บัญชามังกรเดือด - บทที่ 954 ห้องประชุม
บัญชามังกรเดือด บทที่ 954 ห้องประชุม
คนกลุ่มนั้น ท่าทางยิ่งใหญ่เกรียงไกร ในที่สุดก็เดินเข้ามาถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง
ประตูลานเปิดกว้างอยู่ ภายในและภายนอกลานนั้น มีธงโบกสะบัด ทุกสามก้าวมีหนึ่งคนคุม ทุกห้าก้าวมีหนึ่งป้อมยาม โดยรวมแล้วมีบอดี้การ์ดมากกว่าหนึ่งร้อยคนยืมคุ้มกันอยู่อย่างเข้มงวด
บรรยากาศ เคร่งขรึมน่าเกรงขาม ทั้งยังแฝงไปด้วยความพร้อมในการลงมือฆ่าอย่างชัดเจน
เซี่ยหมิง ไม่ไหวติงใดใด ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ตลอด เขาเดินเข้ามาพร้อมกับ ราชาเปี้ยนและหวังหลี จนเข้าไปในเขตลานบ้าน
ลานบ้านอันกว้างใหญ่ โดยมีห้องโถงใหญ่จัดวางอยู่ตรงกลาง
เหนือประตูมีแผ่นป้ายดิ้นทองแขวนไว้ พร้อมกับตัวอักษรสามตัวที่เขียนไว้อย่างสวยสดงดงามว่า “ห้องประชุม”
ราชาเปี้ยนพูดอย่างเย้ยหยันว่า “ที่นี่คือสถานที่ที่สำคัญที่สุดในตงไห่ของพวกเรา โดยปกติแล้วจะเปิดใช้เฉพาะในงานพิธีสำคัญๆ เท่านั้น”
“หวังเหมี่ยนรอคุณชายเซี่ยอยู่ที่นี่ นั่นแสดงว่าเขาให้ความสำคัญกับคุณชายเป็นอย่างมาก นับว่าเขายังพอรู้จักกาลเทศะอยู่บ้างเหมือนกัน”
“เชิญครับ คุณชายเซี่ย”
เซี่ยหมิง พยักหน้า ถูกคนที่รายล้อมอยู่นำก้าวเข้าไปด้านในห้องโถง
ภายในห้องประชุมนั้น บรรยากาศดูจริงจังเป็นอย่างมาก ข้างแถวเก้าอี้ด้านซ้ายมือ มีคนยืนอยู่หลายสิบคน
พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของตงไห่ ซึ่งได้รับแจ้งให้มาร่วมการประชุม
ส่วนด้านขวาเว้นว่างอยู่ น่าจะเตรียมไว้สำหรับแขกผู้มีเกียรติ
เซี่ยหมิง ยิ้มและมองไปที่ตรงกลาง
ตรงกลางนั้นวางเก้าอี้ไว้สามตัว เก้าอี้ทางซ้ายและทางขวาว่างอยู่ ส่วนเก้าอี้ตรงกลาง มีชายวัยกลางคนรูปร่างหน้าตาสง่างามน่าเกรงขามสวมชุดสีทองระยิบระยับ นั่งอยู่ตรงนั้น
ชายวัยกลางคนผู้นั้น จ้องมองมาที่เซี่ยหมิงด้วยเช่นกัน
เซี่ยหมิง ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาวุโสท่านนี้คงจะเป็นจินยีโหวของตงไห่ที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศแน่ๆ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว วันนี้ได้มาเห็นกับตา ช่างสง่างามเสียจริงๆ”
“เซี่ยหมิงขอคารวะ”
หวังเหมี่ยนพยักหน้าและพูดว่า “คุณชายเดินทางมาเหนื่อยๆ เชิญนั่งสิ”
“ขอบคุณมากครับ”เซี่ยหมิงทำตัวมีมารยาทมากๆ ราวกับเป็นสุภาพบุรุษที่ถ่อมตน หลังจากกล่าวคำขอบคุณแล้ว เขาก็นั่งลงตรงเก้าอี้ตัวแรกของแถวขวา
เจ้านกแร้ง นั่งลงตรงเก้าอี้ตัวที่สองถัดไปจากเขา
ส่วนคนที่เหลือถงอานและผู้ติดตามคนอื่นๆ ของเซี่ยหมิงที่ตามมาจากตอนเหนือ ก็นั่งลงกันตามลำดับ
ด้านซ้าย คนของตงไห่ ก็ค่อยๆ นั่งลงด้วยเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายนั่งจ้องตากัน ต่างไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดอะไรกันก่อนดี บรรยากาศเริ่มอึดอัดขึ้นมาอีกครั้ง
ราชาเปี้ยนกระแอมขึ้นหนึ่งครั้ง และเดินวางมาดไปยังเวทีที่อยู่ตรงกลาง
จากนั้น ก็นั่งลงตรงเก้าอี้ด้านขวาของหวังเหมี่ยน
บนเวทีแห่งนี้ เดิมทีจะมีเพียงเก้าอี้ตัวใหญ่เพียงตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นของผู้นำเกาะนั่นเอง แต่ตอนนี้ตำแหน่งของผู้นำเกาะว่างลง เช่นนั้นเรื่องราวต่างๆ ของตงไห่ จึงมีผู้รับผิดชอบมากถึงสามคน
ดังนั้นเดิมทีที่มีเก้าอี้แค่หนึ่งตัว ตอนนี้จึงกลายเป็นสามตัวไปโดยปริยาย
เก้าอี้ด้านซ้ายของหวังเหมี่ยนว่างอยู่ เพราะราชาจั่วเจียน ยังมาไม่ถึง
เมื่อเห็นผู้คนต่างไม่พูดจากัน ราชาเปี้ยนจึงมองไปยังหวังเหมี่ยน และถามเย้ยหยันไปว่า “นายท่าน ไม่ทราบว่าจะเริ่มกันได้หรือยัง?”
หวังเหมี่ยนขมวดคิ้ว แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ พร้อมกับหัวเราะและตอบกลับไปว่า “ไม่ทราบว่า ราชาเปี้ยนหมายถึงเรื่องอะไรงั้นหรือ”
ราชาเปี้ยนถอนใจอย่างเย็นชา และตอบอย่างไม่สบอารมณ์ไปว่า “คุณชายเซี่ยก็มาถึงแล้ว เธอยังแสร้งทำเป็นงุนงงอยู่อีกหรือ!”
“ทะเบียนสมรสของตระกูลเซี่ย อย่าบอกนะว่าเธอไม่ได้รับ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังเหมี่ยนเจื่อนลงเล็กน้อย
ราชาเปี้ยนรู้สึกว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ ต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย อาจกล่าวได้ว่า เขาไม่เคยเห็นหวังเหมี่ยนอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
เขายืนขึ้น และพูดเสียงดังขึ้นว่า “ท่านทั้งหลาย ตงไห่ของพวกเรา ตั้งแต่ที่ผู้นำเกาะเสียชีวิตลงด้วยอาการป่วย พวกเราก็กลายเป็นเรือที่ขาดหางเสือ”
“แม้ว่าตอนนี้จะยังสามารถรักษาสถานการณ์ต่างๆ ไว้ได้ แต่ก็พลาดโอกาสในการเติบโตและพัฒนาไปมากแล้ว สืบเนื่องจาก สถานการณ์ภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป พวกเราจึงจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือที่แข็งแกร่งจากต่างประเทศ”
“ตอนนี้ไม่ใช่ยุคสมัยของการต่อสู้เพียงลำพังอีกต่อไปแล้ว พวกเราจำเป็นต้องมีพันธมิตรอันแข็งแกร่ง ถึงจะสามารถบรรลุถึงชัยชนะอันยิ่งใหญ่ร่วมกันได้”
“ฉัน หวังซ่างชิง ทุ่มอย่างสุดตัวเพื่อตระกูลหวัง และเพื่อตงไห่ จากความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ในที่สุดก็พบความช่วยเหลืออันทรงพลังจากต่างประเทศเพื่อช่วยตงไห่ของพวกเราได้แล้ว___”
“นั่นคือ ตระกูลเซี่ยตอนเหนือนั่นเอง”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าหน้าที่ระดับสูงของตงไห่ ต่างเริ่มพูดคุยแสดงความคิดเห็นกันอย่างเบาๆ
หวังซ่างชิง พูดอย่างภูมิใจว่า “ด้วยศักยภาพของตระกูลเซี่ยตอนเหนือแล้ว ฉันคงไม่ต้องพูดอะไรมากแล้วแหละมั้ง?”
“วันนี้คุณชายเซี่ยนั่งอยู่ในที่นี้แล้ว พวกเธอลองดูคุณสมบัติและความสามารถของเขาผู้นี้สักหน่อย ฉันไม่ได้พูดเอง เขาเป็นชายหนุ่มที่โดดเด่นที่สุดจริงๆ”
“มีเพียงชายหนุ่มที่โดดเด่นอย่างคุณชายเซี่ยเท่านั้น ซึ่งเขามีภูมิหลังของครอบครัวอันแข็งแกร่ง ถึงจะคู่ควรกับคุณหนูใหญ่ของพวกเรา”
“มีคำกล่าวไว้ว่า ชายหนุ่มต้องแต่งภรรยา หญิงสาวต้องออกเรือน ท่านทั้งหลาย โปรดใช้มโนธรรมคิดและตอบฉันทีว่า การแต่งงานในครั้งนี้ เขาเหมาะสมกันดั่งกิ่งทองใบหยกหรือไม่ สวรรค์ส่งพวกเขามาคู่กันใช่ไหม?”
“คุณชายเซี่ย เธอพูดอะไรสักหน่อยดีกว่า”
เซี่ยหมิง ยืนขึ้นอย่างไม่ทำให้เสียโอกาส แสดงความจริงใจของตนเองด้วยรอยยิ้ม
อีกแง่หนึ่ง หลังจากแต่งงานแล้ว เขาจะต้องดูแลหวังตัวยวี่ เป็นอย่างดีแน่นอน ส่วนในทางกลับกัน หลังจากที่ตระกูลเซี่ยกับตงไห่แต่งงานเกี่ยวดองกันแล้ว จากนั้นการตลาดของตอนเหนือ จะเปิดกว้างให้กับตงไห่โดยสมบูรณ์
ในอนาคตหากตงไห่เกิดเรื่องอะไรขึ้น ตระกูลเซี่ยคงไม่นั่งมองดูเฉยๆ อย่างแน่นอน
เสียงการแสดงความคิดเห็นของผู้คนเริ่มดังขึ้น ในแถวที่นั่งของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของตงไห่ ในนั้นมีจำนวนไม่น้อยที่เป็นผู้ติดตามของราชาเปี้ยนพวกเขายืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น และต่างป่าวร้องตะโกนสนับสนุนกันอย่างสุดเสียง
ราชาเปี้ยนรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เขามองไปทางหวังเหมี่ยนอย่างภาคภูมิใจ พร้อมกับพูดเย้ยหยันไปว่า “จินยีโหว เธอพูดอะไรสักหน่อยเถอะ”
“ถ้าไม่มีอะไรคัดค้าน ก็รีบทำข้อตกลงการหมั้นให้เร็วที่สุด เร่งสร้างฐานความสัมพันธ์ครั้งนี้โดยเร็วที่สุดก็แล้วกัน”
ทุกอย่างดูเงียบสงัดลง สายตาของคู่ ต่างจับจ้องไปยังใบหน้าของหวังเหมี่ยน
ตระกูลหวังแห่งตงไห่ เป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดมานานหลายร้อยปี กล่าวได้ว่า เป็นตระกูลที่มีกฎระเบียบเข้มงวดมากๆ
รวมถึงการแต่งงานของชนรุ่นหลังด้วย โดยพื้นฐานแล้ว จะมีท่านอาวุโสเป็นผู้จัดการรับผิดชอบ
แม้หวังตัวยวี่ จะมีสถานะเป็นคุณหนูใหญ่ แต่พ่อแม่ทั้งสองของเขาก็จากไปนานแล้ว ในแง่หนึ่งหวังเหมี่ยนเป็นผู้อาวุโส นอกนั้นยังมีจินยีโหว ที่สามารถตัดสินใจเรื่องในตงไห่ได้
ตราบใดที่เขาพยักหน้ายินยอม บนสัญญาการแต่งงานจะถูกประทับด้วยตราของตงไห่ทันที
เช่นนั้นการแต่งงานในครั้งนี้ จะถือว่าได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แม้หวังตัวยวี่ จะคัดค้านยังไงก็จะไม่มีผลใดใดทั้งสิ้น
การแต่งงานกับตระกูลเซี่ย ไม่ใช่ความรักธรรมดาระหว่างชายหญิงทั่วๆไป แต่มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ขององค์กรขนาดใหญ่สององค์กร
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก ความรู้สึกของคน เป็นเรื่องจริงจังซีเรียสมาก
หวังเหมี่ยนบ่นพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง หัวเราะและพูดว่า “คุณชายเซี่ย เธอเดินทางมาไกล ความจริงใจในครั้งนี้พวกเราสัมผัสได้”
“ในนามของตงไห่ ขอขอบคุณท่านเป็นอย่างมากที่ให้เกียรติคุณหนูใหญ่ของพวกเรา”
“แต่ถึงอย่าง เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่และสำคัญมาก ค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีก่อนจะดีกว่า”
“เอาอย่างนี้ไหม คุณและคนของคุณพักอยู่ที่นี่กันไปพลางๆ ก่อน ให้โอกาสพวกเราได้ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านต้อนรับแขกผู้มาเยือนสักหน่อย”
“ส่วนเรื่องงานหมั้น พวกเราค่อยหารือกันอีกที”
คำพูดนี้แม้ดูเหมือนเป็นความเกรงใจ แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการปฏิเสธทางอ้อม รอยยิ้มบนสีหน้าของเซี่ยหมิงดูเจื่อนลงไปเล็กน้อย
เสียงถอนใจด้วยความไม่สบอารมณ์ดังขึ้นข้างๆ เขา
เจ้านกแร้ง สีหน้าเคร่งเครียด มองไปทางหวังเหมี่ยน และถามอย่างเย็นชาว่า “จินยีโหว แบบนี้เธอหมายความว่ายังไงกันแน่?”
“หรือเธอคิดว่า คุณชายของพวกเราไม่คู่ควรกับคุณหนูของตระกูลเธอ?”
“เธอก็รู้ดีว่านะ สถานะคุณชายของพวกเราเป็นยังไง!”
ถงอานรีบตะโกนแทรกขึ้นมาทันทีว่า “จริงด้วย!”
“พวกเรามาเพื่อขอแต่งงาน ถ้าจะมีงานสังสรรค์ พวกเราก็จะดื่มแต่เหล้ามงคลของคุณชายกับคุณหนูใหญ่เท่านั้น”
“จินยีโหว เธอออกทะเบียนสมรสมา พวกเราก็พร้อมตกลงที่จะเข้าร่วมงาน”
“สำเร็จหรือไม่ ก็บอกมาให้สบายใจ ไม่ต้องอืดอาดชักช้าอยู่อย่างนี้!”
เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ สีหน้าของหวังเหมี่ยนก็เปลี่ยนไป เขาถามขึ้นอย่างเย็นชาว่า “คุณชายเซี่ย เธอก็คิดเช่นนั้นหรือ?”
ด้วยสถานะของเขาแล้ว เขาเองไม่อยากที่จะมีปากเสียงกับคนที่มีตำแหน่งต่ำกว่า เขาจ้องมองไปที่เซี่ยหมิงด้วยแววตาอันเย็นชา