บัญชามังกรเดือด - บทที่ 946 เจ้าบ้าดาบ
บัญชามังกรเดือด บทที่ 946 เจ้าบ้าดาบ
เสียงของหวังตัวยวี่เบามาก ราวกับยุงที่บินสาละวนอยู่ท่ามกลางลมทะเล จนฉินเทียนแทบจะไม่ได้ยินเสียงของเธอเลย
“เธอว่าอะไรนะ?”
“พูดอีกทีสิ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับฉินเทียนที่กำลังตื่นเต้นอยู่นั้น ผู้ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอย่างคุณหนูหวังก็กลับรู้สึกเคอะเขินขึ้นมา
หน้าของเธอแดงเพิ่มขึ้นกว่าเดิม เธอพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า “ไปคุยกับเจ้าเปี้ยนแก่เองเถอะ ฉันหมายความว่า ฉันรับปาก…..แล้ว”
ครั้งนี้ ฉินเทียนได้ยินอย่างชัดเจน เขารู้สึกดีใจอย่างคาดไม่ถึง
คิดไม่ถึงเลยว่าหวังตัวยวี่จะตอบตกลงอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แถมยังบอกให้เขาไปคุยกับราชาเปี้ยนเองอีกด้วย
ถ้าเช่นนั้นเรื่องทุกอย่างต่อจากนี้ ทางก็สะดวกแล้วสิ!
“ขอบคุณมากนะครับคุณหนูใหญ่!” ฉินเทียนกุมมือหวังตัวยวี่ อย่างแน่นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
จนเขาสัมผัสได้ว่าตัวของหวังตัวยวี่ สั่นเทาไปทั่ว เขาถึงได้รู้สึกตัวและรีบปล่อยมือออก
“เอ่อ ขอโทษนะ”
“ฉันไม่ได้มีเจตนาอื่นเลยจริงๆ” เขาอธิบายด้วยสีหน้าอันแดงก่ำ
“อย่าพึ่งดีใจเกินไป อีกหน่อยเมื่อตกอยู่ในมือคุณหนูอย่างฉันแล้ว นายก็จะรู้เอง!”
พูดจบ ไม่รอให้ฉินเทียนได้ตอบกลับ เธอก็ใช้ขาถีบฉินเทียนตกน้ำไปทันที
พอฉินเทียนโผล่หัวพ้นน้ำขึ้นมาหวังตัวยวี่ก็ขี่วาฬหัวทุยออกไปไกลมากแล้ว เธอมองฉินเทียนที่กำลังตกที่นั่งลำบากอยู่อย่างนั้น และหัวเราะคิกคักด้วยความชอบใจ
“นั่นคือที่อยู่ของราชาจั่วเจียน นายว่ายน้ำข้ามไป แล้วบอกพวกเขาว่านายเป็นเชลยศึกของฉัน ให้พวกเขาพานายไปหาฉันที่เกาะหวัง”
“จำไว้ว่า รีบไปให้ไว เพราะฉันรอนายได้ไม่นานนักหรอกนะ”
ไม่ทันรอให้ฉินเทียนพูดอะไรต่อ เธอก็ขี่วาฬหัวทุยจากไปอย่างรวดเร็ว รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นยืนตัวตรงอยู่บนหลังของปลาวาฬ ค่อยๆเคลื่อนออกไป ไม่นานนักก็กลายเป็นจุดดำเล็กๆ ในสายตาของฉินเทียน
ที่อยู่ของราชาจั่วเจียน?
ที่แท้ที่นี่ไม่ใช่ฐานทัพหลักของเกาะหวังแต่เป็นเกาะจั่วเจียนต่างหาก ฉินเทียนรู้สึกตัวเองโชคร้าย เขาคิดไม่ถึงเลยว่า หวังตัวยวี่ผู้นี้ แม้จะตอบตกลงรับปากแล้ว แต่เธอยังสร้างความลำบากให้ตัวเขาได้อีก
เขาไม่มีทางเลือก นอกจากต้องพยายามว่ายน้ำข้ามฝั่งไปเท่านั้น
โชคดีที่เหลือเพียงไม่กี่ร้อยเมตร นั่นมันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลำบากแต่อย่างใด
สิบนาทีต่อมา ในที่สุดฉินเทียนก็เหยียบขึ้นฝั่งได้สำเร็จ
สำหรับคนที่ไม่ได้ออกทะเลบ่อยๆ แต่ต้องมาลอยคอเท้งเต้งต่อสู้อยู่ท่ามกลางทะเลนานขนาดนี้ จนในที่สุดด้วยความมานะบากบั่น เขาก็ทำมันจนสำเร็จ ความรู้สึกโล่งใจเช่นนั้น มันสุดที่จะหาคำไหนมาบรรยายได้จริงๆ
เมื่อลมทะเลพัดโชยมา ฉินเทียนโอนถ่ายกำลังภายใน กลุ่มควันสีขาวปรากฏบนเสื้อผ้าของเขา และไม่นานนัก เสื้อผ้าที่เปียกโชก กลับแห้งสนิทราวกับเหมือนใหม่
เขาสังเกตเห็นว่าเกาะเล็กๆ แห่งนี้ น่าจะเป็นด้านหลังของภูเขา ภูมิประเทศค่อนข้างชัน และไม่มีบ้านพักคนอยู่อาศัย
อยากจะได้หลินจือเลือดเร็วๆ ก็ต้องอาศัยให้คนบนเกาะ พาเขาไปพบกับหวังตัวยวี่ เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงเคลื่อนไหวและพุ่งทะยานตัวออกไป
ไม่นานนัก ฉินเทียนก็มาถึงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง กระแสลมที่นี่แรงขึ้นกว่าเดิม เขายืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง และมองทอดสายตาออกไป
พื้นที่ราบภูเขาอันไกลโพ้น มีอาคารบ้านเรือนเรียงรายกันเป็นตับราวกับเกล็ดปลา ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อันเงียบสงบแห่งหนึ่ง
จู่ๆ ฉินเทียนก็นึกถึงเหนือฟ้าขึ้นมา ที่นั่นเป็นเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เขาได้ซื้อไว้ในต่างประเทศ และเขาได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ทั้งหมดอย่างถาวร
ในฐานะสำนักงานใหญ่ของวิหารเทพ เนื้อที่ของเหนือฟ้านั้นมีขนาดใหญ่กว่าเกาะที่อยู่ตรงหน้าอยู่หลายเท่าตัว ยิ่งไปกว่านั้น ระดับความสูงนั้นก็อันตรายมากกว่าอีกด้วย
น่าเสียดายที่หลายปีมานี้เขาต้องเดินทางไปทั่วโลกเพื่อปฏิบัติภารกิจ ไล่ฆ่าลอบสังหารพวกกากเดนสังคม จนแทบไม่ได้อยู่บนเกาะนั้นเลย
ด้วยบรรยากาศอันเงียบสงบบนเกาะเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้า จู่ๆ ฉินเทียนก็รู้สึกว่า หากในอนาคตเขาสามารถหลีกหนีจากความวุ่นวายของเรื่องทางโลกได้แล้ว เขาจะใช้ชีวิตอย่างไร้กังวลกับซูซูและลูกของเขา โดยตัดขาดจากโลกภายนอกและใช้ชีวิตครอบครัวอย่างมีความสุข
นั่นคือสิ่งที่มีความหมายที่สุดในชีวิตต่างหากเล่า
น่าเสียดาย แม้ความตั้งใจจะอยู่ตรงหน้า แต่กลับไม่สามารถทำมันให้สำเร็จ เขายังมีปัญหาเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องจัดการ
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ฉินเปียวน้องชายต่างมารดาของเขา ที่เข้าร่วมกับวิหารเทพสังหาร และตอนนี้เป็นหนึ่งในสิบแปดเทพสังหารไปแล้ว ซึ่งนี่ถือว่าเป็นอันตรายครั้งใหญ่ที่ซ่อนอยู่อย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้
ฉินเทียนรู้สึกได้ว่า แม้ช่วงรนี้วิหารเทพสังหารจะไม่ได้ปรากฏตัวออกมา แต่มันรู้สึกได้ว่ามันมีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง
หลังจากที่เขาจัดการเรื่องของซูซูแล้ว เขายังต้องเผชิญหน้ากับองค์กรอันน่าสะพรึงกลัวกลุ่มนั้นอีกด้วย
วิหารเทพกับวิหารเทพสังหาร เปรียบเสมือนตัวเขากับฉินเปียว พี่น้องท้องเดียวกันแต่มีจิตใจต่างกันและไม่มีวันที่จะเดินร่วมทางเดียวกันได้
ความคิดวุ่นวายเหล่านี้ ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงตะโกนที่ดังมาจากป่าอันไกลโพ้น
ฉินเทียนอดไม่ได้ที่จะมองไปตามที่มาของเสียงเสียงนั้น
ป่าไผ่ที่อยู่ไกลออกไปแห่งหนึ่ง กับลมทะเลโชยแผ่วๆ สีเขียวของทะเลไผ่ ราวกับลูกคลื่นที่ซัดขึ้นลงเป็นระลอก
จากเสียงตะโกนนั้น ดูเหมือนว่าข้างในจะมีคนกำลังเคลื่อนไหวทำสิ่งใดอยู่?
ฉินเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญในตอนนี้ที่เขาต้องรีบจัดการนั่นคือ หาคนบนเกาะให้เจอ และบอกความจริงกับพวกเขาซะ จากนั้นขอร้องให้พวกเขาส่งตนไปพบกับหวังตัวยวี่ หรือไม่ก็ราชาเปี้ยน
ดังนั้น เขาเลยตัดสินใจเข้าไปดูสักหน่อย
เมื่อมาถึงด้านนอกของป่าไผ่ เขาเห็นแค่เพียงพื้นที่โล่งตรงกลางของป่าไผ่ ในขณะนั้น มีผู้ชายเปลือยท่อนบนคนหนึ่ง ยืนถือดาบทื่อๆ และกำลังฝึกซ้อมกับก้อนหินที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่หยุดพัก
ท่าทางการร่ายดาบของเขา ดูไม่ชำนาญ แต่ละดาบที่ฟาดฟันออกไปนั้น ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งจะไม่ได้มากนัก แต่ก้อนหินก็เกิดประกายไฟขึ้น
แต่เมื่อฉินเทียนได้เห็นแล้ว มันกลับดึงดูดความสนใจเขาอย่างช่วยไม่ได้
ชายหนุ่มผู้นี้ แม้ว่าการร่ายดาบอาจจะยังไม่ชำนาญนัก แต่ในความมึนงงนั้น กลับเป็นไปตามรูปแบบโบราณ
ทุกดาบที่ฟาดลงไปนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้สนใจไยดีอะไร แต่กลับทำให้คนที่ได้เห็น รู้สึกถึงความยำเกรงจนควบคุมตัวเองไม่ได้
เจตจำนงดาบ!
ฉินเทียนเข้าใจและเขาเองคิดไม่ถึงเลยว่าชายที่ดูซื่อๆ คนนี้ จริงๆ แล้วเขาใช้ขวานหนึ่งด้าม ฟาดฟันจนกลายเป็นเจตจำนงดาบ เขาเลยรู้สึกประทับใจอย่างอดไม่ได้
จนถึงตอนนี้ ดาบที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็นผู้มีฝีมือใช้มานั่น มีแค่มีดม้งของหม่าหงเทากับจุยเฟิง
หลังจากที่จุยเฟิงแขนขาดไปข้างหนึ่ง และรับคัมภีร์เดชไอ้ด้วนที่มอบให้ไปแล้ว เขาก็ทำการซุ่มซ้อมอยู่ในหุบเขาลึก ฉินเทียนเองคาดเดาไม่ได้เลยว่า ระดับวิทยายุทธของจุยเฟิงจะอยู่ในระดับใด ในวันที่เขากลับออกมา
แต่อย่างน้อยดูจากตอนนี้ หม่าหงเทาผู้ซึ่งมีตำแหน่งเป็นราชาแห่งมีดม้ง คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มผู้อยู่เบื้องหน้านี้อย่างแน่นอน
อย่างน้อยก็ในเรื่องของวิชาดาบ
ชายผู้นี้ดูเหมือนจะยังไม่มีความชำนาญ แต่เขาเข้าถึงแก่นศาสตร์ส่วนใหญ่ได้แล้ว
นึกไม่ถึงเลยว่าบนเกาะจั่วเจียนแห่งนี้ จะได้พบกับผู้มีฝีมือในการใช้ดาบแบบนี้ ฉินเทียนเฝ้าดูด้วยความหลงใหล จนลืมพูดไปชั่วขณะหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อให้เห็นการเคลื่อนไหวและการลงดาบของชายผู้นั้นอย่างชัดเจนมากขึ้น ฉินเทียนค่อยๆ เดินก้าวเข้าไปใกล้ชายผู้นั้นอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัว
จนกระทั่ง ได้ยินเสียงหวีดดังขึ้นที่ข้างหู
ฉินเทียนตกใจ และรีบสะบัดหัวออก ก้อนหินก้อนหนึ่งลอยผ่านข้างหูเขาไป เสียงดังปัง ไม้ไผ่ลำต้นขนาดเท่าท่อนแขนที่อยู่ด้านหลัง ถูกแรงกระแทกของก้อนหินนั้นเจาะทะลุจนเป็นรู
สีหน้าของฉินเทียนเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
“แกเป็นใครหน่ะ?”
“ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมถึงมาแอบดูการฝึกดาบของฉัน?”
พอฉินเทียนรู้สึกตัว ชายผู้ฝึกดาบคนนั้น ก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าของเขา และขวานเล่มทื่อๆที่ดูเทอะทะในมือเขาก็ชี้ไปยังปลายจมูกของฉินเทียนแล้ว
ครั้งแรกที่ฉินเทียนเห็นชายผู้นี้ เขากลับรู้สึกดีกับชายผู้นี้อย่างอธิบายไม่ถูก เขารู้สึกว่าชายผู้นี้เป็นคนที่มีความซื่อสัตย์ แถมยังรักดาบเท่าชีวิต และยังมีพรสวรรค์ในการใช้วิชาดาบอีกด้วย
เขายิ้มและตอบอย่างมีมารยาทว่า “สหายท่านนี้ ฉันชื่อฉินเทียน เป็นเพื่อนกับคุณหนูใหญ่แห่งตงไห่ของพวกคุณ”
“แกว่าอะไรนะ?”
“คุณหนูใหญ่?” สีหน้าของชายผู้นั้นเปลี่ยนไป
ฉินเทียนยิ้มและตอบว่า “ใช่แล้ว เธอเป็นคนให้ฉันมาที่นี่เอง”
“คุณหนูใหญ่บอกว่า เธอมีธุระบางอย่าง เลยต้องล่วงหน้าไปก่อน เธอให้ฉันบอกให้พี่น้องที่อยู่บนเกาะนี้ พาฉันไปส่งที่เกาะหวังเพื่อพบกับเธอ”
“ไม่ทราบว่าสหายท่านนี้มีนามว่าอะไร สามารถพาฉันไปพบคุณหนูใหญ่ที่เกาะหวังได้ไหมครับ?”