บัญชามังกรเดือด - บทที่ 948 สามดาบ
บัญชามังกรเดือด บทที่ 948 สามดาบ
คิดไม่ถึงว่าฉินเทียนจะกล้าขานรับการต่อสู้จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์ที่รู้แล้วว่าตนเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีฝีมือดีอันดับหนึ่งในตงไห่แล้วด้วย ทำให้สือซินยิ่งรู้สึกเหนือความคาดหมายมากขึ้นไปอีก
เขาอดไม่ได้ที่จะลดความดูถูกที่มีต่อฉินเทียนไปบ้างเล็กน้อย
เขานับถือผู้ชายอกสามศอก ใจถึง ที่กล้าได้กล้าเสียกล้าขานรับการต่อสู้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นฉินเทียนตั้งการ์ดด้วยมือเปล่าทั้งสองข้างแล้ว ดูยังไงก็ไม่เหมือนมืออาชีพ เขาจึงพูดเย้ยหยันออกไปว่า “นับว่าเธอยังมีความกล้าหาญอยู่บ้างเหมือนกันนะ”
“ฉันรู้ดีว่า มันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะเอาชนะฉัน งั้นเอาแบบนี้แล้วกัน หากเธอรับมือฉันได้ครบสามดาบ ฉันตกลงที่จะพาเธอไปด้วย”
“ว่าไงหล่ะ?”
ฉินเทียนยิ้มและรีบตอบกลับไปว่า “ถ้างั้นยิ่งดีเลย ขอบคุณสหายที่เมตตาช่วยเหลือ”
สือซินปล่อยเสียงเฮิงด้วยความเย็นชา “ฉันยอมเมตตาช่วยเหลือเธอ แต่ขวานของฉันอาจจะไม่ก็ได้นะ____พร้อมแล้ว สำหรับดาบที่หนึ่ง!”
ก่อนที่เขาจะลงดาบ เขาจงใจตะโกนเสียงดังเพื่อเป็นสัญญาณเตือนฉินเทียน เห็นได้ว่าเขาไม่คิดจะฉวยโอกาสเอาเปรียบคนอื่น ถือว่ามีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างมาก
จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้า และใช้ดาบฟันเฉียงลงมา
ท่าทางดูเงอะๆ งะๆ บวกกับความเร็วที่ไม่ได้เร็วมากนัก มองแค่แวบเดียว มันไม่แตกต่างอะไรกับชาวนาชราที่กำลังตัดฟืนอยู่บนภูเขาเลย
ดาบในมือเขา ดูไปแล้วก็เป็นแค่ขวานที่ทั้งยาวทั้งหนักและทั้งหนาเล่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีความแหลมคมอะไร
แต่ดาบเล่มนี้กลับทำให้สีหน้าของฉินเทียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากเมื่อครู่ที่เขาเห็นการฝึกซ้อมของสือซินเขารู้สึกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
การลงดาบแต่ละครั้งดูเหมือนจะไม่ได้มีหลักเกณฑ์ใด แต่กลับแฝงไปด้วยท่วงทำนองและจินตภาพอันลึกซึ้ง
ตอนนี้ เมื่อเผชิญกับขวานที่อยู่ตรงหน้า ยิ่งทำให้ความรู้สึกนั้นชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เจตจำนงดาบ!
สือซินอายุยังน้อย แต่สามารถอาศัยขวานเล่มนี้ฝึกฝนจนถึงขั้นเจตจำนงดาบเจตจำนงดาบได้จริง
ที่เรียกว่าเจตจำนงดาบนั้น จริงๆ แล้วความหมายของมันค่อนข้างกว้าง อารมณ์และความรู้สึกที่ไม่สามารถนิยามได้ เพราะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้อยู่แล้ว
แต่กลับควบคุมดาบนั้นได้ในทุกท่วงท่า
นั้นคือความรู้สึกกดดันอย่างหนึ่ง
เห็นชัดว่าดาบกำลังฟันลงมา และรู้ดีว่าควรจะหลบ แต่ภายใต้แรงกดดันนั้น เขากลับยกขาไม่ขึ้น และไม่รู้ว่าจะต้องหลบไปทางไหนดี
เหมือนว่าดาบเล่มนี้ ทำการปิดล็อกทางหนีทีไล่ของคู่ต่อสู้ไปหมดแล้ว
ทั้งหมดที่ว่ามา ดูเหมือนจะช้าแต่กลับเร็วกว่าที่คิด ฉินเทียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ได้ล่าถอย แต่กลับก้าวไปข้างหน้าและรับขวานนั้นเอาไว้
เหมือนจะทำไปด้วยความมุทะลุ แต่นั่นกลับเป็นก้าวที่มีความลึกลับอย่างมาก
และก้าวนี้ยังสามารถเข้าถึงจุดสำคัญของเจตจำนงดาบของสือซินได้อีกด้วย เป็นก้าวที่สามารถทำลายเจตจำนงของดาบได้อย่างแท้จริง
ดาบที่พุ่งเข้ามาดูเหมือนจะสูญเสียทิศทางไป ทันใดนั้นก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นท่ามกลางอากาศ
ฉินเทียนฉวยโอกาสจากแสงสว่างจ้านั้น ก้าวไปทางซ้ายหนึ่งก้าว ก็สามารถหลบหลีกดาบเล่มนั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เป็นไปได้ยังไง?
ดาบของสือซินเวิ้งว้างอยู่กลางอากาศ เขาอ้าปากค้าง ดูเหม่อลอยไปบ้างเล็กน้อย
เขาภูมิใจกับดาบเล่มนี้ของเขาเป็นอย่างมาก จนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีใครสามารถหลบดาบของเขาได้ง่ายๆเหมือนฉินเทียนมาก่อนเลย
“น้องชายท่านนี้ ฉันควรยกย่องเธอว่าฉลาด หรือจะว่าเธอโง่ดีหล่ะ?”
“เธอเห็นว่าสือซินผู้นี้เป็นคนซื่อๆ ฆ่าคนตามอำเภอใจไม่เป็น ดังนั้นเลยใช้ตัวเองพุ่งเข้าหาดาบ เพื่อบีบให้สือซินยั้งมือ”
“แน่นอนว่าความกล้าหาญเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่หากสือซินยั้งมือไม่ทันหล่ะ? ป่านนี้เธอไม่ถูกหั่นเป็นสองท่อนแล้วหรือ”
เจ้าหนวดเคราที่อยู่ข้างๆ แม้ว่าเขาจะไม่เห็นความลึกลับของฉินเทียน และเขาคิดว่า ฉินเทียนเองต้องมั่นใจแน่ว่าสือซินจะไม่ฆ่าคนตามอำเภอใจ ดังนั้นเขาจึงกัดฟันรับดาบเล่มนั้นเพื่อ บีบให้สือซินยั้งมือเอาไว้
ฉินเทียนขี้เกียจจะอธิบาย เขายิ้มและมองไปทางสือซินพร้อมกับพูดว่า “กระบวนท่าแรกไม่เลวเลยทีเดียวนะ”
“มาต่อกันเลยดีกว่า”
สือซิน ตกอยู่ในภวังค์ แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเจ้าหนวดเคราแล้ว เขารู้สึกว่า ฉินเทียนกำลังใช้กลอุบายบางอย่างอยู่
จับจุดอ่อนของตนเองได้ และบีบให้เขาต้องยั้งมือ
เขากัดฟันและพูดว่า “แม้ฉันจะไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์โดยไม่เลือกหน้า แต่หากเธอยังไม่รู้จังหวะแบบนี้อีกหล่ะก็ อย่าหาว่าฉันโหดเหี้ยมอำมหิตก็แล้วกัน!”
“กระบวนท่าที่สอง!”
ครั้งนี้ เขาลงดาบดุเดือดมากขึ้นกว่าเดิมมาก จนมีเสียงดังขึ้นจากการกวัดแกว่งขวานกลางอากาศของเขา
จริงๆ แล้วฉินเทียนสามารถหลบดาบนั้นได้อย่างสบายๆ แต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของสือซินแล้ว จู่ๆ เขากลับเปลี่ยนใจขึ้นมาทันที
เขารู้ว่า คนอย่างสือซินมีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองเอามากๆ แถมยังมั่นใจในเพลงดาบของตนเป็นอย่างมากอีกด้วย
ฉินเทียนกังวลว่า หากเขาหลบทั้งสามกระบวนท่าของสือซินได้อย่างสบายๆแล้ว สือซินจะดื้อดึงที่จะทำการโจมตีต่ออย่างแน่นอน ดังนั้น เพื่อให้สือซิน ตายใจและยอมพาเขาไป เกาะหวังโดยเร็วที่สุด เขาจึงจำเป็นที่จะต้องไว้หน้าสือซินเอาไว้บ้าง
“ไอ๊หยา!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงถอยหลังอย่างลุกลี้ลุกลน เหมือนจะไม่ทันได้ระวังตัว ส้นเท้าของเขาสะดุดเข้ากับก้อนหินก้อนหนึ่ง จนหน้าหงายล้มลงไปกับพื้น
เสียงดังโครม หลังของเขากระแทกเข้ากับก้อนหินแข็งๆ บนพื้นอย่างแรงจนทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ
สือซินตะลึงงันไปอีกรอบ
ฉินเทียนดูเหมือนจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จู่ๆ สะดุดล้มไปอย่างนั้น แต่นั่นกลายเป็นว่าเขาหลบดาบเล่มนั้นได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ซึ่งเขาคิดว่าต้องชนะด้วยกระบวนท่านี้
“เอาอีก!”
เขาคำรามออกมา ตามด้วยฟันดาบเข้าหาฉินเทียนที่ยังนอนอยู่บนพื้นทันที
ฉินเทียนตะโกนเสียงดัง และรีบกลิ้งไปด้านข้างอย่างไม่คิดชีวิต
โครม!
ขวานด้ามนั้นฟันลงบนก้อนหินด้านล่างของตัวเขาอย่างแรง จนเกิดรอยดาบร่องลึกบนก้อนหินก้อนนั้น
ส่วนเขาที่กลิ้งหลบออกมาอย่างรีบร้อน แม้จะหลบออกมาได้ แต่หน้าตาก็เลอะเทอะมอมแมมไปด้วยฝุ่น ส่วนหน้าผากก็ถูกก้อนหินกระแทกเขาอย่างจัง
เขารีบลุกขึ้น และพูดอย่างเกรงใจว่า “พี่ใหญ่สือช่างเก่งกาจมากเลย!”
“ถ้ายังมีกระบวนท่าที่สี่หล่ะก็ ฉันคงหลบไม่พ้นแล้วหล่ะ”
สือซินมองฉินเทียน แม้สีหน้าท่าทียังดูเคร่งเครียดอยู่บ้าง แต่ในแววตานั้นยังแฝงความภูมิใจอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
เขาตะคอกและพูดขึ้นมาว่า “ฉินเทียน แม้เธอจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ยังสามารถหลบได้ครบทั้งสามดาบของฉัน นับว่ามีความสามารถไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ____ แม้จะไม่เข้าขั้นก็เถอะ”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ฉันรักษาคำพูด จะพาเธอไปยังเกาะหวัง”
“แต่เธอจำเอาไว้อย่าง____”
สือซินพูดอย่างเคร่งเครียดด้วยสีหน้าอันเรียบเฉยว่า “ต้องปฏิบัติกับฉันอย่างตรงไปตรงมา และต้องฟังคำสั่งของฉันทุกอย่าง!”
“เกาะหวังไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะไปก็ได้ หากเธอพูดจาอะไรผิดพลาดหรือออกนอกลู่นอกทาง จะถูกโยนไปเป็นอาหารปลาในทะเลทันที เมื่อถึงเวลานั้นอย่าหาว่าฉันไม่แยแสเธอก็แล้วกัน!”
ฉินเทียนรีบตอบกลับไปว่า “สหายสือ โปรดวางใจ ฉันเข้าใจทุกอย่างเป็นอย่างดีครับ”
สือซินถอนใจ และหันหน้ามุ่งเดินลงเขาไป เขาคิดและเป็นห่วงแต่เรื่องของคุณหนูใหญ่ เลยไม่มีกะจิตกะใจจะคิดเรื่องอื่นแล้ว
เจ้าหนวดเคราตบลงบนไหล่ของฉินเทียน และพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “เด็กน้อย ฉลาดหลักแหลมเหมือนกันนะเรา ถึงได้หลบสามดาบของเจ้าสือโถวไปได้”
“ถึงสือโถวจะไม่ชอบเธอ แต่ฉันว่าเธอน่าสนใจมากเลยนะ”
“ฉันชื่อหูเถิง เป็นผู้ช่วยและคนขับรถของราชาจั่วเจียน เธอจะเรียกฉันว่าพี่เถิงก็ได้ ไม่ต้องห่วง ฉันจะคุ้มครองเธอเอง”
ฉินเทียนรีบตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณครับ พี่เถิง”
“ครั้งนี้มาอย่างเร่งรีบ เลยไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมาด้วยเลย แต่บ้านของน้องทำค้าขาย และพอจะมีเงินออมอยู่บ้าง”
“ครั้งหน้าจะเลี้ยงน้ำชาพี่เถิงอย่างแน่นอน”
“ช่างรู้กาลเทศะดีจริงๆ!”หูเถิงรู้สึกยิ่งถูกใจมากขึ้น และยกให้ฉินเทียนเป็นน้องชายคนเล็กของตนไปทันที
ทั้งสามเดินลงไปตามเนินเขา ไม่ได้เข้าไปในอาคารบ้านเรือนแถวนั้น ที่ด้านข้างของถนนลาดยางใต้ภูเขา มีรถยี่ห้อโรลส์รอยซ์จอดอยู่นานแล้ว
หูเถิงขับรถพาสือซินและฉินเทียนไปตามถนนวงแหวนรอบนอก สิบนาทีต่อมา พวกเขาก็มาถึงด้านหน้าของเกาะ
ที่นี่มีท่าเรืออยู่แห่งหนึ่ง มีเรือสำราญสุดหรูจอดอยู่ลำหนึ่งและกำลังพร้อมจะออกเดินทาง
“สือซินเร็วเข้า พวกเรารอเธออยู่นะ!”
เมื่อเห็นสือซินชายชุดดำหลายคนที่อยู่บนหัวเรือต่างตะโกนเรียกเขาเสียงดัง ดูแล้วพวกเขาล้วนแต่เป็นผู้มีฝีมือด้วยกันทั้งสิ้น
“น้องชายผู้นี้คือใคร?” ผู้อาวุโสท่านหนึ่งมีสีหน้าท่าทางสงสัยเมื่อเขาเห็นฉินเทียน
“เพื่อนฉันเอง”
สือซินตอบส่งส่งไป และเอ่ยถามต่อว่า “แล้วพ่อบุญธรรมของฉันหล่ะ?”
“ ราชาจั่วเจียนอยู่ในห้องโดยสาร ท่านกำชับไว้ว่า ถ้าเธอมาถึงแล้วให้ไปพบท่านทันที”