหญ่ที่จับมือกับซูซูอยู่นั้น พลันพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “หลานไม่ได้บอกว่า อยากจะเรียนรู้หลักคำสอนการครองเรือนจากย่างั้นเหรอ? เช่นนั้น ย่าจะสอนบทแรกให้กับหนูในตอนนี้เลย เข่นการลงโทษบุคคลเมื่อกระทำความผิด!”
พูดจบ ใบหน้าของนายหญิงใหญ่พลันมืดครึ้มลง “ราชาจินตูน เจ้ารู้ถึงความผิดของตนหรือไม่ ?”
ราชาจินตูนพลันเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า “ทราบขอรับ”
น้ำเสียงของนายหญิงใหญ่ พลันทวีคูณความรุนแรงมากกว่าเดิม “ความผิดของเจ้าคืออะไร?”
ราชาจินตูนได้แต่ก้มหน้าลง “ละทิ้งหน้าที่ของตน”
เขาที่เป็นคนพูดไม่เก่ง และไม่คิดโต้เถียงออกมา การเอ่ยถึงการละทิ้งหน้าของตนเอง จึงได้อธิบายทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว
เขาที่อยู่ในตระกูลฉินสายเก่ามาหลายปี ทั้งยังได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นห้าราชานั้นจนได้กลายมาเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาราชาทั้งห้า นั่นสามารถอธิบายได้ว่า เขาทำงานหนักและได้รับประสบความสำเร็จในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา
เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะภารกิจใดเขาไม่เคยทำพลาดเลยแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุด
เขามิคิดเลยว่าในปีสุดท้ายที่เขาคิดจะเกษียณตัวเองนั้น เขากลับทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลงเช่นนี้เสียได้
การละทิ้งหน้าที่คือ?
นายหญิงใหญ่ออกคำสั่งให้เขาคอกปกป้องคุ้มครองซูซู แต่เขากลับคิดว่านายหญิงใหญ่ต้องการเขามากกว่า จึงได้ปล่อยให้บอดี้การ์ดนับสิบคนคอยปกป้องซูซูแทน และตนเองที่วิ่งกลับบรรพบุรุษด้วยตัวคนเดียว
นับว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่อย่างร้ายแรง!
ในยามนี้ ซูซูถือเป็นบุคคลที่สำคัญที่สุดภายในตระกูลฉินสายเก่าแล้ว เนื่องจากนางได้แบกรับเลือดเนื้อเชื้อไขของความหวังของตระกูลฉินรุ่นต่อไปเอาไว้!
หากไม่ใช่เพราะฉินเปียวสำนึกในความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเอง และวิ่งเข้าไปสังหารยายแม่มดนั้น ร่างของซูซูและอีกหนึ่งชีวิต คงไม่ดีอย่างที่คิดแน่นอน
ดังนั้น ราชาจินตูนจึงยอมรับความผิดพลาดของตนเองในทันที
เมื่อเห็นชายในระดับผู้อาวุโสเช่นนี้ ต้องมาก้มหน้าก้มตาลง ด้วยใบหน้าที่แดงก่ำและเต็มไปด้วยความอับอายเช่นนี้ ก็ทำเอาซูซูไม่อาจทนมองได้
ซูซูพลันรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “คุณย่าคะ
“เขาทำทุกอย่างเพื่อคุณย่านะคะ”
“ความปลอดภัยของคุณย่าถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด”
ถ้าหากว่าราชาจินตูนต้องมาถูกลงโทษเพราะเธอนั้น ซูซูจะต้องรู้สึกเสียใจมากอย่างแน่นอน นอกจากนี้ แม้ว่าราชาจินตูนจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ หากแต่เป็นเพราะว่าจิตใจที่ดีงาม จึงทำให้เธอทนไม่ได้ที่จะต้องมาเห็นชายชราที่เธอนับถือต้องมาโดนลงโทษแบบนี้
นายหญิงใหญ่พลันเอ่ยตะคอกออกมา ว่านายหญิงกำลังขอร้องอ้อนวอนชีวิตให้เจ้าอยู่”
ราชาจินตูนจึงรีบร้อนพูดขึ้นมาว่า “ขอบคุณครับนายหญิง”
ทว่า เขากลับพูดอย่างดื้อรั้นขึ้นมาว่า “นายหญิงใหญ่ได้โปรดลงโทษด้วยขอรับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูซูที่ยังไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร ทว่าฉินเทียนกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ภายในตระกูลฉินนั้น หากกระทำผิดครั้งใหญ่ ย่อม มีจุดจบเพียงทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือถูกฆ่าตายหรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย
เมื่อราชาจินตูนพูดขึ้นมาเช่นนี้ นั่นแสดงว่าเขาได้ยินยอมให้นายหญิงใหญ่มอบบทลงโทษให้กับเขา เพื่อฆ่าตัวตายรับโทษตนเองแล้ว
ในตระกูลฉินยังมีกฎอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือ ผู้กระทำความผิดไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้หากไม่ได้รับการอนุมัติเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือความตายจะต้องได้รับการอนุมัติจากตระกูลฉินก่อนเท่านั้น
เป็นเพราะกฎที่โหดร้ายเช่นนี้ของตระกูลฉินสายเก่า จึงทำให้ตระกูลฉินสามารถฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความซื่อสัตย์และไม่เกรงกลัวต่อความตายได้อย่างมากมาย
ทว่าฉินเทียนกลับรู้สึกว่าที่นี่มีสภาพแวดล้อมที่ไร้มนุษยธรรม ทั้งยังไร้ซึ่งสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นอีกด้วย ดังนั้นตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่อาจทนกับสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้
ทว่า ในยามนี้นายหญิงใหญ่จะมอบโทษตายให้กับราชาจินตูนจริง ๆ?
ด้วยนิสัยของเธอนั้น คงมีแต่ต้องกระทำเช่นนั้นกระมัง
ถึงแม้ว่าตอนนี้ ฉินเทียนจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลฉินเลยก็ตาม การตายของราชาจินตูนนั้น เขาไม่จำเป็นต้องสนใจก็ได้ แต่ทว่า ฉินเทียนกลับรู้สึกมีอะไรบางอย่างที่กำลังทิ่มแทงอยู่ในลำคอของ
เขาเกลียดหญิงชราคนนี้เกลียดสภาพแวดล้อมแบบนี้และอยากที่จะออกไปจากที่นี่เร็ว ๆ
อุทยานมังกรต่างหากถึงจะเป็นที่พักพิงของเขา และเป็นครอบครัวที่อบอุ่นที่แท้จริงของเขา
นายหญิงใหญ่พลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ละเว้นโทษตายของเจ้า”
หากเอ่ยเช่นนี้นั้น นับเป็นข้อละเว้นที่หาได้ยากอย่างแม้จริง
“ขอบพระคุณครับนายหญิงใหญ่”
ราชาจินตูนพลันก้มหน้าลงและเอ่ยคำขอบคุณออกมา ยามที่เงยหน้าขึ้นมานั้น สีหน้าของเขาพลันผ่อนคลายลง ก่อนจะยกยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“คุณจะทำอะไร” ฉินเทียนราวกับรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง พร้อมทั้งอดไม่ได้ที่จะถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“นายน้อย ท่านคิดว่าการกระทำเช่นนี้เป็นเช่นไร ” ราชาจินตูนแย้มยิ้มกล่าวออกมา
ราชาจินตูนพลันส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมกับเขาที่ยกฝ่ามือขวาขึ้นมา เสมือนกับจะใช้ฝ่ามือมาเป็นมีดฟาดผ่าลงมาที่สะบักไหล่ซ้ายโดยไว
พร้อมกับเสียงคลิกที่ดังขึ้นมา ก่อนที่แขนข้างซ้ายของเขาก็ถูกตัดขาดจากต้นแขน พร้อมกับเลือดที่พุ่งกระจายออกมาในทันทีราวกับน้ำพุ